นาทีประวัติศาสตร์ : 5 ข้อน่ารู้ของทีมชาติฟินแลนด์ในศึกยูโร 2020

 

ชาติเล็กๆในโลกลูกหนังอย่างฟินแลนด์ สร้างประวัติศาสตร์ไปเล่นในทัวร์นาเม้นต์ระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรก หลังเอาชนะลิกเตนสไตน์ไป 3-0 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

 

ยาสเซ่ ตูโอมิเน่น กดประตูแรกให้กับทีมได้ในครึ่งแรก ก่อนที่ตีมู ปุ๊กกี้ จะเหมาอีก 2 ประตูในครึ่งหลัง ช่วยให้ทีมบ้านเกิดคว้าตั๋วไปโชว์ฝีเท้าในศึกยูโร 2020 ได้สำเร็จ ตามหลัง อิตาลี จ่าฝูงในกลุ่ม J ที่นำไปก่อนหน้านี้แล้ว

 

ทาง UFA ARENA จะขอพาแฟนบอลทุกท่านไปทำความรู้จักกับว่าที่ทีมน้องใหม่ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปีหน้าและปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบมาได้ผ่านบทความนี้กัน

 

 

เปิดซิงทัวร์นาเมนต์ใหญ่

 

 

ฟินแลนด์ได้เข้าไปเล่นในรอบคัดเลือกสำหรับทัวร์นาเม้นต์ระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรกในปี 1937 เพื่อคว้าตั๋วไปเล่นในศึกฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นในปีถัดมา

 

นับตั้งแต่นั้นชาติจากเขตเมืองหนาวก็เข้ามาส่วนร่วมในรอบคัดเลือกถึง 30 ครั้ง ทั้งในฟุตบอลโลกและฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป โดยไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้เลย

 

แม้พวกเขาจะมีนักเตะชื่อดังที่ค้าแข้งทั่วยุโรปในรอบหลายปีที่ผ่านมาทั้ง อันติ นิเอมี่, ซามี่ ฮูเปีย, มิคาเอล ฟอร์สเซล, ยุสซี่ ยาสเคไลเน่น และ ยารี่ ลิตมาเน่น ก็ไม่ได้ช่วยให้ทีมฉายา ‘นกเค้าอินทรี’ ประสบความสำเร็จได้แม้แต่นิด

 

ทว่าในครั้งที่ 31 นี้ ฟินแลนด์ก็คว้าตั๋วเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของรายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อคว้าอันดับ 2 ของกลุ่ม J หลังชนะไป 6 แพ้ไปอีก 3 จาก 9 เกม และมีแค่อิตาลี ทีมจ่าฝูงที่ทำได้ดีกว่าพวกเขาเท่านั้น

 

เดิมที ฟินแลนด์มีแผนสำรองด้วยต้องคว้าชัยในรอบเพลย์ออฟให้ได้จากผลงานที่ทำไว้ในศึกยูฟ่า เนชั่นส์ลีก แต่ในเกมนัดสุดท้ายกับกรีซก็เป็นตัวการันตีแล้วว่าพวกเขาจะเข้าไปเล่นในยูโร 2020 อย่างแน่นอน

 

 

ปุ๊กกี้ ดาวยิงตัวความหวัง

 

 

กุญแจสำคัญที่ทำให้ฟินแลนด์ผ่านเข้าไปเล่นในรายการนี้ได้คือการที่พวกเขามีกองหน้าจอมถล่มประตูอย่าง ติมู ปุ๊กกี้ อยู่ในทีม

 

หัวหอกวัย 29 ปีพลาดโอกาสลงสนามในกลุ่ม J ไปแค่ 19 นาทีเท่านั้น และได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงทุกนัด หลังจากที่ควานหาประตูไม่ได้ใน 2 เกมแรกที่พบกับ อิตาลี และ อาร์เมเนีย เขาก็จัดการกดไป 9 ลูก ใน 7 นัดต่อมา

 

แข้งจากนอริช ซิตี้ เหมา 2 ประตูในเกมที่เอาชนะบอสเนีย 2-0 จากนั้นก็ยิงประตูโทนในเกมที่บุกไปชนะกรีซ 1-0 และแม้ว่าเขาจะฟอร์มตกยามลงเล่นให้สโมสร แต่เขาก็ยังเป็นแข้งคนสำคัญของฟินแลนด์ไม่เปลี่ยน หลังกดไป 2 เม็ดในเกมที่ชนะอาร์เมเนีย 3-0 ในช่วงพักเบรกทีมชาติครั้งก่อน

 

ในเกมที่พบกับ ลิกเตนสไตน์ ปุ๊กกี้โชว์ให้เห็นว่าเขายังเป็นกองหน้าที่อันตรายอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งทำทางหลอกให้ ติโอมิเน่น สามารถยิงประตูแรกได้, การยิงจุดโทษที่เยือกเย็นและเฉียบคม ก่อนที่เขาจะบวกเพิ่มอีกลูกในช่วงท้าย

 

 

การปฏิวัติของ มาร์คคู คาเนอร์ว่า 

 

 

เมื่อ ฮานส์ บัคเก้ ถูกปลดในเดือนธันวาคมปี 2016 หลังไม่สามารถพาทีมคว้าชัยได้เลยใน 11 นัดที่คุมฟินแลนด์ ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมหมดโอกาสลุ้นไปเล่นในฟุตบอลโลกปี 2018 ค่อนข้างสูง โดยมีแค่แต้มเดียวจาก 4 เกม และตามหลังทีมอันดับสองอย่าง ยูเครน ถึง 7 แต้ม

 

มาร์คคู คาเนอร์ว่า ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของ บัคเก้ ในตอนนั้น ก็ถูกดันเป็นผู้จัดการทีมแบบเต็มตัว และแม้ว่าฟินแลนด์จบอันดับรองบ๋วยในรอบคัดเลือกครังนั้น แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน ‘นกเค้าอินทรี’

 

กุนซือวัย 55 ปี ปรับระบบจากการใช้กองหน้าเดี่ยวๆ มาเป็นกองหน้าคู่แบบ 4-4-2 โดยใช้ ปุ๊กกี้ เป็นตัวหนักในแดนหน้า ซึ่งอาจจะมีการปรับเล็กน้อยในบางนัด แต่ก็ไม่ได้หนีไปจากระบบนี้นัก

 

นับตั้งแต่เริ่มศึกยูฟ่า เนชั่นส์ลีก เมื่อเดือนกันยายนปี 2018 ฟินแลนด์ลงเล่นไป 17 นัดทุกรายการ คว้าชัยได้ถึง 11 นัด จนคว้าแชมป์กลุ่มเนชั่นส์ลีก และได้สิทธิ์เข้ามาเล่นในรอบคัดเลือกของยูโร 2020

 

ภายใต้การทำทีมของ คาเนอร์ว่า ฟินแลนด์ ผสมผสานระหว่างแข้งมากประสบการณ์กับเหล่าดาวรุ่งอนาคตไกล ทำให้ทีมชุดปัจจุบันมีแข้งอายุ 22 ปี อย่าง เฟรเดอริค แยนเซ่น ไปจนถึง กัปตันทีม ทิม สปาร์ฟ วัย 32 ปี

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สร้างสถิติแข้ง 11 ตัวจริงที่มีอายุน้อยที่สุด แต่ฟินแลนด์ก็เป็นทีมที่แข็งแกร่งและประมาทไม่ได้ในรายการนี้จริงๆ

 

เกมรับที่แกร่งไม่แพ้เกมรุก

 

 

ขณะที่ดาวยิงประจำทีมอาจจะได้รับเครดิตและคำชมไปเต็มๆ แต่บรรดาแนวรับของฟินแลนด์ก็เป็นที่เราๆควรพูดถึงด้วยเช่นกัน

 

ในวันศุกร์ที่พวกเขาเอาชนะ ลิกเตนสไตน์ 3-0 เป็นนัดที่ 6 แล้ว ที่ฟินแลนด์สามารถเก็บคลีนชีทได้ในรอบคัดเลือก และมีเพียง 3 ครั้งเท่านั้นที่โดนคู่แข่งยิงจาก 9 นัดในรอบนี้

 

 โดย 2 ครั้งแรกมากจาก 2 นัดที่พวกเขาเจอกับ อิตาลี ทีมจ่าฝูงของกลุ่มที่เก็บสถิติคว้าชัย 100 เปอร์เซนต์ ส่วนอีกครั้งมาจากนัดที่บอสเนียเปิดบ้านถล่มพวกเขาไป 4-1 

 

และความแข็งแกร่งของแนวรับทีม ‘นกเค้าอินทรี’ ไม่ได้แสดงให้เห็นแค่รอบคัดเลือกยูโรเท่านั้น เพราะหลังบอลโลกปี 2018 รอบคัดเลือก ฟินแลนด์ลงเล่นไปทั้งหมด 23 นัดในทุกรายการ เสียไปเพียง 16 ประตู และเก็บคลีนชีทได้ถึง 15 นัด เลย

 

ทีมยักษ์ใหญ่จากยุโรปคงต้องอยู่ฟอร์มที่เข้าฝักจริงๆ หากพวกเขาหวังว่าจะเจาะเกมรับของฟินแลนด์ให้ขาดวิ่นได้ในซัมเมอร์หน้า

 

ทิม สปาร์ฟ ผู้นำที่แท้จริง

 

 

จากจำนวนผู้เล่นฟินแลนด์ในปัจจุบัน มีไม่กี่คนหรอกที่ยิ่งใหญ่และมีประสบการณ์ในทีมชาติไปมากกว่ากัปตันทีมอย่าง ทิม สปาร์ฟ 

 

แข้งวัย 32 ปี ที่เคยค้าแข้งในอังกฤษกับ เซาแธมป์ตัน ในช่วงเป็นดาวรุ่ง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นหนึ่งในนักเตะฟินแลนด์ชุดยู 21 ที่ผ่านเข้าไปเล่นในยูโร 2009 และได้รับการยกย่องในบ้านเกิด แม้จะไม่สามารถคว้าชัยมาได้เลยก็ตาม

 

ก่อนจะลงเล่นทัวร์นาเม้นต์รอบสุดท้าย สปาร์ฟรับใช้ชาติไปมากกว่า 72 นัด หลังเล่นชุดใหญ่ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 และถูกแต่งตั้งเป็นกัปตันในปี 2015 พร้อมกับทำหน้าที่เป็นตัวรับคนสำคัญของทีมจนถึงปัจจุบัน

 

ในเกมกับ ลิกเตนสไตน์ เขาถูกถอดออกใน 20 นาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา ซึ่งฟินแลนด์กำลังนำอยู่ 2-0 และในช่วงที่กำลังเดินนออกจากสนามแฟนบอลก็ลุกขึ้นปรบมือเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ผู้นำคนเก่งของทีม

 

 

สปาร์ฟสมควรได้รับรางวัลสำหรับการอุทิศตนให้กับทีมชาติมาอย่างยาวนานและช่วยให้ฟินแลนด์เข้าไปเล่นในฟุตบอลรายการใหญ่ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีนักเตะคนไหนทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ลูกหนังของพวกเขา

 

ก่อนเกมวันั้น สปาร์ฟ ยอมรับว่าแค่ได้เข้ามาเล่นในรอบคัดเลือกก็เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว

 

“มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตผมในทุกประเภทเลย” เขากล่าว

 

“มันเป็นส่วนสำคัญของชีวิตผมในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นกัปตันทีมในทีมชุดเยาวชนทุกรุ่นจนถึงทีมชุดใหญ่ และมันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆ แต่ผมก็รักในการทำหน้าที่นี้”

 

“มันเป็นความฝันของผมเสมอที่จะเป็นตัวแทนในทีมชาติและผมรู้สึกภูมิใจมากๆและมีความสุขที่ได้รับโอกาสนี้”