ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด:10 ประธานสโมสรยอดแย่แห่งโลกลูกหนัง

 

การบริหารงานอันล้มเหลวของ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว กำลังทำให้บาร์เซโลน่า เข้าสู่สภาวะวิกฤต ที่เห็นได้ชัดที่สุดนอกจากหนี้สินที่สร้างให้กับสโมสรแล้ว คือการที่พวกเขากำลังจะเสีย ลิโอเนล เมสซี่ สตาร์คนสำคัญที่ค้าแข้งอยู่กับทีมมาอย่างยาวนานออกจากทีมไป เนื่องจากไม่พอใจการบริหารของ ประธานรายนี้ แน่นอนว่าถ้าหากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลร้ายแรงต่อทัพต่างดาวอย่างชัดเจน

 

ซึ่งนอกจากบาร์โตเมว ยังมีประธานสโมสรอีกหลายรายที่ได้ชื่อว่าย่ำแย่ที่สุดในโลกลูกหนัง ทั้งการบริหารงานที่ผิดพลาด และพฤติกรรมที่แฟนบอลต่างไม่ชอบขี้หน้า วันนี้ทางUFA ARENA จะพาไปรู้จักกับ 10ประธานสโมสรยอดแย่ในโลกลูกหนัง ว่าจะมีใครกันบ้าง

 

ดั๊กลาส เคร๊ก -ยอร์ค ซิตี้

 

 

ยอร์คซิตี้เป็นสโมสรที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่พวกเขากลับไม่เคยได้ขึ้นมาเล่นบนเวทีลีกสูงสุดของอังกฤษเลย ยังดีที่มีแชมป์เอฟเอคัพมาปลอบใจบ้างสองสมัย ซึ่งเป็นผลจากการบริหารที่ย่ำแย่ที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือ ดั๊กลาส เคร็ก แม้ว่าในปีแรกที่เจ้าตัวเข้ามาจะเป็นปีที่ทีมประสบความสำเร็จในการเลื่อนชั้นสู่ลีกวันและยังเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในลีกคัพอีก

 

แต่อย่างไรก็ตามวันคืนแสนสุขก็อยู่ได้ไม่นานพวกเขาก็ตกชั้นไปแถมยังมีปัญหากันในฝ่ายบริหาร หลังจากนั้นเคร๊กก็ขายสนามของทีมให้กับบริษัท โฮลดิ้งของตัวเขาเองและพยายามบีบให้สโมสรซื้อสนามคืนจากเขาในราคา 9 ล้านดอลลาร์ ในที่สุดเขาก็ได้รับเงิน 100,000 ดอลลาร์มาเป็นค่าสนาม แม้จะไม่ได้เท่าที่หวัง แต่มันก็มากกว่าเม็ดเงินที่เขาทุ่มเทให้กับสโมสรเสียอีก

 

เค็น เบตส์ -เชลซี

 

 

ก่อนจะมาเป็นสิงห์ไฮโซภายใต้การบริหารของ โรมัน อับราโมวิช เชลซีเองแทบจะเป็นทีมกลางตารางค่อนไปทางท้ายด้วยซ้ำ แถมยังเอาเงินไปลงทุนกับสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากฟุตบอลทั้ง โครงการ “เชลซี วิลล่า” รีสอร์ตหรูและแหล่งบันเทิงแบบครบวงจร บวกกับการเสริมทีมที่จำเป็นต้องทำอยู่แล้ว ก็ทำให้สโมสรเกิดวิกฤตการเงินอย่างหนัก สุดท้ายก็ต้องขายไปให้กับเสี่ยหมีที่ก้าวเข้ามาในราคา 440 ล้านปอนด์ แต่ที่แย่คือการทิ้งหนี้กว่า 80ล้านปอนด์ให้สโมสรต้องมีภาระต่อไป ก่อนที่จะได้ผงาดขึ้นมายืนหยัดในวงการฟุตบอลอังกฤษจนถึงปัจจุบันนี้

 

