ปอนด์ต่อปอนด์: วัดความพร้อมหงส์-ผีก่อนบู๊แดงเดือด

หนึ่งในแมตช์ไฮไลท์สำคัญของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล สำหรับศึก “แดงเดือด” ที่ ลิเวอร์พูล จะเปิดรัง แอนฟิลด์ ดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันอาทิตย์นี้

 

 

การดวลกันของ 2 ทีมคู่อริตลอดกาล ที่เรียกว่าเจอกันเมื่อไหร่ใส่กันไม่ยั้งทุกครั้ง แต่มาเวลานี้ความร้อนแรงนั้นยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก เพราะทัพ “ปีศาจแดง” นั้นกำลังอยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม และก้าวขึ้นมารั้งจ่าฝูงของตารางได้สำเร็จ ซึ่งเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือของทีม จะได้พาลูกทีมวัดกับแชมป์เก่าอย่าง “หงส์แดง” ว่าพวกเขาดีพอจะได้ลุ้นแชมป์ยาวๆหรือไม่

 

 

วันนี้เราจะพามาเช็คความพร้อมของทั้งสองทีม เทียบกันให้ดูแบบตำแหน่งต่อตำแหน่ง ก่อนได้ชมด้วยตาตัวเองในสุดสัปดาห์นี้

 

 

ผู้รักษาประตู

ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ็คเกอร์ ยังรักษามาตรฐานตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แม้ฤดูกาลนี้ จอมหนึบชาวบราซิล จะต้องเจอปัญหาบาดเจ็บในช่วงต้นฤดูกาล แต่ถึงเวลานี้เขาก็กลับมาสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม และแสดงให้เห็นว่าดีพอที่เป็นผู้รักษาประตูระดับต้นๆของลีกเช่นเดิม หลังลงเฝ้าเสาไป 14 เกม เสียไปเพียง 12 ประตู พร้อมกับเก็บคลีนชีตให้กับทีมไปแล้ว 4 ครั้งในฤดูกาลนี้

 

 

แมนฯยู : ดาบิด เด เกอา ต้องเจอมรสุมอย่างหนักเมื่อฤดูกาลก่อน จนทำให้ โอเล่น กุนนาร์ โซลชา ตัดสินใจดึง ดีน เฮนเดอร์สัน กลับมาเขย่าบัลลังก์นายทวารทีมชาติสเปน ซึ่งแม้ช่วงต้นฤดูกาลอาจจะยังคงสั่นคลอนอยู่บ้าง แต่พอผ่านช่วง 10 นัดเป็นต้นมา นายทวารแดนกระทิงดุ ก็กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดี จนเรียกได้ว่าได้เห็นอะไรที่เคยเห็นอีกครั้ง โดยฤดูกาลนี้เขาลงเฝ้าเสาไป 15 เกม เสียไป 21 และเก็บคลีนชีตไป 5 นัดด้วยกัน

 

 

เทียบกันแล้วใครดีกว่า : มีโอกาสที่ เดเกอา จะงานชุกมากกว่าในเกมนี้

 

 

 

 

กองหลัง

ลิเวอร์พูล : ช่วงเวลาที่แสนหนักหน่วงของทัพ “หงส์แดง” เมื่อแกนหลักสำคัญอย่าง เวอร์กิล ฟานไดค์ ต้องพักยาวทั้งฤดูกาล ตามมาด้วย โจ โกเมซ แนวรับคู่หูที่เดี้ยงยาวไปอีกราย ทำให้ฤดูกาลนี้ ฟาบินโญ่ นั้นได้ยึดตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กแบบถาวรไปแล้ว และเจ้าตัวก็ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมไม่แพ้กองหลังตัวจริงเลย

 

นอกจากนี้เกมนี้ทัพ หงส์แดง ก็จะยังขาด โจเอล มาติป ที่ยังไม่หายเจ็บทำให้แมตช์นี้มีโอกาสที่ รีสส์ วิลเลียมส์ ปราการหลังดาวรุ่ง จะยึดตำแหน่งตัวจริงอย่างต่อเนื่อง แม้จะเพิ่งเคยได้เล่นตัวจริงในลีกเพียงเกมเดียวเท่านั้น นั่นทำให้น่าสนใจว่าเจ้าตัวจะสามารถรับมือกับเกมที่สุดกดดันเช่นนี้ได้หรือไม่

 

แมนฯยู : นับตั้งแต่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ย้ายมาจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวสถิติโลกในตำแหน่งกองหลัง เขาก็ยังไม่เจอใครที่เล่นได้เข้าขาเหมือนเมื่อสมัยค้าแข้งกับทัพ “เดอะฟ็อกซ์” เลย นั่นก็เพราะที่ผ่านมา วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ยังไม่ใช่คู่หูที่ลงตัวและมีช็อตพลาดให้เห็นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะลูกกลางอากาศ

 

แต่จากที่เกมรับที่เคยฟอร์มบรรลัยในช่วงต้นฤดูกาล มาถึงเวลานี้ โซลชา เริ่มขันน็อตได้เข้าที่แล้วหลังจากที่ เอริค ไบญี่ หายจากอาการบาดเจ็บพร้อมยึดตัวจริงได้ต่อเนื่องในช่วงหลัง นั่นทำให้เห็นได้ชัดว่า แม็กไกวร์ ดูดีขึ้นกว่าช่วงที่้เล่นกับ ลินเดอเลิฟ อย่างแท้จริง ยิ่งผลงานหลังทั้งคู่เล่นคู่กันออกมาดี ชนะ 5 เสมอ 1 และเสียเพียง 3 ประตู ยิ่งทำให้เกมนี้เชื่อว่าทั้งคู่จะยังคงได้เล่นคู่กันให้แฟนผีอุ่นใจต่อไปแน่นอน

 

เทียบกันแล้วใครดีกว่า : หากดูจากฟอร์มในช่วงนี้ แนวรับ ปีศาจแดง ดูมีความพร้อมกว่าเยอะ จากตัวผู้เล่นที่พร้อมลงสนามเต็มสูบ ขณะที่ หงส์แเดง เซ็นเตอร์แบ็กตัวจริงต้องฝากความหวังไว้ที่ ฟาบินโญ่ เพียงคนเดียว

 

 

 

 

 

กองกลาง

ลิเวอร์พูล : อาจจะเป็นฤดูกาลที่แผงมิดฟิลด์ของทัพ หงส์แดง มีการสลับหน้ากันไปมาพอสมควร แต่เกมนี้ 3 ประสานในแดนกลางน่าจะออกมาเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน , จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม และ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่หายจากการติดเชื้อโควิด-19 มาช่วยทีมได้อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่านีคือชุดที่ดีที่สุดของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในเวลานี้

 

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนหลังทีมได้ ติอาโก้ กลับมาคือเกมของ “หงส์แดง” ดีขึ้นถนัดตา เขากลายเป็นศูนย์กลางของทีม เล่นอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะคิลเลอร์พาสให้แนวรุกนั้นเรียกได้ว่าอันตรายสุดๆ และมีโอกาสเป็นจุดสำคัญของเกมนี้อย่างแท้จริง

 

 

