บทความ:พรีเมียร์ลีกปลดล็อคแต่ปัญหายังไม่จบ?

เชื่อเหลือเกินว่าแฟนลูกหนังทั่วโลก ที่คิดถึงการแข่งขันฟุตบอล โดยเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แทบจะหยิบพลุขึ้นมาจุดฉลองพร้อมกันในทันใด หลังจาก รัฐบาลอังกฤษ ประกาศปลดล็อคดาวน์ ให้กีฬาภายในประเทศกลับมาแข่งขันกันได้อีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.นี้ เป็นต้นไป

 

ทุกอย่างถูกหยุดสต๊อปลงแบบที่ไม่มีต้องการ ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. หลังสถานการณ์ โคโรน่าไวรัส หรือ โควิด-19 ภายใน สหราชอาณาจักร นั้นระบาดอย่างหนัก จนท่าทางจะเอาไม่อยู่ น่ากลัวจะดูไม่จืด และเป็นเรื่องในตอนนั้นที่ไม่มีใครรู้เลยว่าลีกผู้ดี จะกลับมาได้ตอนไหนกัน

 

ถึงขนาดที่ว่าพรีเมียร์ลีก ต้องขจัดความเหงาด้วยการ เปิดแข่งขันเกมฟีฟ่า20 ภายใต้ชื่อว่า FIFA  e premier league โดยให้นักเตะของแต่ละสโมสรมาวาดลวดลายผ่านทางคอนโซลแทน ซึ่งผลก็เป็น ดิเอโก้ โจต้า จาก วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่คว้าแชมป์ไปครอง  ขณะเดียวกัน ในแต่ละสัปดาห์  บอร์ดบริหารพรีเมียร์ลีก รวมถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็นัดทั้ง 20 สโมสรมาร่วมประชุมผ่าน วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ภายใต้ชื่อโครงการว่า “โปรเจครีสตาร์ท” ทุกวันศุกร์ เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ที่จะกลับมาลงสนามในฤดูกาลที่เหลืออีกครั้ง

มีการระดมสมองออกความคิดกัน ทั้งการเตะแบบสนามปิดไม่มีคนดู ,ใช้สนามกลางในการลงแข่ง หรือบ้างก็หาวิธีไปไกลถึงการออกไปแตะขอบฟ้าที่ต่างแดนซึ่งมี ออสเตรเลีย นั้นพร้อมรับมือเป็นเจ้าภาพให้

 

 

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรี ผู้มีความหัวดื้อไม่น้อย ที่ช่วงแรกเชื่อมั่นว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้นั้นไม่ได้ต่างจาก “ไวรัสทั่วไป” และมั่นใจว่าทุกคนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเองได้ จนสุดท้ายก็อย่างที่เห็น ประเทศอังกฤษ ได้กลายเป็นชาติที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดของโลกเป็นอันดับ  3 ไปแล้วแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว (ยอดล่าสุดทะลุ 2.3 แสนราย)

 

ที่สำคัญคือตัวเฮียแกเอง ก็ติดเชื้อนี้ด้วย ก่อนจะก็กลับมาตาสว่างในที่สุด   ….

 

 

จนกระทั่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จอห์นสัน ได้ออกมาทำการประกาศ ปลดล็อคดาวน์ขั้นที่สอง เพื่อให้ชีวิตของผู้คนในประเทศเดินไปข้างหน้าต่อไปได้ หลังก่อนหน้านี้  ประชาชนในเมืองผู้ดี จะสามารถออกจากบ้านได้เฉพาะแค่ตอนออกกำลังกายในพื้นที่ใกล้บ้านได้วันละครั้ง และไปซื้ออาหารและยารักษาโรคเท่านั้น

 

 

โดยหนึ่งในเอกสารหนา 50 หน้า ที่รัฐบาลออกมาชี้แจงนั้น มีเรื่องเกี่ยวกับการอนุญาตให้มีการแข่งขันกีฬาได้ อย่างไรก็ตามจะไม่อนุญาตให้แฟนบอลเข้าชมในสนามอย่างเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มทางสังคม และจะให้ใช้ระบบการถ่ายทอดสดให้แฟนๆ ชมจากที่บ้านเท่านั้น (แว่วๆว่าจะมีถ่ายให้ชมฟรีทางช่อง ยูทูบ ในบางแมตช์ด้วย)

 

เรื่องนี้ พรีเมียร์ลีก ไม่รอช้ารับลูกทันที ซึ่งการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันจันทร์  ริชาร์ด มาสเตอร์ส ประธานบริหารพรีเมียร์ลีก อังกฤษ  เผยมาตรการหลังรัฐบาลไฟเขียวว่า  กำลังจะหาทางเร่งแก้ปัญหานักเตะที่กำลังจะหมดสัญญาลงในเดือน มิ.ย. นี้ เพราะหากกลับมาเตะในเดือน มิ.ย. คาดว่าจะจบลงในเดือน ส.ค. อย่างเร็วที่สุด พร้อมยืนยันด้วยว่า จะไม่มีการยกเลิกหรือโมฆะแน่นอน ถ้าสุดท้ายสถานการณ์เลวร้าย จะใช้วิธี ตัดจบแล้วคิดแต้มเฉลี่ยต่อเกมแทน

 

 

แต่… ปัญหาย่อมเกิดได้ทุกที่ และก็ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับกำหนดวันแข่งขันใหม่ได้  เนื่องจากมีสโมสรจากพรีเมียร์ลีกกว่า 12 ทีมที่ไม่เห็นด้วยกับการต้องใช้สนามกลางในการแข่งขันโปรแกรมที่เหลือ

 

 

โดยเฉพาะในกลุ่มจากโซนตกชั้นประกอบด้วย ไบรท์ตัน, บอร์นมัธ, เวสต์แฮม, วัตฟอร์ด, แอสตัน วิลล่า และนอริช ซิตี้ เนื่องจากมองว่าต้องการจะให้มีการเตะแบบเหย้า – เยือนมากกว่า เพราะสามารถชี้ชัดถึงความเป็นความตายในการอยู่หรือไปในฤดูกาลหน้าได้

 

รวมไปถึงยังมีนักเตะกว่าครึ่งร้อยที่ยังแสดงความคัดค้าน จากความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่พวกเขาไม่มั่นใจใน มาตการของรัฐบาลในตอนนี้  ที่ออกมาแสดงตัวแน่ๆแล้วก็มีทั้ง เซร์คิโอ “กุน” อเกวโร่ ดาวยิงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่มานูเอล ลานซินี่ แนวรุก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็ต้องการให้มีวัคซีนรักษาออกมาค่อยกลับมาเตะอีกครั้ง รวมไปถึง แดนนี่ โรส แบ็กซ้ายจาก นิวคาสเซิ่ล ที่มองว่าไม่ควรเสี่ยงเกินไป และให้ผู้คนที่ติดเชื้อลดลงมากกว่านี้ไปซะก่อน

 

 

อีกประเด็นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือเรื่องค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่มีการคาดการณ์ว่า หากไม่เตะ ทุกสโมสรต้องเสียเงินค่าปรับให้ช่อง บีที และ สกาย สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ รวมกันเป็นเงินจำนวนถึง 1 พันล้านปอนด์ (ราว 40,000 ล้านบาท)  แต่หากแข่งขันต่อก็ยังต้องเสียอยู่ดีแต่จะลดเหลือเพียงแค่ 340 ล้านปอนด์เท่านั้น

 

 

การประชุมของพรีเมียร์ลีกครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 18 พ.ค. หรือวันศุกร์นี้ และเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นประเด็นสำคัญ สำหรับทีมที่ออกมาคัดค้านก่อนหน้านี้ว่าจะเอายังไงกันต่อ

 

สุดท้ายยังไม่มีใครรู้ว่า พรีเมียร์ลีก จะกลับมาแข่งขันได้ตามกำหนดที่คาดการณ์เอาไว้วันที่ 12 มิ.ย. ได้หรือไม่ เพราะยอดผู้ติดเชื้อก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน รวมไปถึงมีหลายสโมสรและนักเตะยังไม่เห็นด้วยกับการลงสนามในตอนนี้ ก็ต้องดูว่า บทสรุปเรื่องนี้จะเดินหน้าต่อไปเช่นไร

 

 

อย่างที่ว่าไว้นั่นแหละครับ แม้รัฐบาลจะไฟเขียวให้พรีเมียร์ลีกกลับมาแข่งได้

 

 

แต่ปัญหามันยังไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

 

                                                                         DaboyG