ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีผู้เล่นต่างชาติมากมายตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งบนลีกสูงสุดของเมืองไทย โดยเฉพาะบรรดานักเตะจากทวีปแอฟริกา ซึ่งหลายคนถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยทีเดียวกับการลงฟาดแข้งในศึกไทยลีก
การเข้ามาของเหล่านักเตะชาวชาวแอฟริกัน ช่วยเพิ่มสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้กับศึกฟุตบอลลีกอาชีพเมืองไทย มาอย่างยาวนาน ซึ่งหลายคนสามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม, ประสบความสำเร็จกับทีม และถูกยกย่องให้เป็นตำนานของสโมสร
โดยแข้งจากกาฬทวีปที่โด่งดังและมีแฟนบอลยอมรับในเรื่องของฝีเท้ามากที่สุดคงหนีไม่พ้น แฟรงค์ โอฮานด์ซ่า, แฟรงค์ อาเชียมปง และ ดักโน่ เซียก้า ซึ่งพวกเขาทั้งหมดล้วนถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดนักเตะสมัยที่ยังอยู่กับสโมสรของตัวเอง
นอกจากนั้นยังมีผู้เล่นจากแอฟริกาอีกหลายคนที่ย้ายเข้ามาระเบิดฟอร์มเก่งของตัวเอง จนถูกยกให้เป็นตำนานของศึกไทยลีก ซึ่งวันนี้ Ufa Arena จะพาไปดูกันว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นใครกันบ้าง
โคเน่ โมฮาเหม็ด
ดาวยิงตัวเก่งชาวไอเวอรี่โคสต์ เริ่มต้นลงเล่นฟุตบอลลีกไทย กับ นครปฐม ยูไนเต็ด เมื่อปี 2001 หลังจากนั้นฤดู 2003/2004 เจ้าตัวถูกดึงไปอยู่ ธนาคารกรุงไทย ก่อนพาสโมสรคว้าแชมป์ไทยลีก ซีซั่นนั้นทันที
กระทั่งปี 2006 โคเน่ โมฮาเหม็ด เริ่มสร้างชื่อขึ้นมาเมื่อเขาย้ายมาอยู่กับยอดทีมของเมืองไทย ณ เวลานั้น นั่นก็คือ ชลบุรี เอฟซี และมีส่วนสำคัญพาสโมสรผงาดแชมป์ไทยลีก สมัยแรกในประวัติศาสต์เมื่อฤดู 2007 พร้อมทำสถิติยิง 36 ประตู จากการลงสนามทั้งหมด 62 นัด ให้ทัพ “ฉลามชล” ก่อนตัดสินใจโยกซบ เมืองทอง ยูไนเต็ด ปี 2010 เพื่อประสานงานร่วมกับ 2 สุดยอดนักเตะแอฟริกัน อย่าง ซูมาโฮโร ยาย่า และ ดักโน่ เซียก้า
หลังร่วมทัพทีมดังย่านแจ้งวัฒนะ โคเน่ โมฮาเหม็ด กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในถิ่น ยามาฮ่า สเตเดี้ยม ทันที พร้อมพาขุนพล “กิเลนผยอง” ซิวแชมป์ไทยลีกเมื่อปี 2010 และ 2012 รวมถึงเคยเกือบได้ย้ายไปค้าแข้งลีกเบลเยียม แต่ดันติดขัดเรื่องรายละเอียดต่างๆ ทำให้เจ้าตัวชวดโอกาสอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนั้นศูนย์หน้าซึ่งเกิดในเมืองอาบีจาน ประเทศไอเวอรี่โคสต์ ยังกลายเป็นนักเตะต่างชาติคนแรกของศึกไทยลีก พังประตูครบ 100 ลูก โดยเกิดขึ้นช่วงที่เขาถูก เมืองทอง ยูไนเต็ด ปล่อยให้ ทีโอที เอสซี ยืมตัวเมื่อฤดูกาล 2011
อเดบาโย่ กาเดโบ้
ปราการหลังดีกรีเยาวชนทีมชาติไนจีเรีย รุ่นเดียวกับ เอ็นวานโก้ คานู, เจย์ เจย์ โอโคชา และ แดเนียล อโมคาชี คือผู้เล่นต่างชาติรายแรกๆ ที่ตัดสินใจเลือกเดินทางมาฟาดแข้งบนลีกสูงสุดของเมืองไทย
โดย อเดบาโย่ กาเดโบ้ ย้ายจากสโมสรลีกเลบานอน มาอยู่ บีอีซี เทโรศาสน เมื่อปี 1998 ซึ่งจุดเด่นของเขานอกจากจะเป็นกองหลังที่มีความสูงใหญ่แล้ว ยังมีความเร็วและเทคนิคการเล่นที่ดีด้วย นั่นทำให้เจ้าตัวกลายเป็นนักเตะคนสำคัญพาขุนพล “มังกรไฟ” ผงาดซิวแชมป์ไทยลีก 2 สมัยซ้อน ในปี 2001 และ 2002
จากนั้น อเดบาโย่ กาเดโบ้ โยกไปเล่นให้ เปแอสเปแอส เปอกันบารู ทีมในลีกอินโดนีเซีย กระทั่งกลับมาแคว้นสตั๊ดกับ พนักงานยาสูบ เมื่อปี 2004 ก่อนผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งปัจจุบันกุนซือชาวไนจีเรีย วัย 45 ปี รับตำแหน่งคุมทัพ “ช้างศึกยุทธหัตถี” สุพรรณบุรี เอฟซี
ซามูเอล อาจายี
อดีตกองหน้าตัวเก่งสัญชาติไนจีเรีย ย้ายจาก พนมเปญ คราวน์ สโมสรแกร่งบนลีกสูงสุดกัมพูชา มาอยู่ บางกอกกล๊าส เอฟซี เมื่อซีซั่น 2008 หลังจากนั้นเจ้าตัวระเบิดฟอร์มเก่งของตัวเองได้อย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปี กับการค้าแข้งในถิ่น ลีโอ สเตเดี้ยม
โดย ซามูเอล อาจายี ลงสนามให้ทัพ “กระต่ายแก้ว” ทั้งหมด 94 นัด ซัดไป 34 ประตู ก่อนย้ายมาอยู่ ชลบุรี เอฟซี ในปี 2013 ทว่าเขากลับทำผลงานกับ “ฉลามชล” ได้ไม่ดีเท่าที่ควร กระทั่งเจ้าตัวตัดสินใจอำลาถิ่น ชลบุรี สเตเดี้ยม โยกเล่น “ปลาทูคะนอง” สมุทรสงคราม เอฟซี ภายใต้การทำทีมของ “น้าฉ่วย” สมชาย ชวยบุญชุม ณ เวลานั้น แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเช่นเคย
ท้ายที่สุด ซามูเอล อาจายี หวนคืนกลับมาเล่นลีกกัมพูชา อีกครั้งกับ เบิงเกต อังกอร์ เอฟซี และกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ แคมโบเดียน ลีก 2 สมัย เมื่อปี 2016 และ 2017
แฟรงค์ โอฮานด์ซ่า
สุดยอดเครื่องจักรจอมถล่มประตูดีกรีทีมชาติแคเมอรูน ชุด U20 ย้ายมาค้าแข้งกับ บุรีรัมย์ พีอีเอ เมื่อซีซั่น 2011 และกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโมสรทันที หลังเจ้าตัวระเบิดฟอร์มสุดโหดเดินหน้าซัดตาข่ายคู่แข่งได้เป็นกอบเป็นกำ
แฟรงค์ โอฮานด์ซ่า คือศูนย์หน้าซึ่งมีจุดเด่นเรื่องความเร็วอันจัดจ้านและจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม ส่งผลให้เจ้าตัวพังประตูกับทัพ “ปราสาทสายฟ้า” ไปถึง 19 ลูก จากลงสนามศึกไทยลีก 22 นัด ตลอดซีซั่น 2011 พายอดทีมแดนอิสานใต้ คว้าแชมป์ลีกสมัยแรกของสโมสร
หลังจากนั้นดาวยิงชาวแคเมอรูน ถูก บุรีรัมย์ พีอีเอ ปล่อยตัวไปอยู่ กรอยเธอร์ เฟือร์ธ ในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน เมื่อฤดูกาล 2012/2013 ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ประความสำเร็จกับการค้าแข้งบนลีกสูงสุดเมืองเบียร์ ก่อนโยกเล่นให้กับอีกหลายสโมสรทั้งในยุโรปและเอเชีย อาทิ อิราคลิส ซัชนา (กรีก), เซสเวเต้ (โครเอเชีย), ไฮจ์ดุ๊ก สปลิต (โครเอเชีย), เซินเจิ้น เอฟซี (จีน) และต้นสังกัดปัจจุบัน เหอหนาน เจี้ยนเย้ ทีมแกร่ง ไชนีส ซูเปอร์ลีก