อย่างไรก็ตามความดีของเบตส์ก็ยังพอมีอยู่บ้าง เพราะในช่วงก่อนที่เขาจะเข้ามาเทคโอเวอร์ทีม สโมสรเองก็เป็นหนี้เกือบล้มละลายในระดับที่ว่าเขาสามารถซื้อทีมได้ด้วยราคาเพียง 1ปอนด์เท่านั้น และสามารถพาทีมพ้นวิกฤตมาได้ เรียกว่าเป็นคนที่ทั้งกอบกู้และทำลายในเวลาเดียวกัน

 

ไมค์ แอชลี่ย์ -นิวคาสเซิ่ล

 

 

 

เจ้าของทีมสาลิกาดงคนปัจจุบัน ที่แฟนบอลต่างร้องยี้มากที่สุด ซึ่งปัญหามันฝังรากลึกมานาน ตั้งแต่การแทรกแซงการทำงานของผู้จัดการทีมอย่าง เควิน คีแกน จนต้องแยกทางกันไป การไม่ลงทุนใดๆเลยทั้งการดึงตัวนักเตะ รวมถึงตำแหน่งผู้จัดการทีม แถมยังมอบสัญญาประหลาดๆให้ตัวกุนซืออย่าง อลัน พาดิวยาวถึง 8ปี เรียกว่าจนถึงปจจุบันสัญญาดังกล่าวก็ยังไม่หมดเลยด้วยซ้ำ อย่างดีที่ดูจะเป็นการลงทุนที่สุดก็คือการดึงตัว ราฟาเอล เบนิเตซ มาคุมทีม แต่ก็ไม่ได้ให้เม็ดเงินกับการทำทีมเท่าไรนัก นอกจากนี้ยังมีวีรกรรมวีรเวรอีกเพียบ ไม่แปลกใจเลยเมื่อมีข่าวว่าเจ้าตัวกำลังจะขายสโมสร บรรดาสาวกทูนอาร์มี่ ถึงได้ดีใจกันขนาดนั้น แต่จนแล้วจนรอด ไมค์ แอชลี่ย์ ก็ยังคงไม่ไปในจนถึงปัจจุบัน

 

เซลจ์โก้ รัซนาโตวิช- เอฟเค โอบลิค

 

 

ผู้นำกองกำลังชาวเซิร์บในช่วงสงครามยูโปสลาเวีย ซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในช่วงนั้น และจัดเป็นอาชญากรสงครามที่เป็นที่ต้องการตัวที่สุดของตำรวจสากลช่วงปี 1970-1980 จากวีรกรรมทั้งฆ่าทั้งปล้นหลายครั้งจนถูกประนามจากสหประชาชาติ

 

ต่อมาในปี 1996 รัซนาโตวิชก็ได้ไปซื้อสโมสร เอฟเค โอบลิค ทีมในลีกรองของเซอร์เบีย และพวกเขาก็ใช้เวลาไม่นานในการขึ้นไปบนลีกสูงสุด และคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในปี 1997/98 ซึ่งเส้นทางความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้มาจากการเสริมทัพด้วยเม็ดเงินมหาศาล หรือกุนซือระดับสมองเพรช แต่เป็นการที่ รัซนาโตวิช เอาทหารผ่านศึกไปนั่งชมเกมแล้วเอาปืนเล็งไปที่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม แถมยังมีการลักพาตัวสตาร์ฝั่งตรงข้ามไปขังเวลาเจอกับทีมเขาอีกด้วย

 

สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ถูกลอบสังหารก่อนการพิจารคดีในปี 2000 ส่วนทางสโมสรก็สารวันเตี้ยลง ตกชั้น 7ครั้งรวดจนในปัจจุบันร่วงลงไปอยู่จุดล่างสุดของวงการลีกฟุตบอลเซอร์เบีย

 

 

หลี่ หยงหง -เอซี มิลาน

 

 

หลังการอำลาตำแหน่งของ ซิลเวียโอ แบร์ลุสโคนี่ ท่านประธานที่พาปีศาจแดงดำเป็นมหาอำนาจในช่วงยุคนึง ได้ส่งไม้ต่อให้กับนักธุรกิจชาวจีนอย่าง หลี่ หยงหง ซึ่งเมื่อเขาเข้ามาก็จัดการทุ่มซื้อนักเตะเข้ามาสู่ทีมถึง 10รายเป็นเงินเกือบ 200ล้านยูโร แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไปไม่ถึงความสำเร็จ แถมตัวเจ้าของทีมก็โป๊ะแตกเมื่อเงินที่เขานำมาลงทุนทั้งหลาย เป็นการไปกู้มาจาก เอลเลียตต์ เมเนจเมนต์ จนถูกฟ้องล้มละลาย ก่อนที่ทางเอลเลียตต์จะกลายมาเป็นเจ้าของคนปัจจุบันของรอสโซเนลลี่

