ฝีมือดีแต่ไม่มีวาสนา: 12 กุนซือชื่อดังที่ไม่เคยคว้าแชมป์ UCL

 

หนึ่งในเกียรติประวัติสูงสุดของผู้จัดการทีมคือการคว้าแชมป์มาประดับของตัวเองให้ได้ และการคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกคือสิ่งที่กุนซือในทวีปยุโรปต่างหมายปองกันทั้งนั้น แต่ทว่าโค้ชฝีมือดีบางหลายก็ไม่สามารถคว้าถ้วยใบนี้มาเชยชมได้เลย แม้จะได้รับการยกย่องมากแค่ไหนก็ตาม

 

นี่คือ 12 กุนซือที่มีฝีมือดีแต่ไม่มีวาสนาในการชูถ้วยหูยานเลย เชื่อว่าส่วนใหญ่แฟนบอลน่าคุ้นชื่อกันดีอยู่ แต่บางคนก็ต้องเป็นแฟนพันธ์แท้รายการนี้จริงถึงจะจำได้เช่นกัน

 

ปล. กุนซือที่อยู่บทความนี้คือกุนซือที่มีส่วนร่วมในแชมเปี้ยนลีกตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นไป เพราะคงจะไม่แฟร์เท่าไหร่ถ้าเหมารวมกุนซือชื่อดังที่ไม่เคยลงคุมทีมในรายการนี้เลย อย่าง โยอาคิม เลิฟ ที่คว้าแชมป์โลกกับเยอรมัน หรือ บิล แชงคลีย์ ตำนานกุนซือหงส์แดงที่เคยเล่นในยูโรเปี้ยน คัพ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของแชมเปี้ยนส์ลีก เท่านั้น

 

อันโตนิโอ้ คอนเต้ (เชลซี, ยูเวนตุส)

 

 

คอนเต้เป็นกุนซือที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอีกคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรป แต่ทว่าพอมาแข่งขันในฟุตบอลยุโรปทีไร เป็นอันต้องช้ำใจทุกครั้งไป และรอบ 8 ทีมสุดท้ายคือรอบลึกที่สุดที่คอนเต้เคยพาทีมยูเวนตุสเข้าไปในรายการนี้

 

หลังจากพาบารี่เลื่อนชั้นจากเซเรีย บี ได้สำเร็จ กุนซือชาวอิตาเลียนก็ปลุกยักษ์หลับจากตูรินให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และพายูเว่คว้าแชมป์เซเรีย อา 3 สมัยซ้อน ก่อนจะโยกมาคุมเชลซี และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับเอฟเอ คัพ ไปอย่างละสมัย แต่ถ้วยหูยานยังคงเป็นถ้วยที่ผู้จัดการทีมวัย 49 ปีต้องตามไขว่คว้าตามหาต่อไป

 

 

อูไน เอเมอรี่ (สปาตัก มอสโก, บาเลนเซีย, เซบีย่า, เปแอชเช)

 

 

เอเมอรี่อาจจะยังไม่ชนะใจแข้งอาร์เซน่อลทุกคนนัก (หนึ่งในนั้นคือ เมซุต โอซิล) และผู้คนมักจะจดจำผลงานของเขาในยูซีแอลผิดที่ผิดทางไปหน่อย (แพ้บาร์เซโลน่า 6-1 ทั้งที่ชนะในเกมแรกมา 4-0 ตอนอยู่ปารีส) อย่างไรก็ตาม กุนซือชาวสเปนเคยผลงานในฟุตบอลยุโรปออกไปในทิศทางที่ดีเลย

 

ในเซบีย่า เอเมอรี่พาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก มาครองได้ถึง 3 สมัยซ้อน ( 2013–14, 2014–15, 2015–16)  และก่อนหน้านั้นเขาพาบาเลนเซียไปเล่นในฟุตบอลยุโรปได้ทั้งๆที่ทีมมีปัญหาด้านการเงินถึง 3 ปีติด ซึ่งเขาจำเป็นต้องพาปืนใหญ่กลับมาเล่นในยูซีแอลให้ได้อีกครั้ง แต่เป้าหมายการคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก สมัยที่ 4 ดูจะเป็นทางลัดที่น่าสนใจกว่าสำหรับเอเมอรี่และอาร์เซน่อล

 

 

ดีดิเย่ร์ เดอชองส์ (โมนาโก, มาร์กเซย)

 

 

บางคนอาจจะมองว่าการพาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกเมื่อปีที่แล้วได้ น่าจะทำให้ ดิดิเย่ร์ เดอชองส์ ขึ้นหิ้งเป็นกุนซือระดับตำนานแล้ว แต่ทว่าในช่วงแรกๆที่เขารับงานผู้จัดการกับสโมสรเมื่อ 14 ปีก่อน อดีตกองกลางทัพตราไก่ก็เคยทำเรื่องเหลือเชื่อในรายการแชมเปี้ยนส์ลีกมาก่อนแล้ว

 

เขาพ่ายให้กับ ปอร์โต้ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในนัดชิงยูซีแอลปี 2004 ก็จริง แต่เดอชองส์พาทีมระดับกลางจากลีกเอิง ล้มยักษ์อย่าง เรอัล มาดริด และ เชลซีในรายการนี้ได้ จนผ่านเข้ามาสู่ชิงดำได้สำเร็จ ซึ่งถ้าหากเขาคว้าแชมป์รายการนี้มาได้ ตัวเขาคงจะถูกยกย่องในฐานะกุนซือมากกว่านี้แน่นอน

 

 

ออตโต้ เรห์ฮาเกล (เวเดอร์ เบรเมน, ไกเซอร์สเลาเทิร์น)

 

 

คิงออตโต้ได้รับการยกย่องว่าเป็นกุนซือระดับท็อปในประเทศเยอรมัน หลังพาเวเดอร์ เบรเมน คว้าแชมป์บุนเดสลีก้าและเดเอฟเบ โพคาลได้ 2 สมัย, เยอรมัน ซุปเปอร์คัพ 3 สมัย และ แชมป์วินเนอร์ส คัพอีกสมัย ในปี 1992 รวมไปถึงพา ไกเซอร์สเลาเทิร์น คว้าแชมป์ลีกไปอย่างไม่มีใครคาดคิดในปี 1998 ด้วย

 

แต่ในเวทียุโรปเรห์ฮาเกลพาทีมไปไกลสุดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น แม้จะผลงานในลีกได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ความสำเร็จกับทีมชาติกรีซในการคว้าแชมป์ยูโรมาครองได้ในปี 2004 ก็พอจะทำให้เขาเป็นตำนานกุนซืออยู่ แม้จะไม่โอกาสเชยชมถ้วยหูยานเลยก็ตาม

 

 

เคนนี่ ดัลกลิช (นิวคาสเซิล)

 

 

คิงเคนนี่ของเหล่า เดอะ ค็อป เคยคว้าแชมป์ยุโรปตอนเป็นผู้เล่นถึง 3 ครั้ง แต่ในฐานะกุนซือเขาเคยพาทีมสาลิกาดงเข้าไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกและจอดแค่รอบแบ่งกลุ่มฤดูกาล 1997-98 เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม การที่เขาพาลิเวอร์พูลกลายเป็นยอดทีมอันดับหนึ่งในเกาะอังกฤษได้ในช่วงปลายปี 80 และน่าจะทำให้เขามีโอกาสคว้าแชมป์ยุโรปมาครองด้วยซ้ำ ถ้าหากสโมสรจากอังกฤษไม่โดนแบนจากโศกนาฏกรรม ณ สนาม เฮย์เซล สเตเดี้ยมซะก่อน

 

หลังดัลกลิชพาทีมผ่านพ้นหายนะแห่งฮิลส์โบโร่มาได้ เขาพาหงส์แดงคว้าแชมป์ลีกอีกสมัยในปี 1990 ก่อนจะลาออกในปี 1991 หลังจากนั้นก็พาแบล็คเบิร์นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมในปี 1995 ทำให้ดัลกลิชกลายเป็นกุนซือคนที่สี่ที่คว้าแชมป์ลีกอังกฤษจาก 2 สโมสรต่างกัน