ซูมาโฮโร่ ยาย่า – ไอวอรีโคสต์
หัวหอกชาวไอวอรีโคสต์ แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวสมัยที่เขาย้ายจากสโมสรในลีกบ้านเกิดมาอยู่กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อปี 2008 ก่อนโชว์ฟอร์มเทพในถิ่น ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม เดินหน้าถล่มประตูให้กับทีมได้แบบกระจุยกระจาย
ศูนย์หน้าซึ่งมีทั้งความเร็วและจังหวะจบสกอร์อันเฉียบขาด ยิงประตูให้กับยอดทีมแห่งแจ้งวัฒนะ 12 ลูก ตลอดซีซั่น 2008 พาต้นสังกัดคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 (ไทยลีก 2) พร้อมตีตั๋วขึ้นมาเล่นบนศึกไทยลีก ได้สำเร็จ
ฤดูกาลถัดมา ซูมาโฮโร่ ยาย่า ยังคงทำผลงานได้ดีต่อเนื่องกับการลงฟาดแข้งบนลีกสูงสุดของเมืองไทย และยิงได้ถึง 9 ประตู ก่อนกลายเป็นหนึ่งในขุนพล “กิเลนผยอง” ชุดประวัติศาสตร์ร่วมกับ ณัฐพร พันธ์ฤทธิ์, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ดักโน่ เซียก้า และ ธีรศิลป์ แดงดา ผงาดคว้าแชมป์ไทยลีก สมัยแรกของสโมสร
จากนั้น ซูมาโฮโร่ ยาย่า ตัดสินใจอำลา เมืองทอง ยูไนเต็ด เพื่อย้ายไปอยู่กับ เกงค์ ยักษ์ใหญ่ศึก จูบิแลร์ ลีก เบลเยียม เมื่อปี 2010 ต่อด้วย แซงต์-ทรุยด็อง (เบลเยียม) และ วาดี้ เดกลา (อียิปต์)
แฟรงค์ อาเชียมปง
แฟรงค์ อาเชียมปง ถือเป็นอีกกองหน้าที่โด่งดังเคียงข้างกับ แฟรงค์ โอฮานด์ซ่า สมัยอยู่กับ บุรีรัมย์ พีอีเอ นอกจากนั้นเจ้าตัวยังเคยก้าวขึ้นไปติดทีมชาติกาน่า ชุดใหญ่มาแล้ว และถือเป็นแข้งผลผลิตส่งออกที่ดีที่สุดของไทยลีก คนหนึ่งเลยก็ว่าได้
สำหรับดาวเตะชาวกาน่า เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขุนพล “เซราะกราว” เมื่อปี 2011 ด้วยความคล่องและความเร็วที่หาตัวจับได้ยาก แฟรงค์ อาเชียมปง กลายเป็นฝันร้ายของผู้เล่นแนวรับฝั่งตรงข้ามแบบไม่ต้องสงสัย โดยผลงานฤดูกาลแรกในถิ่น ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม เจ้าตัวลงสนามทั้งหมด 33 นัดรวมทุกถ้วย ยิง 10 ประตู มีส่วนช่วยสโมสรคว้าแชมป์ไทยลีก ซีซั่น 2011
จากนั้นฤดูกาลถัดมา แฟรงค์ อาเชียมปง ยังคงโชว์ฟอร์มดุต่อเนื่อง ยิงไปอีก 16 ลูก จากการลงเล่น 48 เกมรวมทุกรายการ พาทัพ “ปราสาทสายฟ้า” ซิวดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยซีซั่น 2012 ทั้ง มูลนิธิไทยคม เอฟเอ คัพ และ โตโยต้า ลีก คัพ
กระทั่งเจ้าตัวถูกทีมดังศึก จูบิแลร์ ลีก เบลเยียม อย่าง อันเดอร์เลชท์ ดึงไปร่วมทีมฤดูกาล 2012/2013 และถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ หลังพาทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย ก่อนย้ายมาอยู่กับ เทียนจิน เทนด้า สโมสร ไชนีส ซูเปอร์ลีก เมื่อปี 2017 จนถึงปัจจุบัน
