มัตเตโอ บริกี้ : ยอดแข้งใน FIFA ผู้ไปไม่ถึงฝันในชีวิตจริง

มัตเตโอ บริกี้ : ยอดแข้งใน FIFA ผู้ไปไม่ถึงฝันในชีวิตจริง

ทุกคนต่างรู้ดีว่า EA Sports นั้นให้ค่าพลังนักเตะสูงอย่างมากในช่วงเวอร์ชั่นแรกๆที่เกมวางจำหน่าย แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่านักเตะที่มีค่าพลังสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์เฟรนไชส์นี้คือ กองกลางดาวรุ่งจากยูเวนตุส นามว่า ‘ มัตเตโอ บริกี้’ ในปี 2003

กองกลางชาวอิตาเลี่ยน ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับแสงสีมากนัก เพราะในปี 2009 เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ Roma News ว่าเขาชอบกลับบ้านไปอ่านหนังสือ มากกว่าไปเที่ยวที่ไนท์คลับ แต่ถึงอย่างนั้นชื่อของเขาก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในป๊อปคัลเจอร์อย่างวีดีโอเกม

ช่วงที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ซึ่งตรงกับการปล่อย FIFA ภาค 2003 ออกมา ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า เด็กหนุ่มวัยเพียง 19 ปี จะมีค่าพลังถึง 97 โดยมีเพียง โรนัลโด้ กองหน้าตำนานทีมชาติบราซิล แค่คนเดียวที่มีค่าพลังสูงกว่าในซี่รี่ย์เกมลูกหนังของ EA แม้แต่ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ยังไม่เคยมีค่าพลังสูงขนาดนี้

ในช่วงเวลานั้น กองกลางของ ม้าลาย คว้ารางวัลดาวรุ่งแห่งปีของ เซเรียอา มาครอง ในฤดูกาล 2001-02 หลังทำผลงานได้โดดเด่นกับการย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับ โบโลญญ่า ที่มี ฟรานเชสโก้ กุยโดลิน เป็นกุนซือ

โดย ผู้บริหารของ ยูเว่ ในตอนนั้นอย่าง ลูเซียโน่ มอจจี้ ถึงขั้นเปรียบเทียบ กองกลางอนาคตไกล กับ เฟร์นานโด เรดอนโด้ ตำนานกองกลางของ เรอัล มาดริด หลังคว้าแข้งดาวรุ่งจาก ริมินี่ มาร่วมทีมในปี 2000

การมาถึงตูริน เป็นส่วนหนึ่งแผนการของ ‘เบี่ยงโคเนรี่’ ในการคว้าดาวรุ่งทั่วยุโรปมาไว้ให้มากที่สุด ทว่าสุดท้ายก็คล้ายๆกับการเซ็นสัญญาคว้า อันเดรส อิซัคสัน, เซร์จิโอ้ เด วินด์ท, แวงซ็องต์ แปริคาร์ และ รอนนี่ โอไบรอัน ที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด

ที่สำคัญความเก่งกาจของเขาในชีวิตจริงไม่ได้ใกล้เคียงกับค่าพลังที่ EA Sports กำหนดไว้แม้แต่นิดเดียว

 

ดาวรุ่งผู้ขี้อาย

Matteo Brighi: the silky Italian deemed the world's best youngster in 2003

บริกี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นนักฟุตบอลที่แหวกแนวเล็กน้อยโดยเลื่อนการย้ายไปตูรินไปหนึ่งปี เพื่อที่เขาจะได้มีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นนักบัญชี และเล่นให้กับ ริมินี่ สโมสรบ้านเกิดที่ เซเรีย ซี 2 ซึ่งเป็นลีกระดับ 4 ในอิตาลีต่อไป

“ผมไม่อยากมาทันที ผมยังไม่พร้อม มันคงดีกว่าถ้ารอไปก่อนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากกว่านี้” เจ้าตัว กล่าว

สุดท้ายเมื่อเขาย้ายมา ยูเวนตุส คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือของทีมในเวลานั้น ก็ประทับใจพรสวรรค์ของว่าที่แข้งอนาคตในทันที โดยเปรียบเทียบว่ามีคุณสมบัติที่ทำให้เจ้าตัวเป็นหนึ่งในผู้เล่นอิตาลีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

แต่ก็มีคำแนะนำจาก อันเชล็อตติ ที่จะเป็นหัวข้อที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดอาชีพค้าแข้งของเจ้าตัว นั้นก็คือ “เขาควรจะขี้อายให้น้อยลงหน่อย”

