มาไกลเกินฝัน : เส้นทางจากเซกุนด้าสู่ยูโรป้าลีกของ เกตาเฟ่

 

กรุงมาดริด เมืองหลวงและศูนย์กลางการค้าของประเทศสเปน ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับฟุตบอล โดยเฉพาะ 2 ทีมยักษใหญ่ในลาลีก้าอย่าง เรอัล มาดริด กับ แอตเลติโก มาดริด ที่เป็นตัวเต็งลุ้นแชมป์ลีก, ขาประจำศึกแชมเปี้ยนส์ลีกในทุกๆปี และคับคั่งไปด้วยซุปเปอร์สตาร์ลูกหนังแห่งยุค

 

รองลงมาหน่อยก็มีทีมระดับกลางๆอย่าง ราโย บาเยกาโน่ ที่มักจะขึ้นๆลงๆในลีกสูงสุดของแดนกระทิงอยู่เป็นประจำ เช่นเดียวกับ เลกาเนส ที่เพิ่งขึ้นมาเล่นและเอาตัวรอดในลาลีก้าได้มา 2-3 ปีแล้ว

 

แต่บรรดาทีมในเมืองมาดริดที่มีอายุน้อยที่สุดคงจะหนีไม่พ้นทีมชุดสีน้ำเงินอย่าง เกตาเฟ่ ซึ่งก่อตั้งในปี 1983 นี่เอง และในตอนนี้แฟนบอลทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจทีมเล็กๆในเมืองหลวงของสเปน หลังพวกเขาสร้างฤดูกาลประวัติศาสตร์ของสโมสรได้ในปีที่ผ่านมา

 

หลายทีมในมาดิดก่อตั้งมานานกว่าหลายทศวรรษ แถมบางทีมยังเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของสโมสรไปแล้วเรียบร้อย  ได้ย้ายไปอยู่รังเหย้าที่ใหญ่กว่า และคว้าผู้เล่นค่าตัวมหาศาล แต่ทีมจากฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของมาดริดทีมนี้ กลับเพิ่งเริ่มสร้างจุดมุ่งหมายได้ หลังจากที่พวกเขาต้องต่อสู้กับทีมกลางตาราง และดิ้นรนหนีตกชั้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

 

ทาง UFA ARENA จะพาแฟนบอลชาวไทยไปรู้จักกับทีมเล็กๆจากลาลีก้าที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ของพวกเขาได้ในฤดูกาลที่ผ่านมา

 

 

จุดกำเนิด

 

 

ในปี 1923 ทีมที่มีชื่อว่า โซเซียดัด เกตาเฟ่ เดปอร์ติโบ ได้ก่อตั้งขึ้น และได้ลงเล่นในลีกระดับล่างๆ ซึ่งเป็นฟุตบอลสมัครเล่น แต่ไม่มีอะไรที่น่าจดจำมากนัก จากนั้นสโมสรก็เกิดการเปลี่ยนอีกครั้ง หลังจากสงครามกลางเมืองในสเปน เมื่อคนท้องถิ่นตัดสินใจออกแบบ,สร้างทีมใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น คลับ เกตาเฟ่ เดปอร์ติโบ 

 

พวกเขาประสบความสำเร็จขึ้นจากเดิมอีกขั้น หลังได้เล่นในลีกระดับ 2 ของประเทศ แถมยังได้แข่งขันกับบาร์เซโลน่าในศึกโคปา เดล เรย์ ด้วย แต่ทว่าในปี 1982 หลังจากที่สโมสรประสบปัญหาด้านการเงินมาหลายปี พวกเขาก็ยุบตัวลง 

 

ระหว่างนั้นในปี 1976 สโมสร ‘เปน่า มาดริดนิสต้า เกตาเฟ่’ ก็ก่อตั้งขึ้น ซึ่งพวกเขาก็ได้ลงเล่นในดิวิชั่นระดับต่างๆจนกระทั่งมีการเปลี่ยนสโมสรใหม่เป็น ‘คลับ เดปอร์ติโบ เปน่า เกตาเฟ่’ และใช้ชื่อนั้นอีก 2 ปี ก่อนจะไปรวมทีมกับสโมสรเกตาเฟ่อีกทีมในเวลาต่อมา

 

