เริ่มมาก็ยากแล้ว : นาเกลส์มันน์กับปัญหาชวนปวดจิตในเสือใต้

ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ถูกมองว่าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดกับตำแหน่งผู้จัดการทีม บาเยิร์น มิวนิค ที่เว้นว่างหลังจบฤดูกาลก่อน แต่หลายคนอาจหวั่นใจไม่น้อย เมื่อได้เห็นผลงานจริงๆที่เกิดขึ้นตรงหน้า

สื่อเยอรมันได้จัดทำตารางอันดับของบรรดา 18 ทีมบุนเดสลีก้าอย่างไม่เป็นทางการจากผลการแข่งขันในช่วงพรีซีซั่นก่อนลุยฤดูกาล 2021-22 ซึ่งผลปรากฏว่า ‘เสือใต้’ รั้งอันดับท้ายสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เจ้าของแชมป์บุนเดสลีก้า 31 สมัย ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลยนับตั้งแต่เตรียมทีมช่วงซัมเมอร์ตลอด 4 นัด แถมพ่ายไปถึง 3 นัดในเกมพบ โคโลญจน์, โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค และ นาโปลี

แม้กุนซือคนใหม่ของ บาเยิร์น ยืนยันว่าไม่มีอะไรให้วิตกกังวล แต่ผลเสมอในนัดเปิดฤดูกาลใหม่กับ ‘สิงห์หนุ่ม’  1-1 ทำให้แฟนบอลหลายคนมองว่าการป้องกันถาดแชมป์ลีกเมืองเบียร์ของทีมจาก มิวนิค ในฤดูกาลนี้จะไม่ง่ายแบบฤดูกาลก่อนที่ทำแต้มทิ้งห่างอันดับ 2 ถึง 13 แต้มแน่นอน…

 

พรีซีซั่นที่ไม่เป็นดั่งหวัง

ฮานซี่ ฟลิก กุนซือคนก่อนของ บาเยิร์น สร้างมาตรฐานที่สูงไว้ไม่น้อยในตลอด 1 ปีครึ่งที่เขากุมบังเหียนใน อัลลิอันซ์ อารีน่า อีกทั้งยังประสบความสำเร็จสุดๆ ด้วยการคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 2019-20, แชมป์สโมสรโลกในปี 2020 รวมถึงป้องกันแชมป์ลีกได้ในฤดูกาลที่ผ่านมา 

อีกทั้ง นายใหญ่ทีมชาติเยอรมันคนปัจจุบัน ยังเป็นที่ชื่นชอบและเคารพของนักเตะหรือแฟนๆในสโมสรเช่นกัน ดังนั้นภารกิจในการหาคนมาแทนที่ ฟลิก จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนมาจบที่ นาเกลส์มันน์

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ช่วงพรีซีซั่นของ บาเยิร์น ไม่เป็นไปตามที่อุดมคติของ อดีตนายใหญ่ แอร์เบ ไลป์ซิก เช่นกัน

ในอดีต นาเกลส์มัน เคยเป็นนักเตะเยาวชนของ 1860 มิวนิค สโมสรอริร่วมเมืองของ บาเยิร์น ทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอล ‘เสือใต้’ บางกลุ่มอยู่แล้วในเกมอุ่นเครื่อง และความสัมพันธ์ของเขากับแฟนๆจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับจูนให้เข้าหากันอย่างแน่นอน

มากไปกว่านั้น กุนซือหนุ่มวัย 34 ปี ยังมีหนทางอีกยาวไกลจนกว่าทีมจะเล่นในแบบที่เขาต้องการได้ เพราะในสมัยคุม ไลป์ซิก เขาใช้เวลาพอสมควรให้การหาแทคติกที่ลงตัวกับทีมยิ่งกว่าสมัยอยู่กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ซึ่งเปลี่ยนจากทีมที่เล่นเกมโต้กลับมาเน้นการครอบครองบอลแทน

