หลังจากที่รอคอยมาเนินนานกว่า 30 ปี ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครองได้อย่างสมศักดิ์ศีเสียที
ก่อนหน้านี้ ความล้มเหลวในฟุตบอลลีกของ หงส์แดง คือสิ่งที่หลายคนเห็นจนชินตา ซึ่งการรับบทเป็นพระรองในลีกสูงสุดแดนผู้ดีบ่อยครั้ง นำไปสู่การหยิบเรื่องราวเหล่านี้มาล้อเลียนกันอย่างสนุกปากในวงสนทนาภาษาลูกหนังทั่วไป
แต่คงไม่มีครั้งไหนรุนแรงไปกว่าที่ ลิเวอร์พูล โดนรุมแขวะจากแฟนบอลบางกลุ่มว่าเป็นได้แค่แชมป์ทรู หลังเดินทางมาทัวพรีซีซั่นร์กับ ทรู ออล สตาร์ ในประเทศไทยเมื่อปี 2015
อย่างไรก็ตามอีก ทีมดังจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ กลับใช้เวลาเพียง 5 ปีในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าภายในทีม, ระบบการเล่น,นโยบายการซื้อขายต่างๆ จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นทีมเบอร์ต้นๆในอังกฤษและทวีปยุโรปอีกครั้ง
ทาง UFA ARENA จะพาทุกท่านไปย้อนถึงช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของลิเวอร์พูลในช่วง 10 ปีหลังสสุด ก่อนที่พวกเขาจะก้าวข้ามผ่านคำปรามาสเหล่านั้นจนกลายเป็นเครื่องจักรสีแดงที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้
สู่ความตกต่ำ
แม้จะมีลุ้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2008-09 แต่ด้วยปัญหาด้านเงินที่ ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ เจ้าของทีมชาวอเมริกัน ที่กู้เงินมาเทคโอเวอร์สโมสรกว่า 350 ล้านปอนด์ จาก รอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ในปี 2007 ที่ค่อยๆงอกขึ้นมา ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ก้าวเข้าสู่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่คว้าแชมป์ลีกครั้งล่าสุดปี 1990
ทีมต้องทยอยขายแข้งดังออกไป ทั้ง ชาบี อลอนโซ่ หรือ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ เพื่อนำเงินมาซื้อนักเตะใหม่ แถมตัวที่ซื้อเข้ามาใหม่ก็เป็นการซื้อที่ไร้คุณภาพ ผลงานในสนามก็น่าปวดใจหมดลุ้นแชมป์ไปตั้งแต่ไก่โห่ ร่วมถึงทีมบริหารที่บริหารทีมแบบไร้ประสิทธิภาพ ขาดทุนทุกปี
จากนั้นในเดือนตุลาคมปี 2010 เฟนเวย์ สปอร์ตกรุ๊ป หรือ FSG ของ จอร์จ ดับเบิลยู เฮนรี่ นักธุรกิจ เจ้าของทีมเบสบอลชื่อดัง บอสตัน เรดซอกส์ เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการสโมสร ลิเวอร์พูล เป็นอันสิ้นสุดยุค 2 ปลิงมะกันที่เดอะ ค็อป เกลียดชัง
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่มองให้ลึกลงไป โครงสร้างพื้นฐานของสโมสรยังเละเทะสะเปะสะปะไปหมด ไม่แปลกที่ช่วงแรกๆที่ FSG เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร ทีมจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย เนื่องจากต้องตามล้างตามเช็ดสิ่งที่ ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ ทิ้งไว้นั่นเอง
3 ปี ผลงานในสนามมันไม่ตอบโจทย์แฟนบอลนัก บางส่วนคิดไปว่านี่คือช่วงวิกฤติสโมสรไม่ต่างจากเดิม เมื่อดูจากผลงานในลีก ทั้งในฤดูกาล 2010-11 จบอันดับ 6, 2011-12 จบที่ 8 2012-13 จบอันดับ 7 แม้จะคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในปี 2012 แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลนั้นลดน้อยลง
แต่ความเอาใจใส่ที่จอร์จ ดับเบิลยู เฮนรี่ แสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนแรกๆที่เข้ามาบริหารทีม ยังคงแสงสว่างเล็กที่เดอะ ค็อป หลายคนหวังว่าทีมรักของพวกเขาจะก้าวข้ามความล้มเหลวในอนาคตอันใกล้นี้
