ปฏิบัติการทวงบัลลังก์ :เหตุใด เชลซี ถึงเสริมทัพได้แบบไม่อั้น 

 

 

อีกไม่ถึงสัปดาห์แล้วที่ศึก ลูกหนัง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะหวนกลับมาคืนสนามอีกครั้ง หลังพักกันไปยาว 3 เดือนเต็ม เรียกว่าทุกคนต่างตั้งตารอกันอย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าพอจะรู้เป็นลางๆแล้วว่าแชมป์ฤดูกาลนี้จะเป็นใคร หากฟ้าไม่ผ่าดังเปรี้ยงลงที่ แอนฟิลด์ เสียก่อน 

 

 

 

ที่น่าสนใจไม่น้อยคือหลังจากที่ฤดูกาลจบลง ตลาดซื้อขายนักเตะ จะกลับมาเปิดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แม้จะยังไม่รู้วันเวลาที่แน่นอน แต่เวลานี้มีแล้วหนึ่งสโมสรที่เสริมทัพแบบไม่หยุดยั้งก่อนใครเพื่อน  

 

 

นั่นก็คือ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอนนั่นเอง 

 

 

แม้ว่าเวลานี้สถานะทางการเงินของแต่ละสโมสรจะเข้าขั้นวิกฤติ จากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่ข่าวการเสริมทัพของ เชลซี กลับมีออกมาให้เห็นอยู่แทบทุกวัน อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อนก็เพิ่งสร้างความฮือฮาหลังอยู่ดีๆ ก็ไปปาดหน้าคว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงฟอร์มร้อนของ แอร์เบ ไลป์ซิก มาซะอย่างงั้น ทั้งที่ดาวยิงทัพ “อินทรีเหล็ก” รายนี้เป็นข่าวกับ ลิเวอร์พูล อยู่นานแสนนาน  

 

 

และดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่แข้งคนสุดท้ายที่จะเดินทางเข้ามายังถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ฤดูกาลหน้า เพราะทัพ “สิงห์บูล์ส” ยังคงมีข่าวกับนักเตะชื่อดังอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ไค ฮาเวิร์ตซ์ กองกลางเนื้อหอมที่แห่งลูกหนังยุโรป ที่พวกเขาพร้อมจะจ่ายเงินสดแบบเน้นๆให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ต้นสังกัดถึง 75 ล้านปอนด์ 

 

 

นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับ เบน ชิลเวลล์ แบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษ ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีค่าตัว 60 ล้านปอนด์ และอย่าลืมว่าพวกเขาเพิ่งเซ็นคว้าตัว  ฮาคิม ซิเยช แนวรุกจอมเทคนิคของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มาร่วมทัพ ล่วงหน้าที่ 36 ล้านปอนด์ มาก่อนแล้ว

 

 

แฟนบอล“เดอะบลู์ส” คงจินตนาการออกมาเหมือนกันถึงการได้เห็น แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือขวัญใจวัยรุ่นชูถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกซักครั้ง แล้วเพราะเหตุใดทำไม ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนทีมนี้ ถึงกล้าใช้จ่ายแบบไม่ยั้งขนาดนี้ วันนี้ UfaArena จะพาไปหาคำตอบกัน 

 

อัดอั้นเต็มที่หลังโดนแบนตลาดนักเตะ 

 

 

หนึ่งในสาเหตุสำคัญแน่นอนแบบไม่ต้องสืบคือ พวกเขาไม่สามารถเซ็นสัญญาคว้าใครมาร่วมทัพได้เลยในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เนื่องจากโดน ฟีฟ่าสั่งแบนตลาดซื้อขายถึงสองรอบ หลังละเมิดกฏระเบียบในซื้อนักเตะเยาวชนมาร่วมทัพถึง 29 รายก่อนหน้านี้  ก่อนจะลดมาเหลือแค่รอบเดียว หลังยื่นอุทธรณ์สำเร็จ  

 

