เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันพุธที่ผ่านมา แฟนบอลทั่วโลกต้องตกใจไม่น้อย เมื่อท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ประกาศแยกทาง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือคนเก่งชาวอาร์เจนไตน์ หลังร่วมงานมานาน 5 ปี
พอชได้เข้ามาคุมไก่เดือยทองตั้งแต่ปี 2014 และเปลี่ยนจากให้ทีมที่ทำได้เต็มที่แค่ลุ้นอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรปให้กลายเป็นสโมสรลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว อีกทั้งยังพาสเปอร์สเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ด้วย แต่ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ตั้งแต่เริ่มในฤดูกาลล่าสุด ทำให้เส้นทางของเขากับทีมเป็นอันต้องสิ้นสุดลง
นั่นทำให้ตำแหน่งผู้จัดการทีมในถิ่น ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม ว่างลงอีกครั้ง ทาง UFA ARENA จึงทำการคัดเลือก 5 กุนซือตัวเต็งที่มีโอกาสมารับงานคุมสโมสรจากลอนดอนเหนือและพาทีมกลับไปสู่ลู่ทางที่ควรจะเป็นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
โชเซ่ มูรินโญ่
ตัวเต็งเบอร์หนึ่งที่สื่อทุกสำนักคาดว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่ไก่เดือยทองคนต่อไปมากที่สุดคงหนีไม่พ้นชายที่ชื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ แน่นอน
กุนซือชาวโปรตุกีสมีข่าวกับสเปอร์สแบบจริงๆจังๆ ในช่วงที่เขาเข้าไปรับงานเป็นกูรูรับเชิญของช่องสกาย สปอร์ต และเขาก็คงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่ายังเป็นยอดกุนซือในพรีเมียร์ลีกอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง หลังแยกทางกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สวยเท่าไหร่ในปีก่อน
เดอะ สเปเชียล วัน สามารถคว้าแชมป์ได้กับทุกสโมสรที่เขาไปคุม ซึ่งนี่เป็นบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของ ดาเนี่ยล เลวี่ ประธานสโมสรอย่างแน่นอน แต่การที่มูรินโญ่ใช้เงินเสริมทัพที่มากเกินตัวจนกลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่ใช้เงินซื้อแข้งใหม่แตะ 1 พันล้านปอนด์คนแรกในโลก อาจเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้อดีตกุนซือเชลซีเข้ามาทำงานในลอนดอนอีกครั้งก็เป็นได้
ราฟาเอล เบนิเตซ
ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นผู้จัดการทีมอีกคนที่มีประสบการณ์โชกโชนในสมรภูมิพรีเมียร์ลีก รวมถึงถ้วยรางวัลที่มีก็การันตีถึงความสามารถได้เป็นอย่างดี
กุนซือชาวสแปนิชใช้เวลา 3 ปีในการดิ้นรนพาทีมนิวคาสเซิลเอาตัวรอดในลีกสูงสุดของอังกฤษได้อย่างสวยงาม แม้จะมีงบประมาณที่จำกัดมากๆ ก่อนจะย้ายไปคุมทีม ต้าเหลียน ยี่ฝ่าง ในจีน และ แม้ว่าค่าจ้างจากแดนมังกรจะมากมายแค่ไหน แต่หากมีโอกาส เอล ราฟา ย่อมอยากกลับมารับงานคุมทีมใหญ่ในยุโรปอยู่แล้ว
การทำงานกับ ไมค์ แอชลี่ย์ ในถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค คงทำให้อดีตนายใหญ่ลิเวอร์พูลคุ้นเคยกับการทำงานของเลวี่ในสเปอร์สได้พอสมควร และคงได้รับอิสระในการเสริมทัพมากกว่าที่เขาเคยได้ในทีมสาลิกาดงหลายเท่าตัวเลย
เอ็ดดี้ ฮาว
ถ้าสเปอร์สไม่ต้องการใช้งานกุนซือชื่อดังในวงการ งั้นลองเสี่ยงมาเลือกนายใหญ่ที่มีแววและศักยภาพในการก้าวเป็นกุนซือระดับท็อปดูล่ะ อย่างเช่น เอ็ดดี้ ฮาว ที่กุมบังเหียนบอร์นมัธอยู่ในขณะนี้
นายใหญ่ชาวอังกฤษพา เดอะ เชอร์รี่ส์ อยู่รอดปลอยภัยในพรีเมียร์ลีกมานาน 5 ฤดูกาลติดต่อกันแล้ว หลังเลื่อนชั้นแชมเปี้ยนส์ชิพมาตั้งแต่ปี 2015 และจบอันดับที่ 9, 12, 14 ใน 3 ปีหลังสุด
น่าสนใจไม่น้อยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากฮาวเข้ามาทำทีมที่มีกำลังในการเสริมทัพและต้องลุ้นแชมป์ในเวลาเดียวกัน แต่การทำทีมแบบเน้นเกมรุกคงทำให้กุนซือวัย 41 ปี เป็นที่ถูกอกถูกใจแก่เหล่ายิด อารมี่ ไม่น้อยเลย
เอริค เตน ฮาก
อดีตกองหลังทเวนเต้อย่าง เอริก เตน ฮาก ได้รับคำชมจากกูรูลูกหนังมากมาย กับผลงานที่เขาแสดงให้เห็นกับอาแจ็กซ์ในตอนนี้
กุนซือชาวดัตช์ พาทีมพลังหนุ่มที่ผสมผสานกับแข้งตัวเก๋าได้อย่างลงตัว เข้าไปถึงรอบตัดเชือกในแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลก่อน น่าเสียดายที่พ่ายแก่ทีมไก่เดือยทองของ โปเช็ตติโน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในบ้านเกิดได้อย่างสวยงาม
เช่นเดียวกับฮาว กุนซือวัย 49 ปี มีสไตล์การทำทีมที่น่าตื่นตาตื่นใจ และยังมีผลงานการันตีในด้านการทำงานร่วมกับดาวรุ่งและพัฒนาฝีเท้าให้ก้าวเป็นแข้งระดับโลกได้ (เช่นเฟรงกี้ เดอ ยอง หรือ มัธไธจ์ส เดอ ลิกต์) ซึ่งทีมเยาวชนของสเปอร์สน่าจะมีศักยภาพเพียงให้ เตน ฮาก ดันขึ้นเล่นและกลายเป็นตัวหลักของทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคต
มัซซิเลียโน่ อัลเลกรี
แม้จะพักงานคุมทีมไปนานพอสมควรนับตั้งแต่ก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมของยูเวนตุส เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่มัซซิเลียโน่ อัลเลกรี ก็เป็นในกุนซือว่างงานเนื้อหอมที่มีข่าวกับสโมสรระดับต้นๆในยุโรปมากมาย และหนึ่งในทีมเหล่านั้นก็คือ สเปอร์ส
หลายคนอาจเคยกังขาฝีมือของกุนซือชาวอิตาเลี่ยน สมัยที่คุมเอซี มิลาน และคว้าแชมป์เซเรียอาไปเพียงสมัยเดียว ทว่าข้อสงสัยต่างๆก็หายไป เมื่อเขาเข้ามารับงานคุมทีมเบี่ยงโคเนรี่ต่อจาก อันโตนิโอ คอนเต้ และกวาดแชมป์ในอิตาลีมาครองได้ทุกรายการตลอด 4 ปีกว่าในถิ่น อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม แถมพาทีมเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 2 ครั้ง แม้จะพลาดโอกาสชูถ้วยบิ๊กเอียร์ทั้ง 2 ครั้งก็ตาม
ความสำเร็จเหล่านี้ของอดีตนายใหญ่ม้าลายเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจให้กับ เลวี่ ไม่น้อยและไม่ด้อยไปกว่าเคสของ มูรินโญ่ เลย หรืออาจดีกว่ากุนซือชาวโปรตุกีสด้วยซ้ำตรงที่อัลเลกรีไม่เคยวิจารณ์นักเตะของตนแบบเสียๆหายๆออกสื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว