น้ำพริกถ้วยเก่า:ยอดกุนซือที่หวนกลับไปคุมสโมสรเดิมอีกครั้ง

 

ในวันที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่  โดน “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ ปลดออกจากตำแหน่ง มันดูเหมือนว่าช่วงเวลาของ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ กับสโมสรนั้นจะจบลงไปแล้ว

 

แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในวงการลูกหนัง ในการที่กุนซือคนหนึ่งจะย้อนกลับมาคุมทีมอีกครั้ง และ พอช ก็เป็นหนึ่งในนั้น  หลังจากที่เขาออกมายอมรับว่ามีความฝันจะได้กลับมาคุมทีมดังแห่งกรุง ลอนดอน อีกครั้ง

 

“นี่เป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นที่ไม่มีใครอยากให้มันจบลง แต่หากมองลึกลงไปในจิตวิญญานของผม มันก็ทำให้แน่ใจได้ว่ามีโอกาสที่ผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่วันที่ผมออกจากสโมสร ความฝันของผมคือการกลับยมาสู่สโมสร เพราะงานที่ทำมันยังไม่เสร็จสิ้น “

 

ทั้งนี้ก็คงต้องรอต่อไปว่าสุดท้ายเส้นทางข้างหน้าของ พอช จะไปอยู่ที่ไหน แต่เชื่อเหลือเกินว่าถ้ามีโอกาสซักวันเขาคงกลับไปยังถิ่น ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ อีกครั้งอย่างแน่นอน

 

และเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ วันนี้เราจะขอนำเสนอถึงเรื่องราวของยอดกุนซือที่กลับคืนสู่สโมสรเก่าของเขาอีกครั้ง และการกลับมามันก็ไม่ได้มีแต่ความสำเร็จซะด้วยสิ มีใครบ้างลองไปดูกัน

 

 

กลับมาทีมเดิมแล้วทำผลงานดี

 

แฮร์รี่ เรดแน็ปป์ (กลับไป พอร์ตสมัธ เมื่อปี 2005)

 

การกลับมายังถิ่น เฟรทตัน ปาร์ค เป็นคำรบ 2 สร้างความขมขื่นให้กับคู่อริตลอดกาลอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่น้อย เพราะนี่คือสองสโมสรทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญทั้งคู่  คนของทั้งสองเมืองนี้เกลียดกันยิ่งกว่าอะไรดี มันผ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ จนมาระเบิดเอาในสนามฟุตบอล ในแต่ละเกมถ้าสองทีมนี้เจอกัน ต้องมีตำรวจหลายร้อยนายเข้าคุมสถานการณ์ คือถ้าจะมีการต่อยตีกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

 

และนั่นทำให้ แฮร์รี่ ต้องใช้ความกล้าเอามากๆ ในการกลับมาทำงานหนที่ 2 ที่นี่ จากครั้งแรกที่เคยพาทีม ก้าวขึ้นชั้นสู่พรีเมียร์ลีก มาคราวนี้เขาพาทีมทำผลงานเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ก่อนสุดท้ายจะสร้างประวัติศาสตร์พาทีมเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 1-0 ที่สนามเวมบลีย์ ในปี 2008  คว้าแชมป์ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ นับเป็นสมัยที่ 2 ของสโมสร และนั่นคือผลงานสุดท้ายกับทืม ก่อนที่เขาจะย้ายไปคุมทัพ สเปอร์ส ต่อไป

 

จุ๊ปป์ ไฮย์เกส์  (กลับไป บาเยิร์น มิวนิค 3 ครั้ง )

 

นี่คือสุดยอดกุนซือที่ทัพ “เสือใต้” จะไม่มีวันลืม  หลังจากยอดบรมกุนซือรายนี้ เคยคุมทัพมาแล้วถึง 4 ครั้งในปี 1987-1991 ครั้งที่สองปี 2009 ก่อนที่จะสร้างผลงานมาสเตอร์พีซ ในครั้งที่สาม ฤดูกาล 2012/2013  ด้วยการพา บาเยิร์น  คว้าทริปเปิ้ลมแชมป์ได้สำเร็จ โดยเฉพาะการกลับมาผงาดครองแชมป์ยุโรปในรอบ 12 ปี หลังเอาชนะ โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ 2-1 ในเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจวางมือไปในที่สุด 