ดิยุฟ บีรัม – ไอวอรีโคสต์
อีกหนึ่งสุดยอดกองหน้าชาวแอฟริกัน ที่อยู่ค้าแข้งศึกฟุตบอลไทยลีก มานานกว่า 16 ปี พร้อมกับประสบความสำเร็จมาแล้วหลายสโมสร ดาวยิงชาวไอวอรีโคสต์ เริ่มต้นค้าแข้งศึกลูกหนังอาชีพแดนสยามเมื่อปี 2006 กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด แต่กลับไม่สามารถสร้างชื่อในถิ่น ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม ก่อนถูกปล่อยให้ สมุทรสงคราม เอฟซี ยืมตัวเมื่อปี 2008 กระทั่งกลายเป็นสมาชิกใหม่ของทัพ “ปลาทูคะนอง” แบบถาวรฤดูกาล 2010
หลังจากนั้น ดิยุฟ บีรัม เดินหน้าโชว์ฟอร์มโดดเด่นต่อเนื่องในสีเสื้อ สมุทรสงคราม เอฟซี มีส่วนสำคัญพาสโมสรจบได้ถึงอันดับ 8 ศึกไทยลีก ซีซั่น 2010 ก่อนถูกดึงไปอยู่ ชลบุรี เอฟซี เมื่อปี 2012 ต่อด้วย สุพรรณบุรี เอฟซี, สระบุรี เอฟซี, สุโขทัย เอฟซี, ชัยนาท ฮอร์นบิล, และ ตราด เอฟซี
กองหน้าซึ่งมีทั้งความเร็ว, ความดุดัน และความทุ่มเทไม่แพ้ใครยามอยู่ในสนาม ลงเล่นฟุตไทยลีก ไปแล้วทั้งหมด 178 นัด ให้กับทุกสโมสรรวมกัน ยิง 53 ประตู ส่วนผลงานซีซั่น 2020 ดิยุฟ บีรัม วัย 35 ปี อยู่กับทีมน้องใหม่ศึก โตโยต้า ไทยลีก อย่าง ระยอง เอฟซี พร้อมกับลงเล่นให้ทีมครบทุกนัดตลอด 4 แมตช์แรกที่ผ่านมา
ดักโน่ เซียก้า – ไอวอรีโคสต์
มาถึงกันที่คนสุดท้ายซึ่งหากไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นคือ ดักโน่ เซียก้า สุดยอดกองกลางพันธ์ดุอีกหนึ่งผู้เล่นชาวไอวอรีโคสต์ และนักเตะตำนานสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
มิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติไอวอรีโคสต์ ชุด U20 ย้ายจาก เซเว่ สปอร์ต เดอ ซาน เปโดร มาอยู่กับขุนพล “กิเลนผยอง” เมื่อปี 2008 ก่อนมีบทบาทสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ซีซั่นดังกล่าว ต่อด้วยการผงาดแชมป์ไทยลีก ฤดูกาลถัดมา ในปี 2009 ได้ทันที ซึ่งถือเป็นการซิวแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกของสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด
ด้วยสไตล์การเล่นที่แข็งแกร่งและความทุ่มเทของ ดักโน่ เซียก้า ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นที่รักของแฟนบอลแจ้งวัฒนะ มากที่สุดคนหนึ่ง ณ เวลานั้น พร้อมกับช่วยสโมสรคว้าแชมป์ไทยลีก เพิ่มอีก 2 สมัย เมื่อปี 2010 และ 2012
ดักโน่ เซียก้า ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นต่างชาติที่ดีที่สุดตลอดการของศึกไทยลีก หลังคว้าแชมป์ร่วมกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ทั้งหมด 3 สมัย นอกจากนั้นแข้งชาวไอวอรีโคสต์ หัวใจไทย รายนี้ ยังเคยถูกแฟนบอลเรียกร้องให้ได้รับโอกาสติดทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย มาแล้วอีกด้วย ทว่าท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง