ฟอร์มเริ่มคุ้มค่าตัว : เฟร็ด กับ โอกาสครั้งใหม่ในปีศาจแดง

 

หลังจากที่โชว์ฟอร์มเด่นในเกมใหญ่ที่เอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ใน 2 เกมลีกล่าสุด แฟนบอลเริ่มเปลี่ยนมุมมองใหม่กับกองกลางค่าตัว 52 ล้านปอนด์อย่าง เฟร็ด มากขึ้น และเป็นในทิศทางที่ดีด้วย

 

ก่อนหน้านี้ยากที่เราจะบ่งบอกว่าจุดต่ำสุดของเฟร็ดในการค้าแข้งกับปีศาจแดงอยู่ตรงไหน เพราะเขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวกับการย้ายมาเล่นในอังกฤษปีแรก

 

แข้งชาวบราซิลเลี่ยนถูกยกให้เป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งมีสื่อต่างๆรายงานอีกว่า จริงๆแล้ว โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่ได้ต้องการเขามาร่วมทีมเลย แต่ต้องจำใจคว้ามาเพราะ เอ็ด วู๊ดเวิร์ด ซีอีโอของสโมสรไม่มีตัวเลือกอื่นให้แล้ว

 

เขาเป็นผู้เล่นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบอลพลาดง่ายๆ การยิงไกลที่หวังผลไม่ได้เลย และการตัดฟาวล์ที่ไม่จำเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า

 

อันเดรส เปเรย์ร่า เป็นนักเตะที่เล่นได้แย่ไม่ต่างจากเฟร็ด เพียงแต่เขาไม่มีค่าตัวมหาศาลเหมือนตอนที่เฟร็ดย้ายมาจาก ชัคตาร์ โดเนสค์ ส่งผลให้ความคาดหวังของแฟนบอลนั้นมีมากตั้งแต่วันแรกที่เฟร็ดย้ายเข้ามาในโอลด์  แทร็ฟฟอร์ด

 

แต่ในช่วงที่ผ่านมา เฟร็ดกลับกลายเป็นนักเตะที่สาวกเร้ด อาร์มี่ ไม่เคยเห็นมาก่อน ทาง UFA  ARENA จะพาทุกคนไปวิเคราะห์เจาะลึกถึงเรื่องราวของกองกลางร่างเล็กตั้งแต่ย้ายมาช่วงแรกๆ จนถึงตอนนี้ที่กำลังจะเป็นขวัญใจคนใหม่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

 

ตัวตลกคนใหม่

 

 

ฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ของ เฟร็ด มีให้แฟนบอลปีศาจแดงเห็นจนชินตาในฤดูกาล 2018-19 หรือนับตั้งแต่เข้าย้ายมาร่วมทีมอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนปี 2018

 

เขาไม่สามารถลงเล่นเป็นตัวจริงได้เลย ถ้า พอล ป็อกบา หรือ สก็อต แม็คโทมิเนย์ ยังฟิตสมบูรณ์อยู่ และถึงแม้จะได้โอกาสลงเล่น แข้งวัย 26 ปี ก็ยังไม่สามารถคว้าโอกาสพิสูจน์ตัวเองได้อยู่ดี

 

เขาลงเล่นไป 17 เกมในลีก ยิงและแอสซิสต์ไปอย่างละลูก เมื่อฤดูกาลก่อน แถมสถิติต่างๆก็ไม่ได้ช่วยให้เขาดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย 

 

ทั้งการจ่ายบอลที่ทำไป 769 ครั้ง (เฉลี่ย 45.24 ครั้งต่อเกม) แต่กลับสร้างโอกาสสำคัญได้แค่ครั้งเดียว หรือการครอสบอลที่ทำไป 13 ครั้ง แต่เข้าเป้าเพียง 38 เปอร์เซนต์ 

 

หรือการยิงประตูที่ไม่ใช่จุดแข็งของเฟร็ดเลย ที่มีโอกาสยิงทั้งหมด 17 ครั้ง แต่เข้ากรอบเพียง 2 ลูกเท่านั้น คิดเป็นเปอร์เซนต์เพียง 12 เปอร์เซนต์เท่านั้น

 

และฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของเขาในปีก่อนคงเป็นเกมที่พลิกเอาชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ได้ 3-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครจดจำหรือพูดถึงมากเท่ากับจังหวะ VAR ที่ช่วยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ซัดจุดโทษเป็นประตูชัยเข้าไป

 

 

ฤดูกาลใหม่ในฟอร์มเดิม

 

 

เฟร็ดยังคงต้องดิ้นรนหาฟอร์มเก่งต่อไปในฤดูกาลถัดมา ซึ่งก็ไม่ดูดีเพิ่มขึ้นมามากนัก และบางทีเกมที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดน่าจะเป็นเกมในเดือนตุลาคม นัดที่ทีมเสมอกับ อาแซด อัลค์มาร์ แบบจืดชืด 0-0 ในยูโรป้าลีก ก่อนจะทำผลงานได้แย่ยิ่งกว่าเดิมในนัดที่พ่ายนิวคาสเซิล 1-0 ในพรีเมียร์ลีก

 

หลังเกมพบ อัลค์มาร์ ไมเคิล โอเว่น อดีตกองหน้าของลิเวอร์พูลและแมนยู พูดถึงเฟร็ดว่า “เขาเป็นแค่ผู้เล่นระดับกลางๆใช่มั้ย นั่นแหละคือประเด็นสำคัญ”

 

ขณะที่ มาร์ติน คีโอวน์ อดีตกองหลังจอมแกร่งของ อาร์เซน่อล ก็วิจารณ์การครอบครองบอลของ เฟร็ด หลังเกมพบสาลิกาดงว่า “เกือบจะกลายเป็นเรื่องตลก”

 

ทั้ง 2 เกมนั้น กองกลางเลือดแซมบ้าถูกโจมตีอย่างหนักพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบอลให้ไม่ตรงเพื่อนร่วมทีมในเกมที่พบกับสโมสรจากฮอลแลนด์ หรือ สัมผัสบอลแรกที่ดูเหมือนเป็นนักเตะสมัครเล่นมากกว่าแข้งระดับอาชีพ ในเกมพบทีมแดนอีสานในอังกฤษ ซึ่งทำให้ เปเรย์ร่า ถึงกับส่ายหัวเมื่อเห็นจังหวะนั้น

 

ต่อมา เฟร็ดก็ทำผลงานได้ไม่เลวนักในเกมที่เสมอ ลิเวอร์พูล 1-1 แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ทำให้รอย คีน อดีตกองกลางพันธ์ดุของทีมหงุดหงิด เมื่อเห็นเขาไปกอดคอพูดคุยกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ฟาบินโญ่ เพื่อนร่วมชาติเดียวกันในอุโมงค์สนาม

 

แค่เริ่มฤดูกาลใหม่ไม่ถึงครึ่งทาง ดูเหมือนปีที่ 2 ของเฟร็ดกับปีศาจแดงน่าจะแย่กว่าปีของเขาด้วยซ้ำไป

 

 

แข้งแซมบ้าโต้กลับ

 

 

เดอะ แอธเลติก สื่อในแดนผู้ดี ได้รายงานในเดือนตุลาคมว่า มูรินโญ่เลือกคว้า เฟร็ด มาร่วมทีม เพราะไม่มีตัวเลือกแดนกลางคนอื่นแล้ว หลังจากนั้น ยูไนเต็ด ก็ออกมาปฏิเสธข่าวนั้นในทันที

 

ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงข่าวเต้าที่สื่อสร้างขึ้นมาหรือไม่  หากมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็คงทำให้การกลับมาฉายฟอร์มเก่งของเฟร็ดดูยอดเยี่ยมมากขึ้นเป็นพิเศษ

 

มูรินโญ่ กลับมาเหยียบ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกครั้ง ในฐานะกุนซือของสเปอร์ส นี่จึงเป็นโอกาสที่แข้งปีศาจแดงจะแสดงให้นายเก่าว่าพวกเขาสามารถทำอะไรในสนามบ้าง

 

และหนึ่งในแข้งยูไนเต็ดที่โชว์ฟอร์มได่โดดเด่นที่สุดในวันนั้นคงหนีไม่พ้น แข้งชาวบราซิลเลี่ยนวัย 26 ปี ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสบอลที่มากที่สุด (86), จ่ายบอลสำเร็จมากที่สุด (49), จ่ายบอลในแดนคู่แข่งมากที่สุด (39), เก็บบอลมากที่สุด (11), ครอสบอลมากที่สุด (3), แย่งบอลมากที่สุด (3) และ ได้ฟาวล์มากที่สุด (2)

 

การที่เขาได้รับคู่ในแดนกลางร่วมกับ สก็อต แม็คโทมิเนย์ ทำให้ แฮร์รี่ วิงส์ และ มุสซ่า ซิสสโซโก้ คู่มิดฟิลด์ของไก่เดือยทองดูหมองไปเลย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ยูไนเต็ดคว้าชัยได้ 2-1 ในวันนั้น 

 

ถึงแม้จะทำผลงานได้ดี แต่แค่เกมเดียวคงไม่สามารถลบล้างชื่อเสีย(ง)ที่ผ่านมาของ เฟร็ด ได้ทั้งหมด และคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำผลงานได้ดีเช่นนี้ เมื่อคู่แข่งทีมต่อไปคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าที่กำลังทำแต้มไล่บี้ ลิเวอร์พูล จ่าฝูงอยู่

 

แต่นั่นคือความคิดที่ผิดถนัด เพราะในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ นัดล่าสุด เฟร็ด แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางของปีศาจแดงคู่กับ แม็คโทมิเนย์ ที่คอยวิ่งไล่บี้แข้งเรือใบสีฟ้าได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย, การจ่ายบอลที่แม่นยำและตรงเป้าหมาย และที่สำคัญคือจัดการกับ เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางตัวเก่งของซิตี้จนแผลงฤทธิ์ไม่ออก จนช่วยให้ทีมบุกไปคว้า 3 แต้มจากเอติฮัด สเตเดี้ยม ได้สำเร็จ

 

 

จริงอยู่ที่เขาอาจไม่โดดเด่นเท่า กองกลางชาวสก็อต หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด เจ้าของรางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ของวันนั้น แต่การที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือปีศาจแดงเอ่ยปากชมและยกย่องว่าเฟร็ดคือ แมนออฟเดอะแมตช์ที่แท้จริง นั่นแสดงให้เห็นว่า เขามีความสำคัญต่อทีมมากแค่ไหนในตอนนี้

 

ณ เวลานี้ แข้งเจ้าของค่าตัว 52 ล้านปอนด์ เริ่มทำให้ผลงานได้ใกล้เคียงกับค่าตัวที่ทีมเสียไปแล้ว และบางทีการขาดหายไปของ ป็อกบา อาจไมส่งผลกระทบต่อยูไนเต็ดอย่างที่หลายคนคาดไว้ แต่เป็นกองกลางนามว่า เฟร็ด ต่างหากที่อาจส่งกระทบต่อกุนซือชาวนอร์เวย์ หากเขาหายหน้าไปจากทีมจริงๆ