น้ำตาท่วมฮานอย! ย้อนรอยช้างศึกหักอกดาวทองนัดชิงซีเกมส์ 2003

อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เกมฟุตบอลนัดสำคัญระหว่าง ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติเวียดนาม ในศึก ซีเกมส์ ครั้งที่ 32 นัดชิงชนะเลิศ ที่กรุงฮานอย กำลังจะลงสนาม นับเป็นเกมที่แฟนบอลให้ความสนใจไม่น้อย

ต้องบอกเลยว่าทั้งสองทีมคือคู่ชิงชนะที่แฟนบอลต่างใฝ่ฝันและพวกเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวัง และเชื่อว่าเกมวันนี้จะเป็นเกมที่สนุกตื่นเต้นแน่นอน

แต่หากย้อนกลับไปในอดีต ทัพ “ช้างศึก” เคยสร้างความเจ็บปวดให้กับทัพ “ดาวทอง” มาแล้วในเกมนัดชิงชนะเลิศ ซีเกมส์ ครั้งที่ 22 เมื่อปี 2003 ซึ่งวันนั้น ไทย สามารถเอาชนะ เวียดนาม ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเองเกือบครึ่งแสนคนที่ มีดิญห์ สเตเดี้ยม นับเป็นอีกเกมที่ยังอยู่ในความทรงจำของแฟนฟุตบอลจนถึงตอนนี้

โดยวันนี้ UFAARENA จะขอพาย้อนไปดูความสำเร็จของทีมชาติไทย บนแผ่นดินเวียดนาม ในศึก ซีเกมส์ ครั้งนั้นอีกครั้ง เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่เกมนัดชิงชนะเลิศ ซีเกมส์ ครั้งที่ 32 จะเริ่มต้นขึ้น

 

ยุคแรก ซีเกมส์ เปลี่ยนมาใช้ทีมชุด U23

ย้อนกลับไปช่วงยุคแรกของการแข่งขัน ซีเกมส์ สำหรับฟุตบอลยังคงสามารถส่งผู้เล่นได้แบบไม่จำกัดอายุ ซึ่งแน่นอนว่าทุกชาติล้วนแล้วแต่ส่งทีมชุดใหญ่ของตัวเองไปเล่นทั้งหมด กระทั่งปี 2001 ซีเกมส์ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย มีการเปลี่ยนแปลงเป็นการใช้ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ลงเล่นเป็นครั้งแรก

นั่นหมายความว่า ซีเกมส์ ครั้งที่ 22 ที่กรุงฮานอย และ โฮจิมินห์ คือครั้งที่สองที่ฟุตบอลชายถูกเปลี่ยนเป็นการใช้ผู้เล่นชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ลงทำการแข่งขัน

แน่นอนว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจากการใช้ทีมชุดใหญ่มาเป็นทีมเยาวชน ทำให้ศักยภาพของผู้เล่นแต่ละทีมมีความใกล้เคียงกันมากขึ้นกว่าเดิม และถือเป็นการมอบโอกาสให้กับนักเตะอายุน้อยได้มีทัวร์นาเมนต์สำคัญให้ลงสนาม

แน่นอนว่า สำหรับทัพ “ช้างศึก” เรามีทีมที่แข็งแกร่งเต็มไปด้วยดาวรุ่งมากพรสวรรค์ในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, สุรัตน์ สุขะ, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, ดัสกร ทองเหลา, ธีรเทพ วิโนทัย และ ศรายุทธ ชัยคำดี และนำทีมโดยกุนซือชาวบราซิล คาร์ลอส โรแบร์โต คาร์วัลโญ 

 

ดาวเด่นของทั้งสองทีม 

หากพูดถึงดาวเด่นของทั้งสองทีมในศึก ซีเกมส์ เมื่อปี 2003 สำหรับเจ้าภาพเวียดนาม พวกเขานำทัพมาโดยศูนย์หน้าตัวความหวังอย่าง เลอ คอง วินห์ ซึ่งก่อนทัวร์นาเมนต์เจ้าตัวถูกจับตามองเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ดีที่สุดของวงการฟุตบอลเวียดนาม เช่นเดียวกับคู่กองหน้าอีกคนอย่าง ฟาม วาน เควียน ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันครั้งนั้น

ส่วนทางทีมชาติไทย ของเทรนเนอร์อย่าง คาร์ลอส โรแบร์โต คาร์วัลโญ มีสุดยอดดาวรุ่งแห่งยุคอย่าง ดัสกร ทองเหลา ที่เพิ่งกลับมาจากการถูก ไกเซอร์สเลาเทิร์น ยืมตัว และอีกหนึ่งเด็กระเบิดอย่าง ธีรเทพ วิโนทัย ซึ่งยังคงเป็นนักเตะในทีมเยาวชน คริสตัล พาเลซ ณ เวลานั้น

