ผ่ากลยุทธ! ทำไม “แตน” ถึงต่อย “หงส์” สลบได้

ในที่สุดสิ่งที่กองแช่งรอคอยมานานก็เกิดขึ้นเสียที ลิเวอร์พูล ทีมแกร่งและว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ก็เผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้จนได้

 

แต่ที่เหนือความคาดหมายนิดๆ คงหนีไม่พ้นทีมที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับ “หงส์แดง” กับเป็นทีมหนีตายอย่าง วัตฟอร์ด ที่ก่อนเล่นเกมนี้เพิ่งชนะเพียง 5 จากทั้งหมด 27 เกมที่ลงสนาม

 

เกมนี้ ไนเจล เพียร์สัน กุนซือของ “แตนอาละวาด” มีไม้เด็ดอะไรถึงช็อกแฟนบอลทั่วโลกได้ เราขออนุญาตสวมบทกูรู วิเคราะห์แท็กติกของเกมนี้กันดู

 

อย่าให้ “หงส์แดง” เข้าสู่พื้นที่อันตราย

 

โดยรวม วัตฟอร์ด ไม่ได้แตกต่างจากทีมทั่วไปที่ต้องมาเจอกับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ คือวางแท็กติกมารับให้แน่นและรอโต้กลับไว จึงไม่แปลกที่เปอร์เซ็นต์ครองบอลจะเป็นรองเยอะ

 

อย่างไรก็ตาม “เดอะ ฮอร์เน็ตส์” ไม่ได้มาตั้งรถบัสรออุดแต่หน้าประตูอย่างเดียว แต่พยายามที่จะชิงบอล หรือตัดบอลให้ได้ตั้งแต่กลางสนาม

 

เกมนี้ วัตฟอร์ด ตัดบอล (Intercept) ได้มากถึง 17 ครั้ง เข้าแย่งบอล (Tackle) อีก 22 หน นอกจากนี้ยังดักเคลียร์บอลได้อีก 41 ครั้ง เรียกได้ว่าไม่ยอมให้ ลิเวอร์พูล ได้บอลในพื้นที่สุดท้าย

 

ไม่แปลกที่ 45 นาทีแรกลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะได้ยิงเพียงหนเดียว และไม่มีตรงกรอบเลย และตลอดทั้งเกมมีแค่ 7 ครั้ง และไม่ได้มาจากกองหน้าอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ อีกด้วย

 

เหมือนอย่างที่ คล็อปป์ กล่าวหลังเกม “เราครองบอลได้เยอะ แต่ไม่ได้ไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อจะครอส หรือเพื่อจบสกอร์ เราเผชิญหน้าทีมที่ดี มีระเบียบอย่างสูงในเกมนี้”

(4-2-3-1) ที่เวลาเกมรุกเป็นหน้าคู่

 

ตามหน้าเสื่อระบบการเล่นที่ขึ้นจอก่อนเกมของ วัตฟอร์ด คือ 4-2-3-1 มี ทรอย ดีนี่ย์ เป็นกองหน้าตัวเป้าที่ค่อยข้างชัดเจน โดยมี เคราร์ด เดวโลเฟว, อับดุลลาย ดูคูเร่ และ อิสไมล่า ซาร์ เป็นตัวสนับสนุน

 

แต่หากใครได้ชมเกมจริงๆ “แตนอาละวาด” เหมือนจะเล่นในระบบ 4-1-3-2 มากกว่า โดยเฉพาะเวลาเล่นเกมรุก พวกเขาจะให้ เอเตียน กาปู ปักหลักกลางสนามไม่ดันสูง แต่จะให้ วิลล์ ฮิวจ์ส ค่อยเติมไปเสริมบอลแถวสอง

 

ขณะที่ อิสไมล่า ซาร์ จากปีกขวาก็จะพุ่งเข้ากรอบเขตโทษอยู่ตลอดเวลา แต่ทางฝั่งซ้ายไม่ว่าจะเป็น เดวโลเฟว หรือ โรแบร์โต้ เปเรย์ร่า มักจะรอประคอง แล้วค่อยอาศัยทักษะส่วนตัวในการพาบอลเข้าจู่โจมมากกว่า