เขาอาจไม่ต้องทำแบบเดียวกันนี้กับบาเยิร์นที่มีระบบเพียบพร้อมอยู่แล้ว แต่เขาต้องการเพิ่มคุณสมบัติใหม่หลายอย่างเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น ฟูลแบ็คที่ตัดเข้าไปเติมเกมรุกด้านใน,จ่ายบอลขึ้นเกมแบบสามเหลี่ยมทั่วสนาม, การสลับเปลี่ยนตำแหน่งยามครองบอล หรือ การบีบเพรสซิ่งบอลในแดนคู่แข่งมากกว่าที่เคย

นอกจากนี้ ยูเลี่ยน ยังตั้งใจที่จะเปลี่ยนระบบการเล่นระหว่างแข่งด้วย แม้ว่ายึดระบบ 4-2-3-1 เป็นแผนดั้งเดิมตั้งแต่เริ่มฤดูกาลก็ตาม

สิ่งที่ทำให้งานนี้ยากสุดๆคือ เรื่องที่ นาเกลส์มันน์ ไม่สามารถเพิ่มเติมแนวคิดใหม่ๆให้กับตัวหลักอย่าง โจชัว คิมมิช, โธมัส มุลเลอร์ และ อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์ ได้ทันที เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นเพิ่งกลับมาซ้อมได้ไม่นานหลังจากหยุดพักยาว

 

คุณภาพไม่คับทีม

บาเยิร์น ยังมีเรื่องให้ต้องปวดหัวอีกเช่นกันเกี่ยวกับ 11 ผู้เล่นตัวจริง และคุณภาพของผู้เล่นในทีม เมื่อต้องเสีย ดาวิด อลาบา และ เจอโรม บัวเต็ง 2 แนวรับมากประสบการณ์ออกไปในซัมเมอร์นี้ รวมไปถึง ฆาบี มาร์ติเนซ กองกลางสารพัดประโยชน์ด้วย

แบ็งฌาแมง ปาวาร์ แบ็คขวาทีมชาติฝรั่งเศส มีปัญหาในการเติมเกมรุก ขณะที่ แบ็คซ้ายทีมชาติแคนาดา อย่าง เดวี่ส์ ก็เล่นเกมรุกมากเกินไปจนลืมเกมรับ ดังที่เห็นในช่วงท้ายฤดูกาลก่อน ส่วน นิคลาส ซูเล่ เซ็นเตอร์แบ็ค ยังคงมีปัญหาเรื่องความฟิตและน้ำหนักตัวของเขา นับตั้งแต่บาดเจ็บเข่าจนต้องผ่าตัดพักยาวในปี 2019

2 ปีกทีมชาติเยอรมันอย่าง แซร์จ นาบรี้ กับ เลรอย ซาเน่ ก็ทำผลงานได้น่าผิดหวังในฤดูกาลที่ผ่านมา หลังยิงไปคนละ 11 กับ 10 ลูกตามลำดับ และไม่ได้โดดเด่นกับทัพ ‘อินทรีเหล็ก’ ในยูโร 2020 เลย

แน่นอนว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยังเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อไหร่ที่ดาวยิงทีมชาติโปแลนด์ไม่สามารถลงสนามได้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ไม่มีใครฝากความหวังในการทำประตูได้เทียบเท่า เลวี่ เลย

ปัญหาหลักๆของบาเยิร์นคือพวกเขาไม่สามารถหานักเตะที่สามารถทดแทนตัวหลักเหล่านี้ได้อย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังเป็นทีมที่มีตัวเลือกไม่มาก เนื่องจากคุณภาพนักเตะระหว่างตัวจริงและสำรอง ห่างกันพอสมควร

จริงอยู่ที่ ทอร์บิน ไรน์ และ อาร์มานโด้ ซีบ 2 มิดฟิลด์ดาวรุ่งของทีมอาจฉายแววให้เห็น แต่ก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะพร้อมลงเล่นในศึกใหญ่หรือเกมนัดสำคัญของฤดูกาล หลังได้เล่นในช่วงอุ่นเครื่อง แต่ไม่มีชื่อในทีมชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ

 

เสริมแค่นี้อาจไม่พอ

นโยบายการซื้อขายและเสริมทัพเป็นจุดหลักที่ทำให้ ฟลิก และ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร มีปัญหาไม่ลงรอยกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะขอเลือกเดินจากไป

นาเกลส์มันน์ ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ คงไม่ต้องการเข้าไปแทรกแซงด้านการซื้อขายของสโมสรอยู่แล้ว แต่เขาก็คงไม่แฮปปี้นักกับความจริงที่ว่า บาเยิร์น คว้านักเตะมาเพิ่มแค่เพียงรายเดียวในซัมเมอร์

ณ ตอนนี้มีนักเตะใหม่ของฤดูกาล 2021-22 ที่ถูกดึงมาเสริมทัพเพียง 3 รายเท่านั้น ประกอบไปด้วย ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ จาก ไลป์ซิก, โอมาร์ ริชาร์ดส์ แบ็คซ้ายจากเร้ดดิ้ง และ สเวน อุลไรช์ นายทวารจากฮัมบูร์ก

แต่ 2 รายแรกก็เป็นดีลที่สโมสรจัดการเรียบร้อยตั้งแต่ต้นปีนี้แล้วในยุคของ ฟลิก ขณะที่ อุลไรช์ ถูกดึงมาแบบฟรีๆ หลังยกเลิกสัญญากับ ‘สิงห์เหนือ’ ในเดือนมิถุนายน

แม้ว่าบาเยิร์นจะมีสถานะการเงินที่ดีเยี่ยม แต่ผู้บริหารเบื้องกล่าวว่าสโมสรกำลังดิ้นรนกับการสูญเสียรายได้จำนวนมากตั้งแต่โควิด-19 ระบาดใหม่ๆในช่วงมีนาคมปีก่อน ทำให้พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเคลื่อนไหวเสริมทัพในตลาดนักเตะเท่าไหร่นัก

ที่สำคัญ ยอดทีมแคว้น บาวาเรีย ยังสูญเสียเครือข่ายของพวกเขาไปหลัง อูลี่ เออร์เนส และ คาร์ล ไฮนซ์ รุมมินิเก้ ก้าวลงจากตำแหน่งหลังจบฤดูกาลที่แล้ว โดย 2 ตำนานสโมสรถือเป็นคนสำคัญในการเจรจาติดต่อซื้อขายนักเตะกับสโมสรอื่นๆ รวมไปถึงเอเย่นต์ของนักเตะด้วย

ขณะที่ ซาลิฮามิดซิช และ โอลิเวอร์ คาห์น ผู้รับช่วงต่อจาก ‘คิง คัลเล่’ ในตำแหน่งประธานบริหารคนใหม่ ยังไม่ได้มีระดับหรือสถานะเดียวกันกับ เออร์เนส หรือ รุมมิมิเก้ ในด้านงานเบื้องหลังของวงการฟุตบอล

ตัวของ นาเกลส์มันน์ ก็คงช่วยอะไรในด้านนี้ได้ไม่มากนัก เนื่องจากเป็นเพียงกุนซือหนุ่มไฟแรง แต่ยังไม่มีบารมีและความสำเร็จมากพอในการดึงดูดแข้งดัง และในช่วงที่คุม 2 สโมสรก่อนหน้านี้ เขาก็สบายใจกับบทบาทเฮดโค้ชเพียงอย่างเดียวในทีมมากกว่า และบอกเป็นนัยว่าตั้งใจจะโฟกัสเงานโค้ชแค่อย่างเดียวต่อไปในอนาคต

สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ยูเลี่ยน และทีมของเขาจะสามารถผ่านช่วงแรกของฤดูกาลใหม่โดยไม่ต้องเจอเรื่องสุ่มเสี่ยงหรือร้ายแรงหรือไม่

และถ้าคำว่า ‘ไม่’ เป็นคำตอบของคำถามนี้ เราอาจได้เห็นความวุ่นวายของสโมสรที่หลายคนมองว่าเกิดขึ้นได้ยากเกิดขึ้นมาจริงๆในแคมป์ของ ‘เสือใต้’ ก็เป็นได้

 

บทความที่เกี่ยวข้องกับ นาเกลส์มันน์