ปี 1983 หลังจากที่ทั้ง 2 ทีมถูกบังคับให้มารวมกัน สโมสร เกตาเฟ่ คลับ เด ฟุตบอล ก็ถูกก่อตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการ และเรื่องราวของพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มจากตรงนั้น

 

 

นับหนึ่งกันใหม่

 

 

ทีมเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งในลีกท้องถิ่นและเลื่อนขึ้นมาในลีกอาชีพได้สำเร็จ ก่อนที่จะวนเวียนอยู่ระหว่าง เซกุนด้า ดิวิชั่น บี และ เซกุนด้า เอง ทำให้การเลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุดของประเทศคือความฝันอันสูงสุดของทีม แต่ในช่วงปลายยุค 90 ความกลัวที่สโมสรจะต้องยุบทีมลงก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม เกตาเฟ่ ก็เอาตัวรอดจากวิกฤตมาได้ และในปี 1998 พวกเขาก็ทำการเปิดตัวรังเหย้าของสโมสรใหม่ที่มีความจุกว่า 17,000 ที่นั่ง โดยใช้ชื่อว่า ‘โคลิเซียม อัลฟอนโซ่ เปเรซ’  ซึ่งคำว่า ‘อัลฟอนโซ่ เปเรซ’ เป็นชื่อของอดีตนักเตะทีมชาติสเปนและเรอัล มาดริด ซึ่งไม่เคยเล่นให้หรือแข่งขันกับเกตาเฟ่เลยซักครั้งเดียว เพียงแต่ว่าเขาเกิดในบริเวณที่ตั้งของสโมสรนี้ จึงมานำมาตั้งเป็นชื่อสนามเท่านั้นเอง

 

เกตาเฟ่ยังวนเวียนอยู่ลีกระดับ 3 และ 2 อยู่ซักระยะ แต่ในที่สุดพวกเขาก็เลื่อนชั้นมาเล่นในลาลีก้าได้ครั้งแรก ในปี 2004 ซึ่งใช้เวลาราวๆ 20 ปีเท่านั้นในการก้าวขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดของประเทศ แม้จะตกชั้นในฤดูกาล 2015-16 พวกเขาก็ใช้เวลาแค่ปีเดียวในการกลับมาลาลีก้าอีกครั้ง และอยู่ยาวๆจนถึงปัจจุบัน

 

จริงอยู่ที่ทีมเล็กจากรุงมาดริดใช้เวลาส่วนใหญ่ในลาลีก้ากับการดิ้นรนหนีตกชั้น ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เคยจบอันดับ 6 มาแล้วในฤดูกาล 2009-10 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดของพวกเขา แต่ทว่าสถิตินี้ก็ทำลายลงเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และทำให้แฟนบอลในสเปนจับตามองเป็นอย่างมาก

 

ซึ่งสโมสรที่แม้แต่คนแถวนั้นๆยังไม่สนใจ บ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไม่ส่งนักข่าวมาดูเกมการแข่งขันทำให้ เกตาเฟ่ ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่แค่เล็กน้อย กลับประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของทีม แต่กว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ได้คงต้องย้อนกลับไปในสมัยที่เกตาเฟ่เลื่อนชั้นกลับมาก่อน

 

 

ยุคใหม่กับ โบดาลาส

 

 

โฆเซ่ โบดาลาส กุนซือวัย 55 ปี ผู้พาเกตาเฟ่คว้าอันดับ 5 ในลาลีก้า ตามหลัง บาเลนเซีย ทีมที่ตั๋วไปเล่นแชมมเปี้ยนส์ลีกแค่ 2 แต้มเท่านั้น เป็นเวลานานมากแล้วที่พวกเขาทำได้แค่เกือบในฟุตบอลยุโรป แม้จะเป็นแค่รายการรองลงมาอย่าง ยูโรป้า ลีก ก็ตาม

 

โบดาลาสถือเป็นกุนซือจอมพเนจรในสเปนอย่างแท้จริง ตลอด 23 ปีในเส้นทางสายนี้ เขาคุมทีมไปถึง 12 สโมสร แต่ทีมที่เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดก็หนีไม้พ้น เกตาเฟ่ อยู่ดี บ่อยครั้งที่แฟนบอลจะเห็นนายใหญ่มาดสุภาพ, สวมแว่นตาทรงสปอร์ต และชุดสูทสุดประณีตยืนอยู่ข้างสนาม

 