แมนฯยูไนเต็ด : หลังจากที่ โซลชา ปรับแผนมาเล่นในระบบ 4-2-3-1 คู่ห้องเครื่องเกมนี้คาดว่า เฟร็ด มีโอกาสไม่น้อยที่จะเบียด เนมานญ่า มาติช เป็นตัวจริงคู่กับ สก็อต แม็คโทมิเนย์ ที่กำลังฟอร์มสด ขณะเดียวกันเราก็มีโอกาสได้เห็น ป็อล ป็อกบา เล่นในตำแหน่งกองกลางฝั่งซ้ายต่อไป หลังเขาทำผลงานได้น่าประทับใจในเกมล่าสุดซึ่งยิงประตูชัยช่วยให้ทีมบุกไปเอาชนะ เบิร์นลีย์ ด้วย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังเกมดังกล่าว ดาวเตะตราไก่ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง,ทักษะในการพาบอลลุยขึ้นมาเอง, การผ่านบอลที่แม่นยำ รวมไปถึงวิสัยทัศน์ ที่ดูเหมือนจะเป็น ป็อกบา คนเดิมที่เราเคยรู้จักอีกครั้ง

 

ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นานเดส เดอะแบ็กของทีม ฤดูกาลนี้ยังโชว์ฟอร์มสุดยอด ผลงานซัดไป 11 ประตู 7 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 17 นัด นั้นบ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเกมที่พ่าย แมนฯซิตี้ เขาจะถูกวิจารณ์ว่าเล่นไม่ออกเมื่อต้องลงสนามในเกมใหญ่ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่า ยูไนเต็ด ที่ไร้ดาวเตะโปรตุกีส รายนี้หน้าตาจะออกมาเป็นยังไง

 

เทียบกันแล้วใครดีกว่า : เรียกได้ว่าน่าจะบี้กันสนุกแน่นอน ทางลิเวอร์พูลต้องหาทางจับตาย บรูโน่ ไม่ให้สร้างสรรค์เกมได้ ขณะที่ฝั่ง ปีศาจแดง ต้องสกัดจังหวะขับเคลื่อนของ 3 มิดฟิลด์หงส์แดงให้ได้หากหวังคว้าชัยเกมนี้

 

 

 

 

กองหน้า

ลิเวอร์พูล : แนวรุก “หงส์แดง” อาจไม่ได้ท็อปฟอร์มเหมือนที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็น ซาดิโอ มาเน่ ,โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ซึ่งในช่วงหลังเห็นได้ชัดว่า ทั้งสามคนนั้นมีจังหวะขาดๆเกินๆให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามตัวเลือกในม้านั่งสำรองอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ ,เซร์ดาน ชากิรี่ หรือ ดิว็อค โอริกี้ นั้นก็ดูจะยังไม่ดีพอที่จะเบียดขึ้นชุดใหญ่ได้ ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า ก็ยังไม่หายเจ็บกลับมา นั่นก็ทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงต้องฝืนใช้แนวรุกชุดเดิมในเกมนี้ต่อไป

 

แมนฯยูไนเต็ด : หลังเกมล่าสุด ทัพ “ปีศาจแดง” เลือกที่จะใช้ ป็อกบา ในตำแหน่งแนวรุกฝั่งซ้าย นั่นทำให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ถูกเขยิบมาเล่นแนวรุกฝั่งขวาแทน และเขาก็ทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจซักเท่าไหร่ หากเทียบกับตำแหน่งเดิม ขณะที่ เอดิสัน คาวานี่ ดาวยิงอุรุกวัย มีโอกาสสอดแทรกเป็นหัวหอกตัวเป้าในเกมนี้แทน อองโตนี่ มาร์กซิยาล ได้ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกอย่าง เมสัน กรีนวู้ด ,ฆวน มาต้า และ ดาเนี่ยล เจมส์ ทำให้แมตช์นี้ โซลชา ต้องครุ่นคิดให้ดีในการจัดไลน์อัพตัวจริงในเกมรุกให้ปังอีกครั้ง

 

เทียบกันแล้วใครดีกว่า : เวลานี้ไม่ได้อยู่ใน่ช่วงท็อปฟอร์มของทั้งสองฝั่ง แต่ด้วยความที่แนวรุก “หงส์แดง” เล่นด้วยกันมานาน หากแมตช์นี้เข้าฝักก็ยากที่จะเอาอยู่เหมือนกัน

 

 

      DaboyG