พามาไกลได้แค่นี้ : เหตุใดซานโต้จึงแยกทางกับวูล์ฟส์

นูโน่

 

แฟนวูล์ฟแฮมป์ตัน ต้องสะเทือนใจไม่น้อย เมื่อทราบข่าวว่า นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ เตรียมบอกลาตำแหน่งกุนซือของทีมและ ถิ่น โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม หลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้

 

ไม่ว่าผลการแข่งเกมนัดสุดท้ายกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันอาทิตย์นี้ จะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะจบอันดับที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสโมสรในรอบ 40 ปี เป็นรองเพียง 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ ที่ นูโน่ พาทีม หมาป่า รั้งอันดับ 7 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขากับทีม

 

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา กุนซือชาวโปรตุกีส ได้สร้างปรากฏการณ์มากมายกับ วูล์ฟส์ ทั้งการ เอาชนะ ทีมใหญ่ในลีกอังกฤษ ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี หรือ ลิเวอร์พูล รวมทั้งการทะลุเข้าไปรอบตัดเชือก เอฟเอ คัพ และ การไปไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในบอลยุโรป

 

ทว่าเพราะเหตุใดกัน นายใหญ่วัย 47 ปี ถึงตัดสินใจแยกทางกับสโมสร ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุดอยู่ UFA ARENA จึงขอพาไปวิเคราะห์การลาทีมของ นูโน่ ผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

 

อัตลักษณ์ 3-4-3

 

Nuno Espirito Santo and Jeff Shi

 

ก่อนหน้านี้ วูล์ฟส์ เป็นทีมที่เลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก 2 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ขึ้นมาในฐานะทีมตัวเต็งหนีตกชั้นเท่านั้น ทั้งครั้งแรกในปี 2003 หรือ ในปี 2009 ที่แม้เอาตัวรอดได้ 2 ฤดูกาล แต่ก็ต้องหล่นไปเริ่มใหม่ในปี 2012 อยู่ดี

 

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ 1 ปีต่อมา พวกเขาตกชั้นไปเล่นในลีก วัน หลังจากนั้น แต่ทว่าในปี 2014 โฟซุน อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จากจีน ก็เข้ามาเป็นเจ้าของทีมรายใหม่ พร้อมกับทำการปฏิวัติทีมแบบยกชุด

 

อย่างไรก็ตาม กลุ่มทุนจากแดนมังกร ต้องใช้เวลา 3 ปีในการลองผิดลองถูก ทั้ง วอลเตอร์ เซนก้า ที่พาทีมไปได้ไม่ถึงฝัน หรือ พอล แลมเบิร์ต ที่ดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็อยู่ที่เดิม ขณะที่ จอร์จ เมนเดส เอเย่นต์ชื่อดัง อาจมีส่วนช่วยให้ทีมได้นักเตะฝีเท้าดีเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ช่วยในการระบบหรือแผนการเล่นของทีม

 

จากนั้นในปี 2017 ซานโต้ ก็ก้าวเข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของทีม พร้อมพา ‘หมาป่าแดนผู้ดี’ ประสบความสำเร็จทันที ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาคุมทีม

 

กุนซือชาวโปรตุกีส ใช้ระบบ 3-4-3 ในช่วงพรีซีซั่น ก่อนกลายเป็นระบบการเล่นที่เป็นเหมือนอัตลักษณ์ของทีมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แถมผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยอดเยี่ยม กับการคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ชิพ จนเลื่อนชั้นได้สำเร็จในฤดูกาล 2017-18

 

อีกทั้งยังคว้าแชมป์ด้วยการทำไป 99 แต้มมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์ของ แชมเปี้ยนส์ชิพ เท่ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เลื่อนชั้นในฤดูกาล 2001-02 

 

 

2 ปีซ้อนกับอันดับ 7

 

Wolverhampton Wanderers: 2019-2020 Season Preview | StatsBomb

 

หลังเลื่อนชั้นขึ้นมา วูล์ฟส์ ก็ยังใช้แกนหลังจากทีมชุดแชมป์ลีกรอง เช่น คอนเนอร์ โคดี้, แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ หรือ รูเบน เนเวส ซึ่งเปล่งประกายมากกว่าเดิมยามได้โชว์ฝีเท้าในพรีเมียร์ลีก

 

อีกทั้งนักเตะที่ตามมาในภายหลังก็เพิ่มมิติใหม่ ๆ ให้กับทีมมากขึ้น ทั้ง ราอูล ฆิมิเนซ ในด้านการทำประตู, เชา มูตินโญ่ ที่เพิ่มคลาสในแดนกลาง และ อดาม่า ตราโอเร่ ที่เพิ่มความจัดจ้านในเกมรุก

 