 

ด้วยรูปแบบที่ไม่ตายตัว การเคลื่อนไหวที่ค่อยข้างอิสระขอ ซาร์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องสลับหน้ากันมาประกบตัว เดี่ยว ฟาน ไดจ์ค เดี่ยว โรเบิร์ตสัน บางทีโผล่จากขวาไปซ้ายด้วยซ้ำ ไม่แปลกที่แนวรับของ “หงส์แดง” จะเกิดความสับสน

 

พอ ลิเวอร์พูล ตัดบอลได้จะส่วนกลับ พวกเขาก็มี กาปู (ตัดบอล 2 ครั้ง) ปักหลักกลางสนาม มี กีเก้ เฟเมเนีย (ตัดบอล 4 ครั้ง) และ อดัม มาซิน่า (ตัดบอล 3 ครั้ง) 2 แบ็กขวาซ้ายที่ไม่ได้เติมสูง รอตัดบอล รอเบรกเกม ทำให้วันนี้เกม counter attack แผลงฤทธิ์ไม่ได้เลย

 

เรียกได้ว่า ไนเจล เพียร์สัน วางแท็กติกวันนี้ “ถูกทุกข้อ” เลยจริงๆ

โจมตีจุดอ่อนที่ชื่อ “ลอฟเรน”

 

จากสถิติหลังเกมชัดเจนว่า วัตฟอร์ด วางแท็กติกเล่นเกมรุกด้วยบอลไดเร็กต์ หลังพวกเขาจ่ายบอลขึ้นหน้าไปถึง 177 ครั้ง จากการผ่านบอลทั้งหมด 300 ครั้ง แถมเป็นบอลยาวถึง 47 ด้วย

 

อย่างไรก็ตามแผนของ เพียร์สัน คงไม่สำเร็จ หากวันนี้กองหลังของ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ชื่อ เดยัน ลอฟเรน ที่ร้างสนามไปตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม

 

แผนของเจ้าบ้านง่ายๆ ไม่ซับซ้อน โยนบอลไปให้ ดีนี่ย์ ดวลกับ ลอฟเรน ซึ่งเกมนี้หัวหอกกัปตันทีมของ “แตนอาละวาด” ก็ชนะในการดวลลูกกลางอากาศถึง 8 ครั้ง ชิงเหลี่ยมเอาชนะกองหลังโครแอตได้ตลอด

 

“ผมไม่ได้ต้องการจะดูถูก ลอฟเรน นะ เขาพยายามเบียดสู้กับผมจากลูกทุ่ม และผมใช้ตัวบังบอลเขามิด เขาพยายามสู้กับผมและไม่แม้แต่จะมองบอล สุดท้ายมันเวิร์ก เพราะเราทำประตูได้” ดีนี่ย์ กล่าวหลังเกม

 

ลอฟเรน มีส่วนกับทุกประตูที่ทีมเสียในวันนี้ ไม่่ว่าจะลูกแรกที่ปล่อยบอลข้ามศรีษะจน ดูคูเร่ ไปโฉบตัดหน้า ฟาน ไดจ์ค ก่อนปาดให้ ซาร์ ชาร์จจ่อๆ หรือลูกทีมสองโดนแทงตัดหลังพื้นที่คู่เซนเตอร์ หรือลูกสุดท้ายเสียจังหวะล้มจากการโหม่งสกัดจนลุกมาประกบ ดีนี่ย์ ไม่ทัน

 

จริงๆ จะโทษแนวรับวัย 30 ปีคนเดียวคงไม่ได้ เพราะวันนี้ ฟาน ไดจ์ค ก็เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนล์ด ก็มีจ่ายเสีย โรเบิร์ตสัน ก็ประกบพลาด แต่จุดเริ่มต้นของคำว่าพังทั้งระบบ มันก็มาจากการที่ ลอฟเรน หยุด ดีนี่ย์ ไม่ได้นั้นเอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ lovren deeney