ยูโร 2020 ปิดฉากลงไปเรียบร้อยด้วยชัยชนะของ อิตาลี เหนือ อังกฤษ ช่วงดวลจุดโทษชี้ขาด ณ สนามเวมบลีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ไปครอง
ตลอดเวลาราว 1 เดือนเต็มๆ นับตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน จนถึงวันที่ 11 กรกฎาคม ทัวร์นาเม้นต์นี้เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ และเหตุการณ์ที่น่าจดจำมากมาย รวมไปถึงสถิติต่างๆที่เกิดขึ้นในรายการ
UFA ARENA จึงขอรวบรวมบทสรุปที่เป็นที่สุดของยูโรยุคโควิด ทั้งสถิติต่างๆ หรือเหตุการณ์ที่เรายกให้เป็นที่สุดในทัวร์นาเม้นต์หนนี้
แข้งยิงเยอะสุด | คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (5 ประตู)
ถึงแม้ไม่สามารถพา โปรตุเกส ป้องกันแชมป์ยูโรในหนนี้ได้ แต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็คว้ารางวัลดาวซัลโวของทัวร์นาเม้นต์มาครองด้วยจำนวน 5 ประตู (ฮังการี 2, เยอรมัน 1 และ ฝรั่งเศส 2) ซึ่งแม้เท่ากับ พาทริก ชิค ดาวยิงทีมชาติเช็ก แต่ก็คว้าตำแหน่งนี้ไปครอง เนื่องจากทำแอสซิสต์ได้มากกว่า (โรนัลโด้ 1, ชิค 0)
นอกจากนี้ CR7 ยังสร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นนักเตะที่ยิงประตูในยูโรรอบสุดสุดท้ายมากที่สุดด้วยจำนวน 14 ประตู อีกทั้งยังเป็นนักเตะที่ลงเล่นในรายการนี้มากที่สุดด้วยจำนวน 25 นัด นับตั้งแต่ประเดิมยูโรหนแรกในปี 2004 ด้วย
แอสซิสต์มากสุด | สตีเว่น ซูเบอร์ (4 แอสซิสต์)
สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นหนึ่งในทีมรองที่ทำผลงานได้โดดเด่น โดยในรอบน็อคเอ้าท์ ซึ่งมีนักเตะหลายคนที่โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม และหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ สตีเว่น ซูเบอร์ อยู่ด้วยแน่นอน
กองกลางจาก ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต คุมเกมในแดนกลางให้ทีม นาฬิกาได้อย่างแข็งแกร่ง ร่วมกับ กรานิต ชาก้า พร้อมเป็นนักเตะที่แอสซิสต์ในยูโร 2020 มากที่สุดด้วยจำนวน 4 ลูก
เด็กสุดในยูโร | คาชเปอร์ คอซลอฟสกี้ (17 ปี, 246 วัน)
หลังจาก จู๊ด เบลลิงแฮม กองกลางทีมชาติอังกฤษทำสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่ลงเล่นในยูโรรอบสุดท้าย ด้วยวัย 17 ปี 349 วัน อีก 6 วันต่อมา สถิติดังกล่าวก็ถูกทำลายเรียบร้อย
คาชเปอร์ คอซลอฟสกี้ คือเด็กหนุ่มคนนั้นผู้ถือครองสถิติใหม่ โดยมิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติโปแลนด์ ลงเล่นเกมพบ สเปน ในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยวัยเพียง 17 ปี กับ 246 วัน
ดาวรุ่งโดดเด่นสุด | เปดรี้ (สเปน)
มีนักเตะดาวรุ่งหลายคนที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในยูโร 2020 แต่คนที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น เปดรี้ กองกลางวัย 18 ปีจากทีมชาติสเปน กับผลงานที่โดดเด่นเกินวัยไปหลายช่วงตัว
ด้วยวัยแค่นี้ แต่มิดฟิลด์จาก บาร์เซโลน่า กลับได้รับความไว้วางใจจาก หลุยส์ เอ็นริเก้ นายใหญ่ทัพ ‘กระทิงดุ’ ให้ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกนัด ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มยันรอบรองชนะเลิศ พร้อมคว้าตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้นต์ไปครอง