 

 

เมอร์เซีย ลูเชสคู (กาลาตาซาราย, ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค, อินเตอร์ มิลาน, เบซิคตัส, ราปิด บูคาเรสต์)

 

 

บนโลกใบนี้มีกุนซือที่ทำหน้าที่ในแชมเปี้ยนส์ลีกเกินร้อยนัดแค่ 6 คนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อของ เมอร์เซีย ลูเชสคู อยู่ด้วย แค่ความจริงก็คือเขาไม่เคยใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ในรายการนี้เลย หลังพาทั้ง กาลาตาซาราย และ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค เข้าไปแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น

 

แต่ไม่มีปฏิเสธถึงความสามารถในการคุมทีมของกุนซือวัย 73 เพราะเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เกือบทุกประเทศที่เขาไปทำหน้าที่ แต่ที่ที่เขาดูจะประสบความสำเร็จมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค ที่เขาเคยปั้นนักเตะชั้นนำมาแล้วหลายคน คว้าแชมป์ลีกยูเครนอีก 8 สมัย และ คว้าแชมป์รายการแรกในยุโรปอย่าง ยูฟ่า คัพ มาครองได้ครั้งแรกและครั้งเดียวของทีมในปี 2009

 

 

แม็กซ์ อัลเลกรี (มิลาน, ยูเวนตุส)

 

 

การแต่งตั้งอัลเลกรีเข้ามาเป็นกุนซือทีมม้าลายในปี 2014 ทำให้ใครหลายๆคนงงงวยอยู่พอสมควร แม้เขาจะมีดีกรีในการคว้าแชมป์เซเรีย อา กับ มิลานในปี 2011 มาแล้วก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก เขาโดนปีศาจแดงดำปลดจากตำแหน่งกุนซือ หลังพาทีมจบอันดับที่ 11 แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนเปลี่ยนให้ยูเวนตุสเป็นยอดทีมในทวีปยุโรปจนถึงปัจจุบัน

 

นายใหญ่ชาวอิตาลีเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังในการพาสโมสรจากตูรินเข้าชิงรายการนี้ถึง 2 ครั้งในปี 2015 และ 2017 แม้ว่าจะเสียนักเตะคนสำคัญอย่าง พอล ป็อกบาไปก็ตาม และถ้าหาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้สามารถบันดาลแชมป์ยุโรปให้กุนซือวัย 51 ปีได้ ชื่อของอัลเลกรีคงได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในยอดกุนซือของทวีปยุโรปได้อย่างเต็มปากซักที

 

 

บ็อบบี้ ร็อบสัน (ปอร์โต้, นิวคาสเซิล)

 

 

เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษที่ออกไปสร้างชื่อนอกประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกปี 1990 และคว้าแชมป์ต่างแดนมากมาย ไม่ว่าจะกับพีเอสวี ไอนด์โอเฟ่น, ปอร์โต้ และ บาร์เซโลน่า

 

แต่ความสำเร็จในเวทียุโรปนั้นร็อบสันมีน้อยมากๆ ซึ่งก็คือแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 1981 กับ อิปสวิช ทาวน์ และ แชมป์วินเนอร์ส คัพ กับบาร์เซโลน่าในปี 1997 เท่านั้น แต่เรื่องดีนอกจากนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง หลังร็อบสันพาสโมสรบ้านเกิด นิวคาสเซิล เข้าไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 2 ครั้ง ในสมัยที่สาลิกาดงยังไม่เจ้าของสโมสรร่างอ้วนอย่าง ไมค์ แอชลี่ย์

 

 

เจอร์เก้น คล็อปป์ (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, ลิเวอร์พูล)

 

 

คล็อปเคยพาทั้งโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล เข้าสู่รอบชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2013 และ 2018 ตามลำดับ แต่ก็อย่างที่ใครหลายๆคนทราบกันดีว่าผลลัพธ์ในเกมนัดนั้นเป็นเช่นไร

 