เขาได้เข้ามารับงานกับทีมในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่หล่นไปอยู่ เซกุนด้า แล้ว แต่ผลงานช่วงแรกของเขาเข้าขั้นวิกฤต เมื่อพาทีมชนะแค่ 1 จาก 8 เกมแรก และมีโอกาสหล่นไปอยู่ในลีกระดับ 3 มากกว่าเลื่อนกลับขึ้นไปเล่นในลาลีก้า

 

แต่แล้ว โบดาลาส ก็กระตุ้นฟอร์มเก่งของลูกทีมจนกลับมาคว้าอันดับ 3 ในลีก และคว้าแชมป์เพลย์ออฟเลื่อนชั้น้วยการเอาชนะ ฮูเอสก้า และ เตริเนเฟ่ จนกลับมาสู่ลาลีก้าได้ในเวลาแค่ปีเดียว

 

แม้หลายจะมองว่า เกตาเฟ่ คงกลับมาวนเวียนเป็นทีมหนีตกชั้นอีกครั้ง แต่ว่าพวกเขาจบอันดับ 8 ในฤดูกาลต่อมา แถมกลายเป็นม้ามืดมีลุ้นไปเล่นในบอลยุโรปถ้วยเล็กอีกต่างหาก และจากจากจุดนั้นเอง พวกเขาได้ต่อยอดและพัฒนาทีมขึ้น จนสามารถคว้าอันดับ 5 ได้ในฤดูกาล 2018-19 ทีผ่านมา

 

ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล เกตาเฟ่ เป็นสโมสรที่มีงบประมาณน้อยที่สุดเป็นอันดับ 4 จาก 20 ทีมในลาลีก้า ค่าตัวของผู้เล่นในทีมมีมูลค่าเท่าๆกับ ค่าเหนื่อยที่ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ แกเร็ธ เบล ได้รับเกือบๆเดือน แถมพวกเขายังมีเพดานค่าเหนื่อยน้อยสุดเป็นอันดับ 6 ด้วย เพราะฉะนั้น พวกเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน?

 

 

จุดรวมแข้งถูกเมิน

 

 

ผู้เล่นตัวหลักส่วนใหญ่ของเกตาเฟ่ในชุดนี้ต่างคว้ามาได้ในราคาที่ถูก และไม่เป็นที่ต้องการของสโมสร อย่างเช่น นายทวารมือหนึ่ง ดาวิด โซเรีย ที่ถูกเซบีย่าโละมาด้วยราคาต่ำกว่าครึ่ง, เนมานย่า มัคซิโมวิช หนึ่งในดาวรุ่งอนาคตไกลของบาเลนเซีย ก็ถูกปล่อยออกมาหลังไม่สามารถเบียดแย่งตัวจริงได้, อิกนาซี่ มิเกล อดีตแนวรับอาร์เซน่อล ก็ย้ายมาจากมาลาก้า หลังทีมตกชั้นไปในฤดูกาลก่อน รวมไปถึงนักเตะยืมตัวอย่าง เซบาสเตียน คริสโตโฟโร่ และ ดิมิทรี ฟาลเค้

 

นั่นไม่ใช่จุดเชื่อมโยงจุดเดียวที่เหมือนกันเท่านั้น เพราะพวกเขาในทีมต่างประสบความล้มเหลวมากกว่าคว้าชัยในอาชีพค้าแข้งด้วยการตกชั้นอยู่บ่อยครั้ง ทั้ง เลอันโดร กาเบรล่า จากโครโตเน่, ดาเมี่ยน ซัวเรซ ที่ตกชั้นกับเอลเช่ และ เกตาเฟ่ ไม่แปลกใจที่นักเตะของ โบดาลาส จะมีจิตใจที่แข็งแกร่งและสามารถฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆไปได้ แต่การมาของนักเตะบางคนช่วยยกระดับให้ทีมขึ้นอย่างชัดเจน โดนเฉพาะ ไคเม่ มาต้า แข้งวัย 30 ปีที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลดังกล่าว

 

ในสมัยที่เขาค้าแข้งกับ เรอัล บายาโดลิด มาต้าได้รับข้อเสนอสัญญา 6 ล้านยูโร จาก หางโจว กรีนทาวน์ ทีมในไชนีส ซุปเปอร์ลีก ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เอาแข้งดังหลายคนปฏิเสธไม่ลง แต่แข้งชาวสแปนิชเลือกปฏิเสธและขอค้าแข้งกับทีมในบ้านเกิดต่อไป และถึงแม้เขาจะช่วยให้ทีมเอาชนะในศึกเพลย์ออฟเลื่อนชั้นไม่ได้ เกตาเฟ่ จึงอาสาพา มาต้า มาโชว์ฝีเท้าในลาลีก้าแทน