““แท้จริงแล้ว บริกี้เป็นคนขี้อายจริงๆ เขาไม่พูด แต่กระซิบออกมาเท่านั้น เขาเคลื่อนไหวราวกับว่าเขาควรต้องขออนุญาตอยู่เสมอ” เอมานูเอล กัมบา เขียนไว้ใน La Repubblica สื่อแดนมักกะโรนี ในปี 2000

กองกลางหนุ่มชาวอิตาเลี่ยนแทบจะไม่พยายามไขข้อข้องใจดังกล่าวเลย อีกทั้งยอมรับว่าไม่แน่ใจว่าควรย้ายมาเล่นในลีกระดับเซเรีย อา อีกด้วย

“ยังเร็วที่จะตัดสิน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะอยู่ในระดับนี้ได้หรือไม่ ผมมาที่นี่เพื่อเรียนรู้ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราจะตัดสินใจว่าผมจะอยู่ในทีมชุดใหญ่ต่อไปได้หรือไม่”

เนื่องจากในทีมมีนักเตะอย่าง ซีเนดีน ซีดาน, อันโตนิโอ คอนเต้ และ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ในแดนกลาง ทำให้แข้งวัย 19 ปี ณ เวลานั้นได้ประเดิมปีแรกกับสโมสรได้ดีพอสมควรตามที่หลายคนคาดไว้ โดยลงเล่นไป 12 นัดในทุกรายการ

ฤดูกาลต่อมา แข้งดาวรุ่งถูกปล่อยให้ โบโลญญ่า ยืมตัวไปใช้งานเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในทีมชุดใหญ่มากขึ้น และนั่นเองทำให้ บริกี้ กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในยุโรป เมื่อช่วยให้ทีมจบอันดับ 7 ห่างจากท็อปโฟร์เพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้น

รวมไปถึงฟอร์มการเล่นร่วมกับ อันเดรีย ปิร์โล่ ในทีมชาติอิตาลีชุด U-21 จนพาทีมไปถึงรอบตัดเชือกในยูโรปี 2002 ก็ทำให้เขาได้ประเดิมชุดใหญ่ในปีเดียวกันกับเกมที่เฉือน สโลวาเกีย 1-0 

 

ชีพจรลงเท้า

Brighi double puts Roma in command | UEFA Champions League | UEFA.com

แม้ EA Sports แทบไม่ลังเลใจในศักยภาพของ บริกี้ ว่าจะก้าวขึ้นไปดาวเตะระดับโลก ด้วยการมอบค่าพลังให้ถึง 97 สูงสุดใน FIFA 2003 มากกว่าดาวเด่นอย่าง เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์โต้ คาร์ลอส หรือ ไรอัน กิ๊กส์ ที่ขึ้นหน้าปกเกม

แต่ซึ่งที่เกิดขึ้นจริงๆกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะหลังจากฤดูกาลนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยทำผลงานได้โดดเด่นอีกเลย เนื่องจากอาการบาดเจ็บ รวมไปถึงการย้ายทีมที่ดูสับสนวุ่นวายเกินไปในอิตาลี

แข้งหนุ่มย้ายกลับมา ยูเวนตุส อีกครั้งหลังหมดสัญญายืมตัว โดยทีมเพิ่งคว้า มาร์โก น้องชายของเขาร่วมทีม และได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมคว้าแชมป์ ซูเปอร์โคปป้า อิตาเลียน่า ปี 2002 ทว่านั้นกลับกลายเป็นนัดสุดท้ายที่ลงเล่นให้สโมสร

ต่อมา เขาก็ย้ายไป ปาร์ม่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในดีลการเป็นเจ้าของคนละครึ่ง เพื่อดึง มาร์โก ดิ ไวโอ ไปตูริน แต่ปัญหาด้านความฟิตก็หยุดพัฒนาการของเขา จนต้องย้ายไปเล่นกับ เบรสซ่า แบบยืมตัวในฤดูกาล 2003-04

จากนั้นในซัมเมอร์ปี 2004 ยูเว่ ตัดสินใจซื้อสิทธิ์ขาดเป็นเจ้าของอีกครึ่งคืนจาก ปาร์ม่า ก่อนขาย กองกลางดาวรุ่งให้กับ โรม่า ด้วยค่าตัว 16 ล้านยูโร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการดึง เอเมอร์สัน ไปร่วมทัพ

อย่างไรก็ตาม ‘จัลโลรอสซี่’ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ บริกี้ มีส่วนกับทีมอยู่แล้ว จึงปล่อยให้ คิเอวโว่ ยืมไปใช้งานใน 3 ฤดูกาลต่อมา ก่อนจะกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งในปี 2007 หลังทีมตกชั้นในปีสุดท้าย