ข้อดีก็คือพวกเขาไม่ต้องใช้จ่ายซื้อใครเลยในตลาดหน้าร้อนปีที่แล้ว (ซื้อ คริสเตียน พูลิซิช ล่วงหน้าเพียงรายเดียว) และนั่นทำให้ แลมพาร์ด ที่เพิ่งเข้ามาเป็นกุนซือของทีมในฤดูกาลนี้ ไม่มีทางเลือกมากนัก พร้อมกับตัดสินใจดึงแข้งอย่าง แทมมี่ อับราฮัม ,รีช เจมส์ ,ฟิกาโย่ โทโมริ ,คัลลัม ฮัดสัน โอดอย และ เมสัน เมาท์ ขึ้นเมาเป็นแกนหลักของทีมในฤดูกาลนี้ และก็ผลงานไม่ได้ย่ำแย่ด้วย หลังเวลานี้ยังรั้งอันดับ 4 มีลุ้นไปเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าแบบเต็มตัว 

 

นอกจาก เชลซี จะไม่สามารถซื้อใครมาเพิ่มได้แล้ว พวกเขาก็ยังได้เงินจากการขายซุปตาร์ประจำทีมอย่าง เอแดน อาซาร์ ไปให้กับ เรอัล มาดริด ถึง 150 ล้านปอนด์ เรียกว่าเงินไม่ออกยังเข้าแบบ 2 เด้งกันไปเลย 

การเข้ามาบริหารตลาดนักเตะของ ” มาริน่า กรานอฟสกาย่า “

 

อีกข้อที่สำคัญที่สุดคือ บทบาทการเข้ามาบริหารทีมแบบเต็มตัวของ มาริน่า กรานอฟสกาย่า  ซึ่งว่ากันว่า ณ เวลานี้นี่คือสตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกของฟุตบอล

 

ด้วยความที่เธอพูดได้หลายภาษา ทั้งอังกฤษ ,รัสเซีย ,โปรตุเกส , สเปน และฝรั่งเศส ทำให้ในปี 2003 ตอนที่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทกโอเวอร์เชลซี มาริน่า จึงได้โอกาสย้ายมาทำงานที่อังกฤษด้วย เวลาผ่านไป มาริน่า ยกระดับหน้าที่กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ อบราโมวิช ในตอนแรกเธอ เป็นที่ปรึกษาเรื่องธุรกิจ แต่ เมื่อความเห็นของเธอถูกต้องบ่อยครั้งเข้า อบราโมวิช ก็ฟังเธอ ในเรื่องฟุตบอลด้วย และจากผลงานที่เข้าตาของมาริน่า ทำให้เธอได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้อำนวยการสโมสรด้านตลาดนักเตะ ณ ปัจจุบัน 

 

  มาริน่า คือเหตุผลที่เชลซี สร้างการซื้อขายที่ฮือฮาให้กับทีมได้อย่างมากมาย เรียกว่านับไม่ถ้วน ลองยกตัวอย่างดีลที่สร้างความคุ้มค่าให้กับทีม อย่างเช่นในปี 2014 มาริน่า เชิญชวนให้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง มายื่นซื้อ ดาวิด ลุยซ์ ด้วยค่าตัวสถิติโลก 50 ล้านปอนด์ ทั้งที่เวลานั้น ปราการหลังแซม้า นั้นเป็นแข้งที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องการจะโละออกไปอยู่แล้วด้วยซ้ำ  หรืออย่างการขาย ออสการ์ ไปค้าแข้งกับ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี ด้วยมูลค่าสูงถึง 60 ล้านปอนด์ ก็ยังเป็นฝีมือของเธอเช่นกัน 

 

อีกวิธีหนึ่งที่ชาญฉลาดของ มารีน่า คือก่อนจะซื้อใครเธอจะมองแล้วว่าดีลนั้นต้องคุ้มค่า อย่างเช่นการคว้า แวร์เนอร์ ที่หากมองผิวเผินหลายคนจะคิดว่า เชลซี ต้องทุ่มเงินมหาศาล แต่ความเป็นจริงแล้ว ตัวเลข 53 ล้านปอนด์ นั้นอาจจะถูกลงกว่านั้น  เนื่องจากมีหนึ่งในข้อสัญญาที่บอกว่า หากฤดูกาลนี้ ไลป์ซิก ชวดคว้าแชมป์ บุนเดสลีกาพวกเขาจะต้องขาย แวร์เนอร์ ด้วยค่าตัว 44 ล้านปอนด์เท่านั้น นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ดีลนี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการออกมา  