กุนซือชาวเยอรมันสร้างในวงการลูกหนังด้วยการพาเสือเหลืองล้มบาเยิร์น มิวนิค จากบัลลังก์แชมป์บุนเดสลีก้าถึง 2 ปีซ้อน และบอลถ้วยอีกหนึ่งรายการ ก่อนจะปลุกลิเวอร์พูลให้กลายเป็นทีมระดับทวีปอีกครั้งในปีที่แล้ว คล็อปป์นั้นไม่ต่างอะไรกับ อัลเลกรีที่เคยอกหักจากรอบชิงถึง 2 ครั้ง และการคว้าแชมป์รายการนี้จะเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ลบล้างบาดแผลในใจของทั้งคู่ได้

 

 

วาเลอรี่ย์ โลบานอฟสกี้ (ดินาโม เคียฟ)

 

 

โลบานอฟสกี้คือคนที่ปลุกปั้น อังเดร เชพเชนโก้ให้เป็นกองหน้าระดับโลก แถมยังเคยพาทีมชาติรัสเซีย (สมัยนั้นยังเป็นโซเวียต) เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกถึง 2 ครั้งและพาทีมเป็นรองแชมป์ในศึกยูโรปี 1988 ด้วย ส่วนในระดับสโมสรทีมที่เขาทำได้ดีที่สุดก็ต้องเป็น ดินาโม เคียฟอยู่แล้ว

 

กุนซือชาวยูเครนพาเคียฟคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 ครั้ง บวกกับ วินเนอร์ส์ คัพ อีก 2 ครั้ง แต่อย่างรไก็ตามเขาพาทีมนี้ได้ไกลสุดแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้นในปี 1999 และพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิคไปด้วยสกอร์รวม 4-3

 

 

อาร์เซน เวนเกอร์ (โมนาโก, อาร์เซน่อล)

 

 

ลืม 10 ปีล่าสุดของเขาไปซะ (แม้จะคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ถึง 3 สมัยก็ตาม) เพราะก่อนหน้านี้อาร์เซน เวนเกอร์เคยพาอาร์เซน่อลเป็นยอดทีมในอังกฤษ โดยคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัย ด้วยการปั้นเด็กในสโมสรจนทำให้ยักษ์ใหญ่เงินหนาในยุโรปบางทีมต้องอับอายมาแล้ว

 

แม้กุนซือเลือดน้ำหอมจะช่วยให้ปืนใหญ่ดีขึ้นมากแค่ไหน แต่การคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการยุโรปดูเหมือนจะเส้นทางที่เวนเกอร์ไม่เดินไปถึงซักที ไม่ว่าจะเป็นถ้วยเล็กอย่าง ยูฟ่า คัพ เขาก็แพ้ต่อกาลาตาซารายในการดวลจุดโทษปี 2000 และถ้วยใหญ่อย่างแชมเปี้ยนส์ลีก เขาก็พ่ายต่อบาร์เซโลน่า 2-1 ในปี 2006

 

 

ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ (แอตเลติโก้ มาดริด)

 

 

ทันทีที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ได้ก้าวเข้ามารับงานกับแอตเลติโก้ มาดริด เข้าได้เปลี่ยนตราหมีให้กลายทีมอันดับต้นๆในลีก เคียงข้างกับเรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ก่อนจะพาทีมเข้าไปเล่นในนัดชิงของแชมเปี้ยนส์ลีกถึง 2 ครั้งด้วยกันในปี 2014 และปี 2016

 

แต่ดูเหมือนอะไรๆก็ยังไม่เป็นใจให้เขาในรายการนี้ เพราะ 2 ครั้งนั้นเขาพ่ายแพ้หมดเลย แถมเป็นการแพ้ให้กับคู่อริตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด ทั้ง 2 ครั้งด้วย (2014 แพ้ในช่วงต่อเวลา, 2016 แพ้ช่วงดวลจุดโทษ) แต่ถึงกระนั้นกุนซือวัย 48 ปีก็ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นคนพิเศษอยู่ หลังพาทีมตราหมีคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีกได้ 2 ครั้ง (2011 และ 2018) แม้ว่าในรายการนี้เขาจะยังไม่มีโอกาสสัมผัสถ้วยหูยานใบนี้ก็ตาม