ถึงเล่นในระบบเซ็นเตอร์แบ็ค 3 ตัว พ่วงด้วยวิงแบ็ค แต่นี่ไม่ใช่สไตล์การเล่นที่เหมือนกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เน้นเปิดหน้าแลกกับทีมใหญ่แบบไม่เกรงกลัว แต่ด้วยการใช้จังหวะเล่นบอลน้อยครั้ง เพื่อสวนกลับจู่โจม และลงโทษคู่แข่ง ส่วนนี้ก็ทำให้ วูล์ฟส์ ทำอันดับได้สูงกว่าทีมน้องใหม่ในยุคนี้

 

การคว้าอันดับ 7 ได้ 2 ปีติดในฤดูกาล 2018-19 และ 2019-20 เป็นหลักฐานบ่งบอกได้ดีว่าฟอร์มการเล่นของทีมภายใต้กุนซือเลือดฝอยทอง ยอดเยี่ยมเพียงใด แถมกลายเป็นของแสลงสำหรับทีมท็อปซิกซ์ใน พรีเมียร์ลีก อีกด้วย เพราะทั้งหมดล้วนถูก วูล์ฟส์ เล่นงานจนปราชัยมาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 2 ฤดูกาล

 

ทว่าท้ายฤดูกาล 2019-20 ความพ่ายแพ้ของ วูล์ฟส์ ต่อ เซบีย่า ในยูโรป้า ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย เดือนสิงหาคม ที่พวกเขาครองบอลแค่ 24.6% เกิดคำถามว่าการเล่นฉาบฉวยแบบนี้ของทีม ถึงขีดจำกัดแล้วหรือไม่?

 

 

เมื่อสมดุลทีมเปลี่ยน

 

Clash of heads: Raul Jimenez leaves game with head injury after colliding with David Luiz | Sports News,The Indian Express

 

การเสีย โดเฮอร์ตี้ ให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ร่วมกับ ดีโอโก้ โชต้า ที่ย้ายไป ลิเวอร์พูล ทำให้ วูล์ฟส์ คว้าแข้งใหม่แทนที่ตำแหน่งเดียวกันทั้ง เนลสัน เซเมโด้ และ ฟาบิโอ ซิลวา ดาวรุ่งค่าตัว 35 ล้านปอนด์จาก ปอร์โต้ 

 

การเปลี่ยนแปลงแค่นั้น ย่อมไม่เพียงพอในการยกระดับหรือรักษามาตรฐานของทีมต่อไปได้ และการบาดเจ็บในเวลาต่อมาก็ส่งผลกระทบต่อทีมของ นูโน่ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

ทีม ‘หมาป่า’ ต้องเสีย ฆิมิเนซ ไปในเกมเอาชนะ อาร์เซน่อล 2-1 ในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 จากอาการบาดเจ็บรุนแรงจนต้องผ่าตัดกระโหลก ซึ่ง ณ เวลานั้นทีมรั้งอันดับ 7 ในลีก มีแต้มห่างอันดับ 4 อยู่ 4 แต้ม

 

เรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิด เมื่อต้องไร้เงาหอกจังโก้ ผู้ทำไป 27 ประตูในฤดูกาลก่อน นั่นทำให้ นูโน่ เปลี่ยนมาใช้แผงหลัง 4 คนแทน เพื่อให้ผู้เล่นตำแหน่งอื่น ๆ สนับสนุนแนวรุกมากขึ้น แต่นั่นกลับทำให้เกมรับที่เคยเหนี่ยวแน่นของทีม เปิดช่องว่างออกมา และส่งผลให้ทีมหล่นมาอยู่กลางตารางอย่างสมบูรณ์

 

เรื่องโชคร้ายยังไม่หมดแค่นี้ เมื่อ จอนนี่ ได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าซ้ำอีกครั้ง ในขณะที่ วิลลี่ โบลี่ และ แดเนียล โพเดนซ์ ก็เจ็บยาวเช่นกัน ทำให้ นูโน่ มีตัวเลือกเหลือใช้ไม่มาก และ ทีมขนาดเล็กที่กร่ำศึกหนักมาตลอด 383 วันต่อฤดูกาล ก็เริ่มแสดงรอยร้าวให้เห็น

 

นอกจากนี้ยังมีความผิดพลาดส่วนตัวของ ซานโต้ ด้วยเช่นกัน ทั้งการตัดสินใจพักผู้เล่นตัวหลักในศึก เอฟเอ คัพ กับ เซาแธมป์ตัน จนสร้างความไม่พอใจแก่แฟน ๆ ก่อนพ่ายไป 2-0 และการคว้า วิลเลี่ยน โจเซ่ กองหน้าจาก เรอัล โซเซียดาด มาแบบยืมตัว ก็ทดแทนภาระในการทำประตูของ ฆิมิเนซ ไม่ได้เลย

 

การเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นหลัก,การถูกทีมอื่นดึงแข้งตัวหลักไปเพื่อเสริมแกร่ง และการขาดหายไปของผู้เล่นคนสำคัญจากอาการบาดเจ็บ ส่งผลให้ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในฤดูกาลนี้ ดูไม่เหมือนทีมเดิมเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อนอีกต่อไป

 

 

มาไกลได้เท่านี้

 

Nuno to leave Wolves at the end of the season | Express & Star

 

บางทีควรให้เวลา นูโน่ มากกว่านี้ในการเชื่อมั่นกับแข้งเยาวชน กับผลงานในเกมที่ชนะ ไบรท์ตัน 2-1 เมื่อเขาส่งแข้งที่เกิดหลังปี 2000 ลงเป็นตัวจริงถึง 5 คน ซึ่งมากกว่าที่ทีมไหนเลือกใช้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

 

แต่ความพ่ายแพ้แบบไร้หนทางในเกมพบ ท็อตแน่ม และ เอฟเวอร์ตัน ได้ตอกย้ำให้เห็นว่า วูล์ฟส์เป็นเหมือนทีมที่วกวนไปมา แน่นอนว่า การสร้างทีมใหม่ คงใช้เวลานานและแม้ว่า นูโน่ จะมีเวลาในการวางแผนสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่ทิศทางที่ชัดเจนก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด

 

เมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึงทางตันจึงกลายเป็นสาเหตุของการแยกทางของทั้ง 2 ฝ่าย และกลายเป็นปัญหาที่กุนซือคนใหม่ของสโมสรต้องหาทางแก้ไขต่อไปในอนาคต

 

แต่ในตอนนี้ นูโน่ จะต้อนรับการกลับมาของแฟนบอล 4,500 คน ในเกมดวลกับ ‘ปีศาจแดง’ วันอาทิตย์โดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด ๆ อีกต่อไป

 

ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรในช่วงสุดสัปดาห์นี้ กุนซือชาวโปรตุกีส จะลาทีม ‘หมาป่า’ ด้วยสถิติกุนซือที่มีเปอร์เซ็นต์คว้าชนะที่ดีที่สุดของทีมในยุคพรีเมียร์ลีก ด้วยตัวเลข 50.9%

 

ดีกว่าแม้กระทั่ง สแตน คัลลิส กุนซือตำนานของสโมสร ผู้คว้าแชมป์ลีก 3 สมัย และ แชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย ในระหว่างปี 1949-1960 ซึ่งทำไว้ 46.8%

 

นูโน่ อาจไม่เข้าใกล้ระดับเดียวกับ คัลลิส แต่ เขาก็เป็นคนสร้างและยกระดับให้ วูล์ฟส์ ชุดปัจจุบัน สามารถอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีกได้เช่นตอนนี้ 

 

รวมถึงผลงาน 4 ปีของกุนซือวัย 47 ปี ในถิ่น โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม ก็มั่นใจว่าจะไม่มีทางถูกหลงลืมไปจากความทรงจำของแฟนบอล วูล์ฟแฮมป์ตัน อย่างแน่นอน

 

 

อนาคตของ นูโน่

 

Nuno 'disappointed' at first goal in Wolves' defeat to Spurs | Express & Star

 

หลังประกาศลาตำแหน่ง ด้วยชื่อชั้นของ นูโน่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในเส้นทางสายกุนซือ น่าทำให้เขาว่างงานไม่นาน และถูกสโมสรน้อยใหญ่แย่งรุมจีบอย่างไม่ต้องสงสัย

 

แน่นอนว่าผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขาคงหนีไม่พ้น 4 ปีหลังสุดกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน แต่สมัยที่คุม บาเลนเซีย ระหว่างปี 2014-15 ก็ใช้ได้ ด้วยการพา ไอ้ค้างคาว คว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก 

 

ล่าสุด ซานโต้ ถูกยกให้เป็นตัวเต็งเบอร์หนึ่งว่าที่กุนซือใหม่ของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในฤดูกาลหน้า หลังเก้าอี้นี้ว่างเว้นมาตั้งแต่สั่งปลด โชเซ่ มูรินโญ่ ในเดือนเมษายน และให้ ไรอัน เมสัน รักษาการณ์แทน

 

ด้วยสไตล์การเล่นเกมรุกที่เป็นจุดเด่นของ สเปอร์ส ดูเข้ากับแนวทางของกุนซือชาวโปรตุกีส ไม่น้อย โดยเฉพาะการเล่นจังหวะที่โต้กลับที่รวดเร็วและอันตราย ที่กลายเป็นจุดเด่นแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงสำหรับ ซานโต้

 

กลาสโกว์ เซลติก ก็เป็นอีกทีมที่มีข่าวกับ ซานโต้ หลังจากนั้นไม่นาน แต่ทว่าก็ไม่ได้ถูกประโคมหนักมากเท่ากับ สเปอร์ส ณ เวลานี้

 

แต่เส้นทางของ ซานโต้ จะเป็นเช่นไรในอนาคต จะลงเอยกับ ‘ไก่เดือยทอง’ ตามที่ลือกันหรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะกลายเป็นคำตอบให้กับเราทุกคน 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไปอีกหนึ่ง! นูโน่ ซานโต้ประกาศลาวูล์ฟส์หลังจบฤดูกาล

 

ไปอีกหนึ่ง! นูโน่ ซานโต้ประกาศลาวูล์ฟส์หลังจบฤดูกาล