 

หัวหอกวัย 30 ปี กลายเป็นตัวหลักของทีมเล็กในกรุงมาดริด ด้วยผลงาน 23 ประตู จาก 25 นัดในเซกุนด้า ทำให้โบดาลาส รู้ดีว่าจะใช้งานมาต้าอย่างไร แต่ถึงเขาจะเป็นหัวหอกช่วยทำประตูให้ทีมมากมาย แต่ฟันเฟืองสำคัญที่แท้จริงของ โบดาลาส มาจากแผงหลังและแนวรับของทีมต่างหาก

 

 

ตีหัวเข้าบ้าน

 

 

กุนซือวัย 55 ปี มักใช้แผนการเล่น 4-4-2 ที่เน้นการปิดพื้นที่ และเล่นแบบรัดกุม บีบให้คู่แข่งมีช่องว่างในการเล่นไม่มาก ซึ่งนี่เป็นแทคติกที่พิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก จากสถิติเสียประตูแค่ 35 ลูก ตลอด 38 นัดในลีก เท่ากับ บาเลนเซีย ทีมอันดับ 4  และมีเพียง แอตเลติโก มาดริดของ ดีเอโก้ ซิเมโอน่ เท่านั้นที่ทำได้ดีกว่า (29 ลูก)

 

กองกลางของทีมก็มีส่วนร่วมในจุดนี้เช่นกัน โดยพวกเขาจะประคองซ้อนเพื่อนร่วมทีมและบีบพื้นที่สูง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คู่แข่งมีเวลาในการสร้างสรรค์เกม อย่างเช่นในเกมที่พวกเขาบุกไปชนะ เรอัล เบติส ถึงถิ่น 2-0 ซึ่งจัดการไม่ให้ วิลเลี่ยม คาร์วัลโญ่ และ โจวานี่ โล เซลโซ่ มิดฟิลด์ตัวเก่งของทีมคู่แข่งสร้างโอกาสได้เลยในเกมวันนั้น

 

ถึงจะไม่ใช่วิธีการที่สวยงามหรือเพลินตาในการคว้าชัยชนะ แต่ตัวโบดาลาสเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก โดยให้สัมภาษณ์กับเอล มุนโด้ สื่อกีฬาในสเปนไว้อย่างนาสนใจว่า “จะมีประโยชน์อะไรกับการเคาะบอลในฝั่งตัวเอง 30 ครั้ง โดยที่บอลไม่ขึ้นหน้าเลย? หลายคนคงสับสนแล้วว่าการครองบอลเยอะๆเป็นฟุตบอลที่ดี

 

ชัดเจนว่า เกตาเฟ่ ไม่ใช่ทีมที่มีลีลาการเล่นน่าดูชม ด้วยสไตล์ตีหัวเข้าบ้านแบบนี้ ทำให้สถิติในเกมรับของพวกเขายอดเยี่ยม แต่ในด้านเกมรุกตัวเลขต่างๆก็ตรงกันข้ามพอสมควร เนื่องจากเกตาเฟ่ยิงไปได้แค่ 48 ลูกจาก 38 นัดเท่านั้น น้อยที่สุดในบรรดาสโมสรที่ได้ไปเล่นในบอลยุโรป

 

 

ประตูส่วนใหญ่คงต้องย้อนกลับไปขอบคุณ ไคเม่ มาต้า ที่ซัดไปถึง 16 ลูกในลาลีก้า เช่นเดียวกับคู่หูต่าวัยในแดนหน้าอย่าง ฆอร์เก้  โมลิน่า หัวหอกร่างโย่งวัย 37 ปี ที่ประสานงานกับ มาต้า ได้อย่างเข้าขารู้ใจ

 

แต่พวกเขาคงจะทำประตูไม่ได้ หากไม่มีกองกลางผึ้งงานอย่าง มัคซิโมวิช และ เมาโร อารัมบาร์รี่ ที่คอยช่วยเกมรับหรือเกมโต้กลับเร็ว รวมด้วย ฟราซิสโก ปอร์ติลโล่ และ ฟาลเก้ ในตำแหน่งปีกริมเส้น ที่โบดาลาสสามารถเปลี่ยนใหม่เล่นเป็นฟูลแบ็คได้แบบไม่เคอะเขิน