ทีมยิงประตูเยอะสุด | อิตาลี (13 ลูก)
อิตาลีในความทรงจำของแฟนบอลส่วนใหญ่ คือทีมที่เน้นเกมรับเป็นหลัก เกมป้องกันเหนียวแน่นไว้ก่อน ทว่านี่ไม่ใช่กับ ‘อัซซูรี่’ ในยุคของ โรแบร์โต้ มันชินี่
หลังเข้ามาคุมทีมอย่างเป็นทางการในปี 2018 มันโช่ ได้เปลี่ยนให้ อิตาลี ที่เน้นเกมรับแบบคาเตนัชโช่ เปลี่ยนมาเป็นทีมที่เน้นการครองบอล ต่อบอลลื่นไหล และที่สำคัญคือเล่นเกมรุกแบบเต็มตัว
และในยูโรหนนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเห็นได้ชัดเจนกับสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนไปของ อิตาลี ด้วยการกดไป 13 ประตูจากทั้งหมด 7 นัด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ลืมเกมรับที่เป็นจุดเด่นของทีมด้วยที่เสียเพียง 4 ประตูเท่านั้น พร้อมคว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้อย่างคู่ควร
ทีมเสียน้อยประตูสุด | อังกฤษ (2 ลูก)
ถึงฟอร์มเกมรุกในรอบแบ่งกลุ่มดูไม่โสภานักสำหรับทีมชาติอังกฤษ แต่เรื่องเกมรับต้องบอกว่าเหนียวแน่นตั้งแต่นัดแรกยันนัดสุดท้าย
‘สิงโตคำราม’ ที่ไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ เสียประตูเพียง 2 ลูกเท่านั้น ตลอด 7 นัดในรายการ นั่นก็คือเกมพบ เดนมาร์ก ในรอบตัดเชือก และเกมนัดชิงดวล อิตาลี พร้อมเป็นทีมที่เก็บคลีนชีทได้มากที่สุดในรายการด้วยจำนวน 5 นัด
ยิงกันมากสุดในประวัติศาสตร์ยูโร | 142 ลูก
นับตั้งแต่ยูโรหนแรกในปี 1960 ที่มีทีมแข่งขันเพียงแค่ 4 ทีม ปัจจุบันในยูโรหนล่าสุดมีเข้าร่วมถึง 24 ชาติ ไม่แปลกที่จำนวนประตูจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละทัวร์นาเม้นต์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ยูโร 2020 คือทัวร์นาเม้นต์ที่ยิงประตูกันถล่มทลายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรายการ ด้วยจำนวน 142 ลูก จาก 51 นัด โดยเฉลี่ยมีประตูเกิดขึ้นเกมละ 2.79 ลูก และยิงกันทุกๆ 32 นาที
ยิงเข้าประตูตัวเองมากสุด | 9 ลูก
อีกสถิติที่ชวนประหลาดใจในยูโรยุคโควิดก็คือจำนวนการยิงเข้าประตูตัวเอง ซึ่งในทัวร์นาเม้นต์ก่อนไม่ค่อยมีให้เห็นนัก และเกิดขึ้นมากที่สุดก็คือ ยูโรเมื่อ 5 ปีก่อนที่ฝรั่งเศส กับการยิงเข้าประตูตัวเอง 3 ลูก
ทว่าในรายการล่าสุดกับมีนักเตะยิงเข้าประตูตัวเองรวมกันถึง 9 ลูก จาก 51 นัด ซึ่งมีให้เห็นตั้งแต่นัดประเดิมสนามของ เดมิห์ เดมิรัล ไปจนถึงลูกยิงเข้าประตูตัวเองของ ซิมง เคียร์ ในรอบตัดเชือก
เกมพลิกล็อกมากสุด | ฝรั่งเศส พบ สวิตเซอร์แลนด์
ยูโร 2020 ถือเป็นยูโรที่แฟนบอลหลายคนยกให้เป็นเวอร์ชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแง่ของความบันเทิงที่นอกจากเต็มไปด้วยการทำประตูมากมายในแต่ละนัด ก็มีการพลิกล็อกเกิดขึ้นไม่น้อยด้วย
หนึ่งในนัดคือเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายระหว่าง ฝรั่งเศส เต็งหนึ่ง กับ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ตอนแรกทำท่าว่า ‘ตราไก่’ คงเข้ารอบไปตามคาด หลังขึ้นนำ 3-1 แต่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย ทีมแดนนาฬิกา ก็ฮึดสู้จนตามตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนเขี่ย ‘เลอ เบลอส์’ ตกรอบในช่วงดวลจุดโทษชี้ขาด เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบเหนือความคาดหมาย
เหตุการณ์ช็อกที่สุด | อีริคเซ่นวูบคาสนาม
ไม่มีใครคิดว่าเหตุการณ์ชวนช็อกนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่เกมนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มระหว่าง เดนมาร์ก พบ ฟินแลนด์ เมื่อ คริสเตียน อีริคเซ่น จู่ๆก็วูบหมดสติลงในช่วงท้ายครึ่งแรกของเกม จนต้องมีการเข้ามาช่วยยื้อชีวิตดาวเตะ โคนม อยู่พักใหญ่
ท้ายที่สุด เพลย์เมกเกอร์ อินเตอร์ มิลาน ก็ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอย่างปลอดภัย จากการช่วยเหลือของเพื่อนร่วมทีม และทีมแพทย์ในวันนั้น ทำให้ อีริคเซ่น กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง แม้ยังไม่การันตีว่าเขาจะกลับมาค้าแข้งได้ก็ตาม
ทีมขวัญใจแฟนบอล | เดนมาร์ก
จากเหตุการณ์ของ อีริคเซ่น ส่งต่อสภาพจิตใจของแข้ง เดนมาร์ก ไม่น้อยหลังจากนั้น ทั้งพ่ายต่อ ฟินแลนด์ในเกมแรก และ เกมถัดมากับ เบลเยี่ยม จนใครหลายคนมองว่าพวกเขาคงมาไกลได้เพียงเท่านี้ ทว่าเหตุการณ์นี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีมเช่นกัน
ทัพ ‘โคนม’ ฮึดสู้ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายด้วยการเอาชนะ รัสเซีย 4-1 คว้าตั๋วไปเล่นรอบน็อคเอ้าท์ ก่อนโชว์ฟอร์มดุ ด้วยการถล่ม เวลส์ 4-0 และ เฉือนชนะ เช็ก 2-1 ในเกมรอบต่อมาจนเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศแบบที่ไม่มีใครคาดคิด
สุดท้ายแม้พ่ายต่อ อังกฤษ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่เดนมาร์ก ก็กลายเป็นทีมขวัญใจของแฟนบอลในยูโร 2020 จากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมจนถึงรอบตัดเชือก ทั้งๆที่ขาดกองกลางคนสำคัญไปตั้งแต่เกมแรก
ช้ำมากที่สุด | อังกฤษ
แน่นอนว่าทีมที่ช้ำใจมากที่สุดต้องเป็น อังกฤษ อยู่แล้ว เนื่องจากอุตส่าห์ไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่สุดท้ายถ้วยแชมป์ก็ยังไม่กลับมาบ้านเกิดอยู่ดี
ถึงฟอร์มเกมรุกในรอบแบ่งกลุ่มดูตื้อตันพอสมควร และมาตรฐานในเกมรับของ สิงโตคำราม ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนคว้าอันดับ 1 ผ่านเข้าไปรอบน็อคเอ้าท์ได้ และหลังจากนั้นเกมรุกของทีมก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ก่อนผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงของยูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์รายการนี้
ทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เริ่มเกมนัดชิงได้เหมือนฝัน หลังได้ประตูขึ้นไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 2 จาก ลุค ชอว์ แต่ด้วยการที่เน้นเกมรับมากไปในเวลาต่อมา ทำให้ อิตาลี ตีเสมอได้สำเร็จในครึ่งหลัง และต้องไปชี้ขาดกันที่การดวลจุดโทษ หลังไม่มีฝั่งไหนยิงประตูเพิ่มได้ทั้งในเวลาปกติ และช่วงต่อเวลาพิเศษ
สุดท้ายจุดโทษก็ยังเป็นของแสลงของ อังกฤษ เช่นเดิม เมื่อยิงพลาด 3 คนติด ส่งให้ อัซซูรี่ คว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 2 มาครอง และแฟนผู้ดีก็ต้องรอคอยถ้วยแชมป์เมเจอร์เป็นปีที่ 55 ต่อไป