ศรายุทธ ชัยคำดี ถือเป็นอีกหนึ่งดาวเด่นของซึ่ง ซีเกมส์ ครั้งนั้นเช่นกัน เนื่องจากเจ้าตัวคือผู้เล่นที่เคยผ่านการลงเล่นกับทีมชาติชุดใหญ่มาแล้ว แถมเขายังสามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวหลังจบทัวร์นาเมนต์มาครองได้อีกด้วย จากการยิงไปถึง 9 ประตู ซึ่งเป็นสถิตินักตะที่ยิงประตูใน ซีเกมส์ ต่อครั้งมากสุดจนถึงตอนนี้

 

นัดชิงสนามแตก

หลังทั้งสองทีมต้องเจอกันในเกมนัดเปิดสนามรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 ทั้ง ไทย และ เวียดนาม ต้องกลับมาพบกันอีกครั้งในเกมนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นดรีมไฟนอลส์สำหรับศึก ซีเกมส์ ครั้งนั้นเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าด้วยการเป็นเจ้าภาพ แฟนบอล “ดาวทอง” ต่างคาดหวังว่าทีมของพวกเขาจะสามารถเอาชนะ “ช้างศึก” และคว้าเหรียญทองสมัยแรกมาครองได้สำเร็จ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาพากันเดินทางเข้ามาชมเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่สนาม มีดิญห์ สเตเดี้ยม ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาสำหรับการแข่งชัน ซีเกมส์ ครั้งที่ 22 แบบเต็มความจุ 40,000 ที่นั่ง และส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มตลอดทั้งเกม นับเป็นบรรยากาศสนามแตกที่ยากจะได้เห็นกับการแข่งขันฟุตบอล ซีเกมส์ ในยุคหลังๆ

 

ประตูชัยสุดสวย ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์

นับเป็นอีกหนึ่งแมตช์แห่งความทรงจำของใครหลายคนก็ว่าได้ และถือเป็นเกมที่มีเหตุการเกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ติดตามากสุดคงหนีไม่พ้นจังหวะซัดประตูสุดสวยของ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ ที่ช่วยให้ ไทย สามารถเอาชนะ เวียดนาม ได้สำเร็จ

เกมลูกทีม คาร์ลอส โรแบร์โต คาร์วัลโญ สยบเสียงเชียร์เจ้าภาพก่อนจากการทำประตูของ “โจ้ 5 หลา” ศรายุทธ ชัยคำดี ตั้งแต่ช่วง 32 นาทีแรกของเกม หลังจากนั้นแค่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนจบ 90 นาที เวียดนาม มาตามตีเสมอ 1-1 จากการยิงของกองหน้า ฟาม วาน เควียน ต่ออายุให้ทีมของเขาได้ไปลุ้นต่อในช่วงต่อเวลาที่ใช้ระบบการเล่นแบบโกลเด้นโก

แต่หลังกลับมาลงเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษแค่เพียง 6 นาที ทีมชาติไทย มาได้ประตูจากลูกยิงไกลสุดมหัศจรรย์ของ “โอ๊ต” ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ ในนาทีที่ 96 พาทีมเอาชนะ เวียดนาม ในเกมนัดชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าเหรียญทอง ซีเกมส์ สมัยที่ 11 มาครองได้สำเร็จ ทำเอาแฟนบอลเวียดนาม เกือบครึ่งแสนคนที่สนาม มีดิญห์ สเตเดี้ยม ต้องน้ำตาตกไปตามๆ กัน

นอกจากนั้นประตูของ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ ยังถูกย่องให้เป็นหนึ่งในลูกยิงสวยสุดตลอดกาลของทีมชาติไทย มาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว

 

ไร้พ่ายตลอดทัวร์นาเมนต์

นอกจากจะสามารถคว้าแชมป์ ซีเกมส์ ครั้งที่ 22 ได้อย่างสวยหรู ด้วยการเอาชนะเจ้าภาพเวียดนาม ในเกมนัดชิงชนะเลิศ แล้ว ต้องบอกเลยว่าผลงานโดยรวมของทัพ “ช้างศึก” ทัวร์นาเมนต์นั้นถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย และไม่แพ้ใครเลยแม้แต่นัดเดียว

โดยเกมในรอบแบ่งกลุ่ม ไทย ลงเล่น 3 นัด เจอกับ เวียดนาม, อินโดนีเซีย และ ลาว ซึ่งลูกทีม คาร์ลอส โรแบร์โต คาร์วัลโญ คว้าแชมป์กลุ่มด้วยการเก็บชัยชนะเหนือ อินโดนีเซีย 6-0 และ ลาว 6-0 ส่วนเกมกับ เวียดนาม จบลงด้วยผลเสมอ 1-1

ก่อนที่เกมรอบรองชนะเลิศ “ช้างศึก” ต้องโคจรมาพบกับ เมียนมาร์ ซึ่งเกมนัดนั้น ศรายุทธ ชัยคำดี เหมาคนเดียว 2 ประตู พาทีมเอาชนะ 2-0 และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งท้ายที่สุดจบลงด้วยการเป็นแชมป์

นั่นทำให้ ไทย ลงเล่น ซีเกมส์ ที่กรุงฮานอย พร้อมกับคว้าเหรียญทองและไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ จากการลงเล่น 5 นัด ชนะ 3 เสมอ 2 ยิง 17 และเสียแค่เพียง 2 ประตู เท่านั้น