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ การที่พวกเขามี มาติเยอ ฟลามินี่ กองกลางมากประสบการณ์วัย 35 ปี จริงอยู่ที่อดีตนักเตะอาร์เซน่อลและเอซี มิลาน อาจจะไม่ใช่ตัวหลักในทีม แต่ด้วยความเก๋าที่เขาก็ช่วยประคองเพื่อนร่วมทีมในช่วงสำคัญได้อย่างดีเยี่ยม   

 

ด้วยผู้เล่นเหล่านี้ ทำให้พวกเขาสามารถคว้าตั๋วไปเล่นในฟุตบอลยุโรปอย่างยูโรป้า ลีกได้อย่างเต็มภาคภูมิ 

 

 

เทคโนโลยีคือสิ่งสำคัญ

 

 

ดูไปๆนี่อาจไม่แนวของเขานัก แต่ตัว โบดาลาสก็ไม่ปฏิเสธที่จะนำเทคโนโลยียุคใหม่มาใช้เพื่อพัฒนาเกตาเฟ่ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการใช้ Zone7 บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลในวงการลูกหนัง ที่ก่อตั้งโดย อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอิสราเอล นำมาออกแบบการฝึกซ้อมในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้นักเตะมีความฟิตเต็มร้อยตลอดฤดูกาล และช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงจากอาการบาดเจ็บได้มากที่สุด

 

นั่นทำให้เกตาเฟ่ กลายเป็นทีมแรกที่ใช้ซอฟท์แวร์ในการช่วยฝึกซ้อมนี้ และมีรายงานว่าสโมสรอื่นๆ โดยเฉพาะในอังกฤษและอิตาลีก็ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้เช่นกัน

 

“หลังจากทดสอบในฤดูกาลแรก เราได้ช่วยให้พวกเขาพัฒนาแอฟพลิเคชั่นนี้ในฟุตบอล และในตอนที่เราเริ่มใช้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มันช่วยให้ป้องกันการบาดเจ็บได้จริงๆ” ฮาเวียร์ วิดัล โค้ชฟิตเนสของ เกตาเฟ่ กล่าว ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ทำงานเคียงข้างกับ โบดาลาส และโน้มน้าวให้ลงทุนกับเรื่องนี้ต่อไป

 

 

 

ชัดเจนผลลัพธ์ที่ได้นั่นดีเยี่ยม เกตาเฟ่ มีนักเตะที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อแค่ 8 คนเท่านั้น ซึ่งน้อยที่สุดในลาลีก้า ขณะที่ทีมอย่าง เรอัล มาดริด หรือ แอตเลติโก้ มาดริด มีนักเตะเจ็บมากถึง 30 คนต่อทีม จากการรายงานของ เอล มุนโด้

 

ระบบการทำงานก็คล้ายกับเทคโนโลยียุคใหม่ในวงการกีฬา นักกีฬาจะถูกวางอุปกรณ์ไว้ใต้เสื้อเพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ ทั้งความเร็วและอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับประวัติการแพทย์และการรักษาของแต่ล่ะคนด้วย หากมันได้ผลดีเยี่ยมกับเกตาเฟ่ เชื่อว่าในอนาคต Zone7 จะถูกนำไปใช้ในสโมสรดังทั่วยุโรปอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

ความสำเร็จของเกตาเฟ่พุ่งพรวดขึ้นมาในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี นับตั้งแต่พวกเขาเลื่อนชั้นกลับมาได้ในปี 2017 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เกตาเฟ่จะคว้าอันดับ 8 และ 5 ในลาลีก้า หลังจากที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมา แต่ว่าพวกเขาทำมันสำเร็จแล้ว และในตอนนี้เกตาเฟ่ต้องเตรียมตัวอย่างหนักในการลุยฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลนี้

  

แม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย หากพวกเขาสามารถรักษามาตรฐานและพัฒนาให้ดีกว่าเดิมได้ ฤดูกาลนี้คงเป็นปีที่สดใสอีกปีของเกตาเฟ่และเหล่าแฟนบอลกลุ่มเล็กๆของพวกเขาอย่างแน่นอน