แม้ คิเอโว่ ตกชั้นในฐานะทีมอันดับที่ 18 แต่ อดีตแข้งวันเดอร์คิด ก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมสุดๆ ซึ่งทำให้ โรม่า มอบสัญญาใหม่ พร้อมให้โอกาสประเดิมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2007-08

กองกลางชาวอิตาเลี่ยน ค่อยๆกลับมาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม สม่ำเสมออีกครั้ง และนั่นทำให้เขากลับมาติดทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานกว่า 6 ปี

มาร์เซโล่ ลิปปี้ กุนซือ ‘อัซซูรี่’ ในตอนนั้น กล่าวถึง กองกลางรายนี้ กับ Il Romanista ในปี 2008 ว่า “จากมุมมองของมนุษย์ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยม และจากมุมมองทางเทคนิค เขาเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ขยันขันแข็งที่เทรนเนอร์ทุกคนก็อยากจะมีไว้”

“แต่คำเตือนของผม ช่วงแรกๆของอาชีพค้าแข้ง เขาถูกยกย่องมากจนทำให้เกิดความคาดหวังรอบตัวเขามากเกินไป”

แข้งจาก โรม่า ได้ลงเล่นให้ทีมชาติ อีก 3 นัดในเกมรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 2010 แต่ความหวังในการกลับมาเป็นผู้เล่นที่หลายคนคาดหวังก็เลื่อนหายไปอยู่ดี เพราะหลังจากปี 2009 เป็นต้นมา ก็ไม่เคยติดทีมชาติอีกเลย และในปี 2011 ก็กลับมาใช้ชีวิตค้าแข้งในฐานะจอมพเนจรอีกครั้ง

 

กลับสู่เซเรียอาในบั้นปลาย

FIFA 20, Messi o Ronaldo? Nel 2003 il più forte era Brighi

หลังจากย้ายออกจากโรม่าเพื่อร่วมทีมอตาลันต้าด้วยสัญญายืมตัวในปี 2011 ทว่าอีก 7 ปีต่อมา บริกี้ ได้ย้ายไปเล่นให้ 7 สโมสรในช่วง 7 ปีต่อมา กับ โตริโน่ ทั้งแบบยืมตัวและถาวร, ซาสซูโอโล่, โบโลญญ่า ก่อนย้ายไปเล่นกับ เปรูจา ในเซเรียบี ฤดูกาล 2016

ช่วงบั้นปลายอาชีพ อดีตกองกลาง ยูเวนตุส ในวัย 36 ปี ย้ายไป เอ็มโปลี ในปี 2018 ด้วยสัญญาระยะสั้น และประสบการณ์ของเขาก็ช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นกลับไปเล่นใน เซเรียอา จนได้สัญญาเพิ่มอีก 1 ปี โดยหลังลงเล่นในลีกสูงสุดอีก 10 นัด เจ้าตัวก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2018-19

เป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าทำไมเส้นทางค้าแข้งของ บริกี้ ถึงไม่เคยเป็นอย่างที่คาดไว้ในปี 2002 บุคลิกนิสัยของเขาไม่ตรงกับสิ่งจำเป็นในเกมระดับสูงหรือ? ความลำบากจากการย้ายทีมชั่วคราวบ่อยๆ? การบาดเจ็บที่หยุดพัฒนาการของเขา?

สิ่งเหล่านั้นก็คือเรื่องที่หลายคนนำมาใช้คาดเดาได้ และถึงแม้ว่าเขาอาจไม่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับโลกอย่างที่ควรจะเป็นในสายตาของใครหลายๆคน แต่อย่างน้อยเขาก็พอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ในวงการลูกหนัง

“ผมชอบทำงาน ไม่ชอบพูดเท่าไหร่” อดีตแข้งวัย 41 ปี กล่าวไว้ครั้งหนึ่งกับ Sky Italia

“ผู้เล่นคนอื่นๆพูดและขายตัวตนของพวกเขาได้ แน่นอนว่าทำได้ดีกว่าผมอยู่แล้วล่ะ ผมไม่โทษพวกเขาหรอกนะ แต่แบบนั้นมันก็ไม่ใช่ตัวผม แค่นั้นเอง”

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาฝังรากลึก : ฟุตบอลกรีซกับความโกลาหลที่ไร้จุดสิ้นสุด
ปัญหาฝังรากลึก : ฟุตบอลกรีซกับความโกลาหลที่ไร้จุดสิ้นสุด