บทสรุป อาร์เซนอล 2019-20 : เอฟเอ คัพ แชมป์ปลอบใจในซีซั่นย่ำแย่

บทสรุป อาร์เซนอล 2019-20

นับถึงเวลาที่ร่ายปากกาในหน้ากระดาษแผ่นนี้ ลีกสูงสุดของอังกฤษ เหลือเพียงเกม เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เพลย์ออฟ นัดชิงชนะเลิศ เท่านั้น ก็จะรูดม่านปิดฉากลงโดยสมบูรณ์

 

งานนี้คงต้องไปลุ้นกันว่าจะเป็นหน้าใหม่อย่าง เบรนท์ฟอร์ด หรือทีมหน้าคุ้นเคยอย่าง ฟูแล่ม ที่จะกลายเป็นทีมที่ 20 ของพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2020-21

 

อย่างไรก็ตามสำหรับ อาร์เซนอล พวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจโดยสมบูรณ์แล้ว หลังสามารถผงาดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 14 ของสโมสรมาเป็นรางวัลปลอบใจในซีซั่นที่ภาพรวมถือว่าย่ำแย่

 

งานนี้ขออนุญาตเรียบเรียงเรื่องราวตลอด 1 ปีของทีม “ปืนใหญ่” ว่ามีจุดเริ่มต้นและบทสรุปของทีมเป็นเช่นไร

การเตรียมทีม

 

แม้ อูไน เอเมรี่ จะมีซีซั่นแรกที่ไม่ได้ตามเป้าหมาย ไม่สามารถพาทีมจบท็อปโฟร์เพื่อไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก ได้ แต่ภาพรวมก็อยู่ในทิศทางที่ดี ทีมเคยมีสถิติไร้พ่ายในลีกนานถึง 14 นัด รวมถึงได้เข้าชิงฟุตบอลถ้วยอย่าง ยูโรป้าลีก

 

ทำให้แฟนบอลค่อนข้างคาดหวังไว้สูงว่าจะได้ซีซั่นที่ดีกว่าเดิม ซึ่งในซัมเมอร์ปี 2019 อาร์เซนอล ภายใต้การบริหารงานของ ราอูล ซานเญฮี และ เอดู ผู้อำนวยการเทคนิค ก็มีการจัดซื้อจัดจ้างบุคลากรใหม่ได้ดีชนิดแย่งหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ได้อยู่บ่อยครั้ง

 

ที่ฮือฮาที่สุดคือทุ่มสถิติสโมสรคว้าปีกอนาคตไกลอย่าง นิโคลัส เปเป้ มาร่วมทีม แดนกลางไปปิดดีลยืม ดานี่ เซบายอส มาจาก เรอัล มาดริด ได้ด้วย แนวรับก็ไม่ได้ละเลยดึง คีแรน เทียร์นี่ย์ แบ็กซ้ายดีกรีแชมป์ลีกสกอตติชหลายสมัย รวมถึงตัวเก๋าอย่าง ดาวิด ลุยซ์ มาประคองทีม

 

จากการเดินเกมการตลาดที่ยอดเยี่ยม เสริมได้ถูกจุดในสิ่งที่ทีมกำลังขาด ก่อนเปิดฤดูกาลบรรดากูรูยังต้องยกนิ้วโป้งให้แถมคาดการณ์กันว่า อาร์เซนอล น่าจะเป็นทีม “ม้ามืด” ไปลุ้นแชมป์กับ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ได้อยู่เลย

ความคาดหวัง

 

จากผลงานซีซั่นก่อนที่ไม่ขี้เหร่อะไรมากมาย บวกกับการเสริมทัพที่ค่อนข้างน่าพอใจ แม้จะใช้สาลิกาลิ้นทองกล่อมคู่ค้าด้วยดีลผ่อนจ่าย แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า อาร์เซนอล มีการทุ่มเงินค่อนข้างสูงเรียกว่าเกินงบประมาณที่เป็นข่าวด้วยซ้ำ

 

ดังนั้นเป้าหมายสำคัญที่ต้องทำให้ได้คือการกลับไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก ไม่ว่าจะเป็นการจบในตำแหน่งท็อปโฟร์ หรือเส้นทางลัดด้วยการคว้าแชมป์ ยูโรป้าลีก

 

หรือถ้าทุกอย่างเป็่นไปด้วยดีการได้ลุ้นแชมป์จนถึงโค้งสุดท้าย และการคว้าแชมป์บอลถ้วยสักใบ ก็เป็นสิ่งที่หวังอยู่เล็กๆ เหมือนกัน

ระหว่างเส้นทาง

 

อาร์เซนอล เริ่มต้นฤดูกาลได้ดีเหมือนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ 2 เกมแรกพวกเขาชนะรวด ผ่านไป 8 เกมแพ้ ลิเวอร์พูล เพียงทีมเดียวและทำอันดับเกาะท็อป 3 ได้อย่างเหนียวแน่น

 

แต่อยู่ดีๆ ลูกทีมของ อูไน เอเมรี่ ก็ออกทะเลเอาดื้อๆ 9 เกมรวมทุกรายการชนะได้แค่ วิคอเรีย กิมาไรส์ ในบอลถ้วยยุโรปเพียงนัดเดียว จนสุดท้ายกุนซือชาวสแปนิช ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 29 พฤศจิกายน

 

การดัน เฟรดดี้ ลุงเบิร์ก มาขัดตาทัพก็ดูเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ทีมยังคงมีผลงานดิ่งเหวเพราะอดีตแข้งหมายเลข 8 ของทีมก็พาทีมชนะนัดเดียวเหนือ เวสต์แฮม เท่านั้น

 

ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงปลายเดือนธันวาคมคือช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของ ปืนใหญ่ ในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะมาได้อัศวินขี่ม้าขาวที่ชื่อ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามากู้วิกฤติ จริงอยู่ผลงานจะหนักเสมอในช่วงแรก แต่ก็มีทรงบอลที่ดูจะฝากผีฝากไข้ได้

 

แม้จะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูโรป้าลีก แต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงก่อนเบรกโควิด-19 อาร์เซนอล กลับมาชนะรัวๆ จนมีความหวังเล็กๆ ในการแย่งท็อปโฟร์ แต่หลังรีสตาร์ตการเริ่มต้นด้วยการแพ้ 2 เกมติดก็แทบจะปิดฝันไปในทันที

 

แต่อย่างที่ว่าไว้ อาร์เตต้า ทำทีมมีทรง ฟอร์มโดยร่วมพวกเขาชนะถึง 8 จาก 12 เกมในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการชนะทีมใหญ่ทั้ง ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ในเกมสำคัญนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ

บทสรุป

 

ในฐานะผู้เขียนเป็นหนึ่งในสาวก “เดอะ กันเนอร์ส” พูดได้เต็มปากเลยว่า อาร์เซนอล มีฤดูกาลที่น่าผิดหวังมากๆ และเป็นซีซั่นที่แย่ที่สุดที่ตามเชียร์ทีมนี้มาตั้งแต่ อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามาคุมทีมในปี 1996

 

การจบอันดับ 8 นอกจากจะผิดวิสัยของทีมที่ถูกสถาปนาเป็นทีมท็อปซิกซ์ มันคืออันดับต่ำที่สุดของพวกเขาในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่จบอันดับ 12 ในฤดูกาล 1994-95

 

วิกฤติที่ทำให้ทีมต้องใช้บริการกุนซือถึง 3 คน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสำหรับทีมใหญ่ ไหนจะการเดินเกมที่ล่าช้าของบอร์ดบริหาร ปล่อยเวลา ปล่อยแต้มทิ้งลงคลองไปเยอะมากๆ กว่าจะเปลี่ยน เอเมรี่ และการให้โอกาส ลุงเบิร์ก

 

ตัวใหม่ๆ ที่ดูจะหวือหวา เอาจริงๆ กลับต้องใช้เวลานานเกินในการปรับตัว เซบายอส กับ เปเป้ มาดูดีตอนลีกรีสตาร์ต เทียร์นี่ย์ ก็เจ็บออดๆ แอดๆ จนลงไม่สม่ำเสมอ ดาวิด ลุยซ์ กลายเป็นบ่อทำทีมพังหลายต่อหลายนัด

 

ยังดีที่พอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้บ้าง และแชมป์เอฟเอ คัพ ก็เป็นรางวัลปลอบใจที่ทำให้รู้ว่า มิเกล อาร์เตต้า เป็นกุนซือมีของ และหากได้รับการสนับสนุนที่ดี ทีมน่าจะกลับมาเป็นทีมใหญ่อย่างที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง

อนาคต

 

ประเด็นแรกที่ควรจะเคลียร์ให้ได้มากที่สุดก็คือเรื่องของ เมซุต โอซิล หากทีมไม่ต้องการเพลย์เมกเกอร์ตาโปนแล้ว ก็ควรหาทางออกให้มันจบลงเสียที ไม่งั้นจะเป็นปัญหาคาราคาซังให้ผู้จัดการทีมหนักใจอยู่ตลอด

 

หากผลงานดีแฟนบอลก็พอมองข้ามกันได้ แต่เมื่อใดที่ผลงานแย่ก็จะถูกแซะเป็นเพราะดองเค็ม โอซิล ไหนจะเรื่องค่าเหนื่อย 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ที่อาจนำมาหมุนเวียนค่าใช้จ่ายทีมในส่วนอื่นๆ รวมถึงค่าสัญญาของ ปิแอร์ เอเมริค โอบาเมย็อง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป

 

ที่เหลือคือการซ่อมแซมและพัฒนาขุมกำลังของทีม ซึ่งที่เท่าเป็นข่าวก็ถือว่า อาร์เตต้า เล็งเสริมได้ถูกจุด ทีมอยากได้กองหลังตัวหลักสักคนที่ไว้ใจได้ แม้ทีมจะเรียก วิลเลี่ยม ซาลิบา กลับมา แต่ก็ยังแข้งดาวรุ่งไม่รู้ว่าจะปรับตัวนานแค่ไหน

 

กองกลางตัวรับดีๆ หากได้ โธมัส ปาร์เตย์ ก็น่าจะตอบโจทย์ เพราะขุมกำลังตอนนี้ ลูคัส ตอร์เรร่า เจ็บง่ายฟอร์มหลุด กรานิต ชาก้า ก็เกมรับไม่ธรรมชาติ หากปิดดีลยืม ดานี่ เซบายอส ที่ปรับตัวได้แล้วไว้ใช้งานอีกปีก็จะยอดเยี่ยมมากๆ

 

แนวรุกปัญหาใหญ่คือรั้งตัว โอบาเมย็อง ให้อยู่ต่อให้ได้ บวกกับเสริมปีกและเพลย์เมกเกอร์ดีๆ สักคน ดีลเซ็นฟรี วิลเลี่ยม บวกกับยืม ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ หากเป็นจริงได้ บอกเลยแค่นี้แฟนบอล ปืนใหญ่ ก็เป็นสุขแล้ว