 

โลแรน ดูเชตเล็ต-ชาร์ลตัน แอธเลติก 

 

 

ประธานสโมสรรายนี้ก้าวเข้ามาสู่ทีมในปี 2014 แต่ก็ไม่ได้ถูกเกลียดในทันที แต่ในช่วงปีถัดมา เมื่อพวกเขามีผลงานที่แย่ลง จนในปี 2015/16พวกเขาก็ตกชั้นไป ลีกวัน เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งด้วยการตกชั้นดังกล่าว ทำให้บรรดาแฟนบอลไม่พอใจการบริหารงาน และออกมาประท้วงขับไล่ แต่แทนที่ ดูเชตเล็ตจะใช้การประนีประนอมกับแฟนนบอล เจ้าตัวกลับออกมาตอกกลับแฟนบอลผ่านเว็บไซต์สโมสรว่า “บางคนดูจะอยากให้สโมสรล่มจม”

 

แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ว ดูเชตเล็ตก็ไปกับสโมสรไม่รอดและต้องลงจากตำแหน่งไปในที่สุด แถมในช่วงปี 2014-2016ที่เขาดำรงตำแหน่งประธานก็มีการปลดผู้จัดการทีมไปมากถึง 6คนเลยทีเดียว ส่วนตัวสโมสร หลังจากตกไปเล่นลีกวัน ก็เพิ่งขึ้นมาเล่นแชมเปี้ยนส์ชิพได้เมื่อปี 2019/20ที่ผ่านมานี้เอง

 

เฆซุส กิล -แอตเลนติโก มาดริด

 

 

ในช่วงยุคแรกที่นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายนี้เข้ามาก็ยังเป็นไปได้ด้วยดี แต่หลังจากนั้นบรรดาผู้จัดการทีมก็ไม่ค่อยมีใครทนความเกรี้ยวกราดของเขาไหว ส่งผลให้ในช่วงที่เขาอยู่ในตำแหน่งระหว่างปี 1987-2003 มีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปมากถึง 40คน

 

แต่วีรกรรมที่ร้ายแรงที่สุดของเจ้าตัวคือการตัดสินใจปิดศูนย์เยาวชนของทีมในปี 1991 ซึ่งมันส่งผลให้ต้องเสียดาวรุ่งที่เป็นเพรชเม็ดงามของวงการฟุตบอลในเวลาต่อมาอย่าง ราอูล ที่ไปแจ้งเกิดและเป็นตำนานกับอริร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด

 

พีท วินเคลแมน-เอ็มเคดอนส์

 

 

ประธานสโมสรเอ็มเคดอนส์ คนปัจจุบันที่ทำไว้แสบสันกับบรรดาแฟนบอลไม่น้อย ซึ่งต้องย้อนความไปก่อนหน้านี้ เอ็มเคดอนส์ มีชื่อเดิมว่า วิมเบิลดัน ที่เป็นสโมสรเก่าแก่ของลีกอังกฤษ เคยโลดแล่นบนเวทีพรีเมียร์ลีกมาอย่างยาวนานกว่า 14ปี แต่หลังจากนั้นทางสโมสรก็ตัดสินใจย้ายที่ตั้งจากย่านวิมเบิลดันทางตอนใต้ของลอนดอนไปยังย่านมิลตันคีย์สทางเหนือของลอนดอน ซึ่ง วินเคลแมน ก็มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจในครั้งนี้ พร้อมเปลี่ยนชื่อมาเป็น เอ็มเคดอนส์ในปัจจุบัน

 

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้แฟนบอลไม่พอใจอย่างมากเนื่องจากทำให้แฟนบอลเดิมต้องเดินทางไกลกว่า 120 ไมล์ไปเชียร์ทีมรัก และนับเป็นการทำลายประวัติศาสตร์ทั้งหมดของทีมลงไป ก่อนที่สาวกวิมเบิลดัน จะตัดสินใจตั้งสโมสรของตัวเองในชื่อ เอเอฟซี วิมเบิลดัน ไปเริ่มต้นในลีกล่างจนในปัจจุบันได้ขึ้นมาถึงลีกวัน ในระดับเดียวกับ เอ็มเคดอนส์ ทีมที่ทำลายประวัติศาสตร์ของพวกเขาไป

 

จอร์จ เรย์โนลด์ -แดร์ริงตัน

 

 

นับเป็นประธานสโมสรสุดฉาวที่เคยติดคุกมานาน 4ปี ก่อนจะออกมาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เจ้าตัวเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรในปี 1999 และวางเป้าให้ทีมได้เลื่อนชื่น แต่แนวทางการบริหารของเขาค่อนข้างจะโอเวอร์เกินไป จากการทุ่มเงินกว่า 40ล้านเหรียญ สร้างสนามแข่งที่มีความจุมากถึง 25000ที่นั่งในชื่อ เรย์โนลด์ อารีน่า ตามชื่อของเขา แน่นอนว่าถ้าเป็นสโมสรใหญ่ ตัวเลขความจุนี้ก็คงไม่แปลกนัก แต่กับสโมสรระดับชุมชนที่มีผู้ชมเฉลี่ยแค่ 2000คนเท่านั้น ทำให้ในแต่ละเกมแม้จะมีแฟนบอลเข้าชมเต็มที่ แต่ก็เหลือที่ว่างเพียบ

 

ก่อนที่ในปี 2004 เรย์โนลด์ จะถูกจับในฐานะฝอกเงินและถูกส่งตัวเข้าคุกในปี 2005 ส่วนสโมสรก็เลิกใช้งานสนาม เรย์โนลด์ อารีน่า แล้วไปใช้สนามที่มีความจุแค่ 2000 แต่ก็ยังโดนปรับตกชั้นไปอยู่ในลีกระดับล่างสุดของอังกฤษ พร้อมถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อ จาก แดร์ริงตัน เอฟซี เป็น แดร์ริงตัน 1883

 

ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ -ลิเวอร์พูล

 

 

สองคู่หูผู้สร้างความล่มจมให้กับลิเวอร์พูล พร้อมชื่อที่แฟนบอลตั้งให้ว่าเป็นสองปลิงมะกัน พวกเขาเริ่มเข้ามาสู่ขีวิตของสาวกหงส์แดงเมื่อปี 2007 จากการเข้าเทคโอเวอร์ด้วยเงิน 218.9ล้านปอนด์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะสร้างสนามใหม่และทุ่มเงินเพื่อการซื้อผู้เล่นเข้าสู่ทีม 

 

แต่สุดท้ายหนึ่งปีผ่านไปพวกเขาก็ถูกพบว่าไปกู้เงินมาจากธนาคารมากถึง 350ล้านปอนด์ ซึ่งแบ่งให้สโมสร 105ล้านปอนด์ และอีก 245ล้านปอนด์ลายเป็นหนี้ของ Kop Holding ซึ่งบริษัทที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อดูแลลิเวอร์พูล ทำให้สโมสรมีหนี้ติดตัว และต้องจ่ายปีละหลาย 10ล้านปอนด์ ไม่ต้องพูดถึงงบเสริมทัพที่ติดลยบแน่นอน รวมถึงแชมป์รายการต่างๆก็เริ่มห่างหายไป

 

จนสุดท้าย สองปลิงมะกัดก็ไปต่อไม่ได้ ปี2010ถึงวันที่ต้องชำระหนี้ แม้จะเจรจาให้เลื่อนการชำระออกไป แต่ก็ต้องให้ทั้งคู่หมดอำนาจในการบริหาร แต่ก็ยังสุ่มเสี่ยงจะล้มละลายอยู่ดี ซึ่งทางเจ้าหนี้ยื่นคำขาดว่าหากไม่เอาเงินมาใช้ตามกำหนดที่เลื่อนมา จะต้องถูกควบคุมกิจการและตัดแต้ม 9แต้ม และเป็น จอห์น เฮนรี่ ประธานสโมสรคนปัจุบันที่เข้ามาเซฟสโมสรไว้ได้ทันพอดี เป็นอันจบฝันร้ายของสาวกหงส์แดง