 

แต่แล้วหลังจากนั้นด้วยฟ้าลิขิตหรืออะไรก็ตามทำให้ ไฮย์เกส ต้องกลับมาสู่ถิ่น อัลลิอันซ์ อีกครั้งเป็นหนที่ 4 ในวัย 72 ปี เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา  หลังสโมสรตัดสินใจปลด คาร์โล อันเชล็อตติ ออกจากตำแหน่งไป แต่คราวนี้เขากลับมาเพียงชั่วคราวจนถึงจบฤดูกาลเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอที่”ปู่จู๊ปป์” จะกู้วิกฤติให้สโมสรคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา ได้สำเร็จในปีนั้น นับเป็นสมัยที่ 28 ของสโมสร และสมัยที่ 6 ติดต่อกันด้วย

 

ซีเนอดีน ซีดาน (กลับไป เรอัล มาดริด เมื่อปี 2019)   

 

 

ใครจะไปเชื่อว่าคนที่ไม่เคยก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือชุดใหญ่ให้กับสโมสรไหน จะสร้างผลงานเอกอุให้กับทีมเช่นนี้ หลังจากที่ ซิซู ก้าวขึ้นจากทีม กาสตีญ่า เขาก็ระเบิดฟอร์มเหมือนสมัยเป็นนักเตะด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ 3 สมัยติดต่อกัน สร้างตำนานให้จารึกเอาไว้ ก่อนจะอำลาทีมไปเพื่อเปิดทางให้คนใหม่เขามา หลังมองว่าถึงเวลาที่ทีมจำเป็นต้องหาสิ่งที่แตกต่างจากเดิมแล้ว

 

แต่หลังจาก กุนซืออดีตแชมป์โลกชาวฝรั่งเศส อำลาทีมไป ทัพ “ราชันชุดขาว” ก็ไปถึง ฆูเลน โลเปเตกี อดีตกุนซือทีมชาติสเปน เข้ามาหลังจบฟุตบอลโลก 2018 และก้ทำทีมได้เพียงไม่นานจากผลงานที่ย่ำแย่ ก่อนจะต้องปลดจากตำแหน่งกลางอากาศ พร้อมแต่งตั้ง ซานติอาโก้ โซลารี่ มาคุมแทน ซึ่งก็ดีแค่ในช่วงแรก ก่อนที่สุดท้ายจะหลุดยาวๆแบบกู่ไม่กลับ

 

และหลังจากนั้น ฟลอเรติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร จำเป็นต้องต่อสายตรงหา ซิซู อีกครั้ง เพื่อให้กลับมากู้วิกฤติทีมโดยด่วนเมื่อฤดูกาลที่แล้ว  และเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลนี้ ยอดกุนซือยอดนักเตะรายนี้ ก็พาทีมกลับมาอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ลาลีกาอีกครั้ง ก่อนจะถูกเบรคจาก โคโรน่าไวรัส หรือ โควิด-19 ในที่สุด แต่นั่นก็น่าจะแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือยอดกุนซือที่แท้จริง หาใช่มีดีแค่บารมีที่ยิ่งใหญ่จากสมัยเป็นนักเตะไม่

 

นีลล์ เลนน่อน (กลับไป กลาสโกว เซลติก ในปี 2019)

หนึ่งในกุนซือที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของโมสร ม้าลายเขียวขาว หลังรอบแรกที่คุมทีมระหว่างปี 2010-2014 เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 สมัย  แต่แล้วจากนั้นเขาก็กลับคืนสู่ถิ่น เซลติก พาร์ค อีกครั้ง เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่สโมสรปลด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ออกจากตำแหน่ง และก็ตามคาดเมื่อเขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัยติดต่อกัน พร้อมกับเป็นคว้าแชมป์ 9 สมัยติดของสโมสรด้วย เรียกว่ากลับมาเมื่อไหร่มีแชมป์เมื่อนั้น

 

ฟาบิโอ คาเปลโล่ (กลับ เรอัล มาดริด ปี 2016 )

 

หลังจากที่เซ็นใบลาออกจากต้นสังกัดเดิม “ม้าลาย” ยูเวนตุส ซึ่งกำลังจะหล่นชั้นไปเล่นในเซเรีย ซี 1  ฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็ตัดสินใจมารับงานคุมทีม เรอัล มาดริด และก็หวังจะเรียกสปิริตจากทีมคืนมาก่อนไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน

 

โดยในยุคนั้นทัพ ราชันชุดขาว มีแข้งระดับโลกอย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ,เดวิด เบ็คส์แฮม และ รุด ฟานนิสเตอรอย ซึ่งกุนซือชาวอิตาเลียนก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการคว้าแชมป์ลาลีกา มาครองได้สำเร็จ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาได้อยู่ในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบล  เพราะด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นแท็กติกเป็นสำคัญ นั้นจึงไม่ถูกใจ ฟลอเรติโน่ เปเรซ  ประธานสโมสรมากนัก เนื่องจากต้องการให้ทัพ “ราชันชุดขาว” นั้นเล่นด้วยสไตล์ที่เอนเตอร์เทนแฟนบอลมากกว่านี้ 

 

และนั่นทำให้เส้นทางของ คาเปลโล่ กับเรอัล มาดริด ต้องสิ้นสุดลง ก่อนที่เขาจะไปคุมทีมชาติอังกฤษ ต่อจาก สตีฟ แมคลาเรน ในปี 2007 พร้อมแบกความคาดหวังในการพา “สิงโตคำราม” คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ที่แอฟริกาใต้ เมื่อปี 2010 อย่างไรก็ตาม ต้องกลับบ้านมือเปล่าหลังถูกเยอรมนี เขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย 

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

กลับมาทีมเดิมแล้วทำผลงานแย่

 

หลุยส์ ฟานกัล (กลับบาร์เซโลน่า ปี 2002)

 

ฟาน กัล สร้างผลงานสุดยอดในการคุมทัพ “อัลซูลกราน่า”  ในสมัยแรกด้วยการคว้าแชมป์ ลาลีกา สเปน กับทีมได้ 2 สมัยซ้อนในฤดูกาล 1997/98 และ 1998/99 แต่ด้วยการมีปัญหากับนักเตะ และสื่อมวลชม รวมไปถึงแฟนบอลนั่นก็ทำให้เขาต้องอำลาตำแหน่ง

 

 

แต่แล้วในปี 2002 เขาก็ได้กลับมาคุมทัพอีกครั้ง พร้อมเซ็นสัญญายาวถึง 3 ปี แต่ปรากฏว่าลมพัดหวนรอบนี้ไม่ดีเหมือนเดิม และผลงานฤดูกาลแรกก็แสนหดหู่ เมื่อทีมต้องร่วงไปอยู่อันดับ 12  และมีแต้มจากฝูงถึง 20 คะแนนในตอนนั้น ประเด็นสำคัญสุดคือเขาปล่อยตัว ริวัลโด้ ดาวเตะคนสำคัญของทีมออกไป และนั่นทำให้ บอร์ดบริหารหมดความอดทน ก่อนจะมีการประชุมด่วนและปลดกุนซือชาวดัตช์ ออกจากตำแหน่งในที่สุด

 

 

“เขาเข้ามาในห้องแต่งตัวหลังจากได้ยินข่าว เริ่มมีการพูดคุย และทันใดนั้นเขาก็เริ่มร้องไห้เหมือนเด็ก เขาปวดใจจริงๆ มันส่งผลกระทบต่อผมเมื่อเห็นเขาร้องไห้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ที่นี่เขาถูกทำลาย” ฟิลิปป์ คริสตองวาล อดีตกองหลังทีม “เจ้าบุญทุ่ม”กล่าว

 

 

เคนนี่ ดัลกลิช  (กลับ ลิเวอร์พูล ปี 2011)

 

“คิงเคนนี่”  กลับมาคุมลิเวอร์พูลอีกครั้ง ในฤดูกาล 2011/2012 ท่ามกลางความคาดหวังของผู้บริหารทีมและแฟนบอล เนื่องจากรอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการคนก่อนหน้านั้นมีผลงานทีย่ำแย่สุดๆ  แต่ว่าผลงานของทีมในยุค ดัลกลิช หนี้ กลับทำได้เพียงแค่แชมป์ลีกคัพ เท่านั้น ซึ่งแม้จะเป็นแชมป์แรกของทีมในรอบ 6 ปี และได้เข้าชิงเอฟเอคัพกับเชลซี แต่อันดับในตารางเมื่อจบฤดูกาล “หงส์แดง” ทำได้เพียงแค่ที่ 8 เท่านั้น ซึ่งอันดับต่ำกว่าเอฟเวอร์ตัน ทีมคู่ปรับร่วมเมืองเสียอีกที่ได้ที่ 7 ทำให้เมื่อจบฤดูกาล ทำให้ บอร์ดบริหารตัดสินใจปลด ดัลกลิช  ดลกลีชออกจากตำแหน่งทันที

 

 

 

กีเก้ ซานเชซ ฟลอเรส (กลับ วัตฟอร์ด ปี 2019 )

ซานเชซ ฟลอเรส กลับสู่ถิ่น วิคาเรจ โร้ด อีกครั้ง หลังจากที่เขาเคยคุมทัพ “แตนอาละวาด” มาแล้วในฤดูกาล 2015-16 และทำผลงานได้สุดยอดในตอนนั้นเมื่อพาทีมจบอันดับ 13 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ก่อนย้ายไปคุมทีม เอสปันญอล ในลาลีกา สเปน  ก่อนที่จะย้ายไปรับงานในซูเปอร์ ลีก ประเทศจีน กับทีม เซียงไฮ เซิ่นหัว  จนในที่สุด วัตฟอร์ด ก็เรียกตัวเขากลับมากู้วิกฤติอีกครั้ง

 

แต่แล้วฝันก็พลันทลายไปในพริบตา เมื่อ กุนซือชาวสเปน วัย 54 ปีในตอนนั้นกลับมาคุมทัพ และได้ทำหน้าที่นี้เพียง 85 วัน หรือราว 2 เดือนกว่าๆ เท่านั้น เนื่องด้วย พาทีมเก็บชนะได้เพียงแค่  1 เกม จาก 10 นัดในพรีเมียร์ลีก และเก็บชัยชนะได้ในถ้วย คาราบาวคัพอีก 1 เกมเท่านั้น ก่อนที่จะชะตาขาดหลังพาทีมบุกแพ้เซาแธมป์ตัน  1-2 นับเป็นการพ่ายนัดที่ 8  พร้อมกับทำให้ทีมจมอยู่อันดับสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก และห่างจากโซนปลอดภัยถึง 6 คะแนน

 

โชเซ่ มูรินโญ่  (กลับมาคุม เชลซี ปี 2013)

 

ตำนานยอดกุนซือแห่งทัพ “สิงห์บูล์ส” ตัวจริงเสียงจริง  “เดอะสเปเชี่ยลวัน” ทำผลงานมาสเตอร์พีซ ในการคุมทีมรอบแรก เมื่อพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 50 ปี ด้วยการทำไปถึง 95 คะแนน ก่อนจะคว้าแชมป์ได้ 2 สมัยซ้อน และอำลาทีมไปสร้างความยิ่งใหญ่หลังจากนั้นกับ อินเตอร์ มิลาน และ เรอัล มาดริด

 

แต่แล้วการกลับบ้านเก่าอีกครั้งที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์  ในรอบนี้ พร้อมเซ็นสัญญายาว 4 ปี  ในช่วงฤดูกาลที่ 2 แม้ว่า กุนซือโปรตุกีส จะพาทีมกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาล 2014 /15 แต่แล้วในฤดูกาลที่ 3  ทัพ “สิงห์บูล์ส” กลับฟอร์มหลุดแบบไม่น่าเชื่อ เมื่อพ่ายไปถึง 9 นัด จาก 16 เกมแรกในพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุสำคัญที่ฟอร์มของทีมรูดกราวขนาดนั้นก็เนื่องจากการที่ มูรินโญ่ ไปมีปัญหากับ  แพทย์หญิงเอวา การ์เนโร แพทย์สนามของเชลซี  จนทำให้มีนักเตะในทีมหลายคนไม่พอใจ นำโดย เอแดน อาซาร์  ที่ฟอร์มตกไปเลย และคาดว่านั่นอาจจะเป็นการเลื่อยเก้าอี้ของกุนซือชาวโปรตุกีส จนเขาต้องพ้นจากตำแหน่งในทึ่สุด

 

  DaboyG 

ที่มา :