 

บวกกับแข้งที่ เชลซี ปล่อยให้ แอตเลติโก มาดริด ยืมตัวอยู่ 18 เดือนในเวลานี้อย่าง อัลบาโร่ โมราต้า นั้นสัญญากำลังจะหมดลงในเดือน มิ.ย. นี้ และทาง “ตราหมี” ก็ออกยืนยันแล้วว่าพวกเขาจะซื้อขาด โมราต้า ด้วยค่าตัว 48.5 ล้านปอนด์ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วกับจำนวนเงินที่คว้า แวร์เนอร์ มาร่วมทัพ 

 

นอกจากนี้ มาริน่า ยังมีบทบาทสำคัญในการลงนามในสัญญาการเป็นผู้สนับสนุนชุดแข่งรายใหม่ของเชลซี อย่างไนกี้ ที่จะอยู่กับทีมยาวถึง 15 ปีเต็ม เมื่อปี 2016 ซึ่งพวกเขาจะรับเงินตรงนี้สูงถึงปีละ 60 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล และนี่ถือเป็นดีลในด้านเชิงพานิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของสโมสรก็ว่าได้

 

ได้เปรียบสุดขั้วจากพิษโควิด-19

  เห็นได้ชัดว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ เชลซี ได้เปรียบในตลาดซื้อขาย เพราะเวลานี้ไม่มีสโมสรใดในโลกที่ไม่โดนผลกระทบในเรื่องสถานะทางการเงิน แต่กับทัพ “สิงห์บูล์ส” ที่โดนแบนตลาดนักเตะมา นั่นก็ทำให้พวกเขาได้เปรียบกว่าทีมอื่นในการเสริมทัพอย่างแน่นอน 

 

เอาง่ายๆถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ แวร์เนอร์ อาจจะไม่ได้มาอยู่ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ได้ เพราะดาวยิง “อินทรีเหล็ก” นั้นยืนกรานมาตลอดว่าพวกเขาต้องการไปเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล แต่แล้ว เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ “หงส์แดง” นั้นก็ออกมายอมว่าเวลานี้พวกเขาไม่สามารถเสริมทัพใครเป็นจำนวนเงินถึง 50-60 ล้านปอนด์ได้ ในขณะที่ยังขอให้นักเตะทุกคนในสโมสรยอมลดค่าเหนื่อยตัวเองอยู่เลย มันดูไม่เมคเซนส์เท่าไหร่นัก และนั่นก็ทำให้ดีลนี้ของว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกต้องหลุดลอยไป 

 

ขณะที่ แมนฯซิตี้ ที่เป็นทีมเงินถุง และซื้อไม่ยั้งในตลาดนักเตะก่อนหน้านี้ ก็กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่ เมื่อพวกเขาถูกยูฟ่าแบนจากถ้วยยุโรปถึง 2 ปี เหตุจากการซื้อนักเตะแบบผิดกฏ และยังต้องลุ้นผลอุทธรณ์ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า ว่าจะเป็นอย่างไร 

 

สุดท้ายก็ต้องดูว่าในฤดูกาลหน้าหาก แลมพาร์ด ได้นักเตะนักเตะที่ต้องการเข้ามาเสริมทัพเต็มขั้น บวกกับแข้งดาวรุ่งอนาคตไกลที่เขาปั้นขึ้นมาในฤดูกาลนี้ จะดีพอที่จะทำให้ทัพ “สิงห์บูล์ส” กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ได้หรือไม่  แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ แต่หากจะบอกว่าทีมใดที่จะเสริมทัพได้โหดที่สุดในลีกยุโรปในช่วงเวลาต่อจากนี้ 

 

บอกเลยว่ามีชื่อ เชลซี อยู่ในนั้นแน่นอน   

 

DaboyG