ทำได้แค่เฉียดแชมป์
ช่วงแรกที่เข้ามาสโมสรใหม่ๆ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ ได้พบปะและถามความเห็นกับเหล่าแฟนบอล, นักข่าว, ผู้เล่นในทีม, พนักงานในสโมสรทั้งอดีตและปัจจุบัน เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับสโมสรลิเวอร์พูล
เมื่อสะสางปัญหาเรื่อเงินๆทองให้กลับมากลับมาปกติอีกครั้ง ทีมก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้จะไม่ได้ดีแบบก้าวกระโดดก็ตาม
จากนั้น พวกเขาก็กลับไปมีลุ้นแชมป์ลีกอีกครั้ง หลังได้กุนซือนามว่า แบรนแดน ร็อดเจอร์ส มากุมบังเหียนในปี 2012 ต่อจาก เคนนี่ ดัลกลิช ที่ลาตำแหน่งนี้ไป
จริงอยู่ที่ปีแรกของ บีร็อด ในแอนฟิลด์ เข้าจะพาจบฤดูกาลแบบมือเปล่าด้วยการคว้าอันดับ 7 ชวดคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลยุโรป แต่ฤดูกาล 2013-14 พวกเขาเกือบคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นสมัยแรก ด้วยการประสานงานที่ยอดเยี่ยมของ หลุยส์ ซัวเรซ, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และฟิลิปเป้ คูตินโญ่ 3 แข้งที่ถูกซื้อมาในยุคของ FSG แสดงให้เห็นถึงสายตาอันเฉียบแหลมของแมวมองทีมชุดนี้
ช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขัน ลิเวอร์พูลขึ้นมารั้งจ่าฝูงได้สำเร็จในปลายเดือนมีนาคม ขณะที่คู่แข่งลุ้นแชมป์ทีมอื่นอย่าง แมนเชสสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ต่างฟอร์มสะดุดในช่วงเวลาเดียวกัน
อีกทั้งการเอาชนะ เรือใบทีมรองจ่าฝูงได้ในเดือนเมษายน ยิ่งทำให้พวกเขาเข้าใกล้แชมป์ลีกที่รอคอย แต่เกมพบกับเชลซีคือนัดสำคัญที่ชี้ชะตาของหงส์แดงอย่างแท้จริง
และเรื่องราวสุดดราม่าก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันคนเก่ง ดันลื่นในครองบอล จนโดน เดมบ้า บา ฉกบอลไปยิงในช่วงท้ายครึ่งแรก และโดน วิลเลี่ยน ยิงปิดกล่องในช่วงทดเวลาครึ่งหลังอีก
แต่ถึงอย่างนั้น ทีมของกุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือก็ยังรั้งตำแหน่งจ่าฝูงต่อไป โดยมีแต้มเหนือ เชลซี อันดับ 2 อยู่ 2 แต้ม และ ซิตี้ อันดับที่ 3 ที่แข่งน้อยกว่า 1 นัดอยู่ 3 แต้ม
ทว่าท้ายที่สุด หงส์แดง กลับเป็นฝ่ายแพ้ภัยตัวเองด้วยการสะดุดเสมอกับ คริสตัล พาเลซ ในนัดรองสุดท้าย 3-3 จนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปาดหน้าแชมป์ลีกไปครอง
เป็นได้แค่แชมป์ทรู
ในฤดูกาลต่อมา เมื่อเสีย ซัวเรซ ให้กับ บาร์เซโลน่าไป พวกเขากลับกลายเป็นคนละทีมจากที่ เดอะ ค็อป เคยเห็นหรือเคยรู้จักในปีก่อน
ลิเวอร์พูล ตกรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ลีก พร้อมกับจบอันดับ 6 ในตาราง โดยไม่มีแชมป์ติดมืออีกหนึ่งฤดูกาล นี่แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์เดิมๆของทีมที่ล้มเหลวบ่อยครั้งในฟุตบอลยุคใหม่
มากไปกว่านั้น ซึ่งที่ตอกย้ำเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจนในสายตาแฟนบอลชาวไทยที่เชียร์ทีมอื่นก็คือ การแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ ทรู ซูเปอร์ โทรฟี่ ลิเวอร์พูล ทัวร์ 2015 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบกับ ทรู ออล สตาร์
แข้งหงส์แดงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปได้สบายเท้า 4-0 แต่การชูถ้วยแชมป์ทรูในตอนท้ายเกม ยิ่งทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นตัวตลกในสายตาแฟนบอลยิ่งกว่าเดิม
เรื่องแย่ๆยังตามมาไม่หยุดหย่อน เมื่อฟอร์มการเล่นของทีมในลีกไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนที่เห็นในช่วงพรีซีซั่น เมื่อรั้งอันดับ 10 ในตาราง หลังแข่งขันไปเพียง 8 นัดในฤดูกาล 2015-16
เป็นเหตุให้บอร์ดบริหารตัดสินใจยุติหน้าที่ของ ร็อดเจอร์ส ไว้แต่เพียงเท่านี้ หลังไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้เลยในตลอดเวลา 3 ปีกว่าในแอนฟิลด์
คล็อปป์ ผู้เปลี่ยนแปลง
ถึงคราวที่ร็อดเจอร์ส เดินออกไปจากแอนฟิลด์ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถูกตั้งแต่ทันที และดูเหมือนว่าจิ๊กซอว์ชิ้นนี้คือชิ้นสำคัญที่ทีมหายไป
กุนซือชาวเยอรมันคนนี้ มีคุณสมบัติทุกอย่างตรงตามที่ ลิเวอร์พูล ต้องการ ทั้ง สไตล์การทำทีมเน้นเกมรุกดุดัน, คาแรกเตอร์ส่วนตัวที่มีความทะเยอทะยานสูง อย่างที่เห็นเขาพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในช่วงต้นยุค 2010
แต่ความสำเร็จก็ไม่เรื่องที่ดลบัลดาลกันได้เพียงชั่วข้ามคืน เมื่อ คล็อปป์ พาลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับ 8 ในปีแรก พร้อมกับเข้าชิงบอลถ้วย 2 รายการ ก็คือ ลีกคัพ กับ ยูโรป้า ลีก ซึ่งก็อกหักเป็นแค่รองแชมป์ทั้ง 2 ถ้วยนั้น
ทว่าความเชื่อมั่นที่สโมสรมีให้ต่อคล็อปป์ก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่ ทำให้เขาสามารถเดินหน้าสร้างทีมอย่างที่ตัวเองวาดภาพไว้ได้ในระยะยาวต่อไป
อดีตกุนซือเสือเหลืองค่อยๆสร้างทีมขึ้นมา แม้จะยังไม่คว้าแชมป์ใดมาครองได้ ทั้งในปี 2017 และ 2018 แต่การได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เคยล้มเหลวกับ เชลซี มายืนเป็น 3 ประสานแดนหน้า ร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ตามระบบที่เขาวางไว้ ทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจพวกเขาอย่างจริงจังมากขึ้น
นอกจากนี้ การดึงศักยภาพนักเตะออกมาใช้ได้ครบถ้วนนั้น คือจุดแข็งอีกอย่างที่ คล็อปป์ แสดงให้เห็นมาตลอด และในทีมลิเวอร์พูลชุดนี้ก็เช่นกัน ที่มีทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ยกระดับฝีเท้าของตัวเองขึ้นอย่างยอดเยี่ยม
ถึงแม้จะเสีย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ผู้เล่นคนสำคัญไปให้กับ บาร์เซโลน่า ในปี 2018 แต่กุนซือเมืองเบียร์ก็สามารถหาผู้เล่นที่เข้ามาทดแทนได้อย่างดีเยี่ยม
จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ
การได้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังชาวดัตช์ที่คล็อปป์ หมายตาไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนมาร่วมทีมในตลาดหน้าหนาวปี 2018 ก็ช่วยยกระดับแนวรับของทีมให้แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในปีนั้น
รวมไปถึง ดีลของ อลิซซอน เบ็คเกอร์, ฟาบินโญ่ และ นาบี เกอิต้า แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล พร้อมเต็มที่ในยกระดับทีมเพื่อลุ้นแชมป์เต็มตัวในฤดูกาลต่อมา และคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกมาครองได้สมใจในปี 2019
โดย ฟาน ไดจ์ค และ อลิสซอน ก็ 2 นักเตะที่หลายคนมองว่าเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ขณะที่นักเตะรายอื่นๆก็ยกระดับจนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญอย่างไม่มีใครคาดคิด ทั้ง จอร์จินิโอ้ ไวนัลจ์ดุม กองกลางจอมพริ้วชาวดัตช์ที่กลายเป็นแข้งคู่ใจของ คล็อปป์ ในทุกๆนัดที่เขาพร้อม
เช่นเดียวกับ ฟาบินโญ่ ที่อาจทำผลงานได้ไม่ดีนักในช่วงแรกที่ย้ายมาค้าแข้งในแอนฟิลด์ แต่เมื่อปรับตัวเข้ากับระบบของทีมได้ เขาก็กลายเป็นหัวใจในแดนกลางที่ทีมจะขาดไปไม่ได้เลย
ด้วขุมกำลังที่ครบเครื่องสมบูรณ์แบบกว่าที่เคยเป็นมา ทำให้ ลิเวอร์พูล ยกระดับตัวเองขึ้นอีกขั้นในฤดูกาลนี้ รั้งจ่าฝูงตั้งแต่เกมที่ 3 ของลีก และครองตำแหน่งนั้นอย่างเหนี่ยวแน่นจนสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นสมัยแรกแบบไร้คู่ต่อกร
พร้อมกันนี้ พวกเขายังจารึกสถิติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคว้าแชมป์ลีกเร็วที่สุด (เหลือ 7 นัด), คว้าแชมป์ลีกช้าที่สุด (เดือนมิถุนายน), คว้าแต้ม 61 คะแนนจาก 21 นัด มากที่สุดที่ทีมในลีกเคยทำได้
ที่สำคัญที่สุด นี่ถือเป็นแชมป์ลีกในรอบ 30 ปีของสโมสรอีกด้วย นับตั้งแต่พวกเขาเคยทำได้ในสมัยที่ยังใช้ชื่อดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 1989-90 อีกด้วย
สต๊าฟโค้ชมือดีมีคุณภาพ
และที่ส่วนหนึ่งที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้เลยก็คือ ทีมงานสต๊าฟของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทั้งที่เห็นหน้ากันบ่อยๆอย่าง ปีเตอร์ คราเวียซ กับ เป๊ป ลิจ์นเดอร์ส์ 2 ผู้ช่วยข้างสนาม, จอห์น อัชเทอร์เบิร์ค โค้ชผู้รักษาประตู หรือไม่คุ้นตาเช่น โมนา เนมเมอร์ หัวหน้าฝ่ายโภชนาการ หรือ มาร์ค เลย์แลนด์ นักวิเคราะห์หลังเกมชุดใหญ่
เช่นเดียวกับ ตำแหน่งโค้ชฟิตเนสที่ช่วยดูแลความฟิตให้กับนักเตะสามารถตอบสนองแผนการเล่นแบบกีเก้นเพรสซิ่งที่กุนซือชาวเยอรมันต้องการและมีประสิทธิภาพในทุกๆเกมที่แข่งขัน
ไล่ตั้งแต่ อันเดรีย คอร์นเมเยอร์ หัวหน้าโค้ชฟิตเนส ย้ายมาลิเวอร์พูลเมื่อปี 2016 หลังจากทำงานกับบาเยิร์น มิวนิค มายาวนาน 15 ปี เคยทำงานให้กับ หลุยส์ ฟานกัล, จุ๊ปป์ ไฮน์เกส์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาแล้ว
คอแนลล์ เมอร์ทัธ ฟิตเนสโค้ช ชุดใหญ่ ที่ทำงานกับทีมตั้งแต่ปี 2012, ทอม คิง ฟิตเนสโค้ช ที่ดูแลเรื่องก่อนซ้อมในสนาม รวมไปถึงดูแลป้องกันนักเตะจากอาการบาดเจ็บในยิม รวมไปถึงการดูแลเรื่องวอร์มอัพ และการวิเคราะห์หลังซ้อม และ จอร์แดน แฟร์คลัฟ ผู้ช่วยฟิตเนสโค้ช
ไม่แปลกที่ แข้งหงส์แดงชุดนี้จะวิ่งขึ้นลงได้เต็มที่ตลอด 90 นาที แถมยังฟิตพร้อมสมบูรณ์กับการแข่งขันที่เข้มข้น,ดุเดือด และมี ตารางการแข่งที่ถี่ยิบในแดนผู้ดีอีกต่างหาก
เบื้องหลังความสำเร็จ
แม้ คล็อปป์ จะได้รับเครดิตอย่างมากจากความสำเร็จในช่วง 2-3 ปีหลังสุดของ ลิเวอร์พูล แต่อย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้นว่า จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และ เฟนเวย์ สปอร์ตกรุ๊ป คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ที่ควรได้รับการพูดถึงไม่แพ้กัน
ตลอด 10 ปี ของ FSG กับลิเวอร์พูล สโมสรล้วนต้องผ่านช่วงเวลา ลองผิดลองถูก และใช่ว่าทุกๆการตัดสินใจของพวกเขาจะไม่มีความผิดพลาดเลย
ช่วงแรกที่เฮนรี่เข้ามา เก้าอี้ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของเอียน อายร์ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมถึงโครงสร้างตำแหน่งระดับผู้บริหารต่างๆ ไมเคิล กอร์ดอน ประธาน FSG ดึงไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์เข้ามาแทนที่
ในอดีตมีการตั้ง คณะกรรมการซื้อขายนักฟุตบอล (Transfer Committees) ที่มี ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช, แมวมอง, ผู้บริหารสโมสรเพื่อพูดคุยตัดสินใจว่า จะซื้อหรือไม่ซื้อนักฟุตบอลคนใด?
ข้อดีของระบบนี้ ช่วยลดความเสี่ยงที่สโมสรต้องพบเจอ ในการลงทุนซื้อนักฟุตบอล แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน ตรงที่ขั้นตอนใช้เวลานาน จนมีโอกาสถูกทีมอื่นลงมือตัดหน้าก่อนลงมือยื่นข้อเสนอจริงๆได้เช่นกัน
ซึ่งผลงานโดยรวมก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก นักเตะอย่างแอนดี้ แคร์โรลล์, ริคกี้ แลมเบิร์ต, มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่หวังจะเข้ามาทดแทนกองหน้าที่จากไปทั้งเฟร์นานโด ตอร์เรส และหลุยส์ ซัวเรซ ทำผลงานได้มากน้อยแค่ไหน เดอะ ค็อป ทั้งหลายก็คงทราบกันอยู่
ปัจจุบัน ดีลอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และอีกหลายคนในช่วง 3-4 ปีหลัง เกิดจากฝีมือของเอ็ดเวิร์ดส์ ก็ล้วนแต่มาจากการวิเคราะห์ที่เห็นควรแล้วว่าเหมาะสมเข้ากับทีมจริงๆ
ความสามารถของเอ็ดเวิร์ดส์ เป็นเรื่องที่หลายคนให้การยอมรับ ทั้งเทคนิคและการวิเคราะห์ในการทำข้อตกลงซื้อผู้เล่น การรับมือในการถูกโก่งราคา เขาเริ่มงานในตำแหน่ง หัวหน้านักวิเคราะห์มาก่อน จึงไม่แปลกที่ในหัวของเขาจะมีอะไรๆที่คนทั่วไปไม่สามารถคิดทันได้
ส่วนด้านการเงินที่เคยติดลบเมื่อ 10 ปีก่อน ก็ปลอดภัยหายห่วงและมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆตามผลงานในสนาม แถมยังทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของสโมสรอีก เมื่อ เดอะ มิร์เรอร์ สื่อแดนผู้ดีเผยว่า ลิเวอร์พูล ทำรายได้โดยรวมได้ 250.9 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2018-19 หลังจากคว้ารองแชมป์พรีเมียร์ลีก และ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ในช่วงระหว่างปี 2015-2019 ลิเวอร์พูล ทำเงินจากการขายนักเตะได้รวมแล้ว 249 ล้านปอนด์ ซึ่งในบรรดาท็อปซิกซ์ของ พรีเมียร์ลีก มีเพียง เชลซี ที่ทำเงินในด้านนี้ได้มากกว่าพวกเขาที่จำนวน 292 ล้านปอนด์
นี่ถือเป็นการเดินทางที่เหลือเชื่อของ ลิเวอร์พูล ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาที่ผ่านทั้งการเป็นหนี้กว่า 350 ล้านปอนด์, ผลงานตกต่ำสุดขีด หรือ ความล้มเหลวจากการชวดแชมป์ต่างๆนาๆ จนถูกแฟนบอลทีมอื่นล้อกันอย่างสนุกปากว่าเป็นได้แค่แชมป์ทรู
ปัจจุบัน ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และมีลีลาการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ พ่วงด้วยดีกรี แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ แชมป์พรีเมียร์ลีกที่โหยหามานาน
และพวกเขาจะไม่หยุดไขว่คว้าความสำเร็จหรือถ้วยรางวัลมาประดับสโมสรไว้แต่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน