กระทบทีมชาติ : เมื่อแนวรุกผู้ดียิงประตูน้อยลงในพรีเมียร์ลีก

กระทบทีมชาติ : เมื่อแนวรุกผู้ดียิงประตูน้อยลงในพรีเมียร์ลีก

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2021-22 จบไปแล้วเรียบร้อย แต่สำหรับ แกเร็ธ เซาธ์เกต แล้ว เขากลับพบปัญหาหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อทีมชาติอังกฤษมาพักใหญ่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

จาก 1,071 ประตูที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ มีนักเตะตำแหน่งตัวรุกชาวอังกฤษทำได้เพียง 142 ลูกเท่านั้น หรือคิดเพียง 20% จากทั้งหมด ซึ่งถือว่าต่ำมากที่สุดในรอบ 3 ฤดูกาลหลังสุดด้วย

ว่าแต่เป็นเพราะอะไรกันที่ทำให้ แข้งตัวรุกชาวผู้ดียิงประตูได้น้อยลงเรื่อยๆขนาดนี้ และพอจะมีทางหรือไม่ที่ทำให้พวกเขากลับมาโชว์ฟอร์มเก่งกันอีกครั้ง ก่อนจะถึงศึกฟุตบอลโลกที่กาตาร์ปลายปีนี้?

 

น้อยสุดในรอบ 3 ปี

Jamie Vardy atones for Harry Kane miss as England edge Turkey in Euro 2016 tune-up | South China Morning Post

ถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจไม่น้อยสำหรับกองหน้าชาวอังกฤษในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา หลังยิงได้รวมกันเพียง 142 ประตู หรือคิดได้เพียง 20% จากทั้งหมดเท่านั้น 

สิ่งอยู่เบื้องหลังการตกต่ำครั้งนี้ หากมองดูเผินๆ คงหนีไม่พ้นอาการบาดเจ็บของนักเตะส่วนใหญ่ รวมไปถึงฟอร์มการเล่นของหลายๆคนที่ทำผลงานได้แย่ลงกว่าเดิมในปีนี้

ตัวเลขเหล่านี้ห่างไกลจากฤดูกาล 1993-94 อยู่มากโข ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดที่ตัวรุกชาวอังกฤษทำได้ที่ 451 ประตูรวมกัน แม้ในตอนนั้นเป็นยุคที่ลีกเตะกัน 22 ทีม และแข่งกัน 42 นัดก็ตาม

ประตูที่ทำได้โดยกองหน้าแดนผู้ดี เริ่มเสื่อมถอยตั้งแต่ลีกก่อตั้งขึ้นในปี 1992 โดยแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 136 ประตูในปี 2012-13 ก่อนค่อยๆกระเตื้องกลับขึ้นมาเล็กน้อยในปีต่อๆมา และกลับมาต่ำลงอีกครั้งฤดูกาลนี้

โดยเฉพาะหลังจากฤดูกาล 2001-02 ที่แข้งเลือดผู้ดีซัดไป 243 ลูก ก็ไม่มีปีไหนที่พวกเขาทำประตูได้รวมกันทะลุ 200 ลูกอีกเลย

และหนึ่งในสาเหตุหลักๆที่ทำให้แข้งชาวอังกฤษ ทำประตูได้น้อยลงเรื่อยๆ คือจำนวนนาทีที่ลงเล่นในแต่ละปี ที่มีท่าทีลดลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ก่อตั้งลีกยุคใหม่ในปี 1992 โดยต่ำสุดในฤดูกาล 2018-19 ที่เล่นรวมกันแค่ราวๆ 30,400 นาทีเท่านั้น (ยิงไป 139 ประตู) และในปีนี้ก็ลงเล่นรวมกันที่ราวๆ 38,900 นาที

 

อิทธิพลของเคน

Harry Kane hero image

จำนวนนาทีการลงเล่นของนักเตะชาวอังกฤษเพิ่มมากขึ้นมาบ้างในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งมาจากผู้เล่นที่ติดทีมชาติเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง. มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช่, เจมี่ วาร์ดี้, โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน, แทมมี่ อับราฮัม (ตอนอยู่เชลซี), โอลลี่ วัตกินส์, คัลลั่ม วิลสัน และ แดนนี่ อิงส์ ซึ่งทั้งหมดต่างโชว์ฟอร์มได้ค่อนข้างดี

เวลาเล่นเกมที่พุ่งสูงขึ้นนั้นหมายถึงประตูจะมีมากขึ้นและทำให้ผู้ทำประตูที่โดดเด่นเช่นกัน และ เคน ก็กลายเป็นนักเตะชาวอังกฤษคนแรกในรอบ 16 ปี ที่คว้ารางวัลรองเท้าทองคำในฤดูกาล 2015-16 หลังจากที่กองหน้าชาวอังกฤษรุ่นก่อนๆ เคยคว้ารางวัลนี้มาครองได้ 8 ฤดูกาลติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 1992

อิทธิพลของ เคน ในช่วงที่ผ่านมาช่วยชุบชีวิตกองหน้าชาวอังกฤษคนอื่นๆในการทำประตูมากขึ้นบนพรีเมียร์ลีกด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ตัวเลขของนักเตะอังกฤษที่ยิงในพรีเมียร์ลีกไม่ตกต่ำลงไปมากกว่านี้

อลัน เชียเรอร์ ครองตำแหน่งดาวซัลโวในลีกยุคแรกๆ ขณะที่ เวย์น รูนี่ย์ กลายเป็นหอกผู้ดีที่โดดเด่นที่สุดในระหว่างปี 2006-2012 แต่ เคน กลับเหนือกว่ากองหน้าเพื่อนร่วมชาติมานานถึง 6 จาก 8 ฤดูกาลหลังสุด โดยเป็นรองแค่ เจมี่ วาร์ดี้ แค่ 2 ปีเท่านั้น

แต่ในฤดูกาล 2021-22 ดาวดังหลายคนกลับโชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะแรชฟอร์ดและซานโช่ ในขณะที่วาร์ดี้, คัลเวิร์ต-เลวิน และแพทริค แบมฟอร์ด ต่างวนเวียนอยู่ก้บปัญหาอาการบาดเจ็บพอสมควร

เดิมที หอกจาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็ฟอร์มตก หลังจากพลาดย้ายไปเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เนื่องจากยิงไปแค่ประตูเดียวเท่านั้น แต่สุดท้าย แข้งวัย 28 ปี ก็ฟอร์มเข้าฝักอีกครั้ง เมื่อยิงไป 16 ประตู นับตั้งแต่ อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาแทนที่ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ในเดือนพฤศจิกายน

ฟอร์มนั้นทำให้ เคน เป็นนักเตะอังกฤษที่ยิงประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ที่ 17 เหนือ วาร์ดี้ (15) และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (13) ขณะที่อันดับรองลงมาเป็น จาร์ร็อด โบเว่น และ อิวาน โทนี่ย์ ที่ทำไป 12 ประตูเท่ากัน

ตัวเลขเหล่านี้ เมื่อแปลเป็นยอดรวมของแต่ละทีมเปิดเผยว่า แอสตัน วิลล่า เป็นทีมที่มีเกมรุกชาวอังกฤ๋ที่ดุเดือดที่สุดโดยซัดไปรวมทั้งหมด 18 ประตู จากการประสานงานของ วัตกินส์ กับ อิงส์ ตามมาด้วย สเปอร์ส (17) และเลสเตอร์ (15)

ในขณะเดียวกัน เอฟเวอร์ตัน เป็นทีมได้ส่งกองหน้าชาวอังกฤษลงเล่นเป็นจำนวนนาทีมากที่สุด (5,916 นาที, ยิง 14)  และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็รั้งอันดับสามในการวัดนี้ (4,412, ยิง 12) แต่ทั้ง 2 สโมสรก็ยิงประตูได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นจากจำนวนนาทีที่ลงเล่นเช่นกัน

 

ต้องคืนฟอร์มก่อนบอลโลก

แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้ประกาศทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ไปแล้วเรียบร้อยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังค่อยจับตาดูฟอร์มของนักเตะเกมรุกมาตลอดในช่วงท้ายซีซั่นในพรีเมียร์ลีก

แน่นอนว่านักเตะตัวรุกที่ เซาธ์เกต ยึดเป็นตัวหลักมานานหลายปีอย่าง เคน หรือ สเตอร์ลิ่ง ย่อมติดโผมาด้วยแบบไม่ต้องสงสัย แต่ในชุดปัจจุบันมีการเพิ่มแนวรุกคนอื่นๆที่ฟอร์มเด่นเข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็น โบเว่น, ฟิล โฟเด้น, แจ็ค กรีลิช รวมไปถึง อับราฮัม ที่กำลังฮ็อตสุดๆกับ โรม่า ในกัลโช่ เซเรียอา

แต่การที่นักเตะหลายคนในลีกประสบปัญหาต่างๆจนฟอร์มตก ไม่ว่าอาการบาดเจ็บ, ความมั่นใจ หรือเรื่องนอกสนาม ย่อมส่งผลกระทบต่อทีมชาติอังกฤษ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากจะเหลือตัวเลือกในแนวรุกจะมีจำกัดในทีมของ เซาธ์เกต นั่นเอง

อย่างไรก็ดี เส้นทางก่อนจะถึงฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ กาตาร์ ยังอีกยาวไกล เพราะฉะนั้นยังมีเวลาที่นักเตะคนอื่นๆจะคืนฟอร์มในฤดูกาลหน้าเพื่อโอกาสไปเล่นศึกใหญ่ปลายปีนี้

ไม่ว่าจะเป็น คัลเวิร์ต-เลวิน ที่ต้องเรียกความฟิตกลับมาให้ได้, แรชฟอร์ด กับ ซานโช่ ที่ก่อนจะกลับมาติดทีมชาติก็ต้องคืนฟอร์มเก่งให้ได้อีกครั้ง กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของ เอริค เทน ฮาก โดยมี โบเวน และ โทนี่ย์ เป็นตัวสอดแทรกเช่นกัน

อยู่ที่พวกเขาเหล่านั้นจะเค้นฟอร์มจนเข้าตาของ เซาธ์เกต ก่อนจะถึงช่วงก่อนเดือนพฤศจิกายนปีนี้หรือไม่

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

เอซี มิลาน
เส้นทาง 11 ปีกว่าจะถึงสคูเด็ตโต้ของ เอซี มิลาน