มีทีมใหญ่ไม่มาตามนัด : 5 เรื่องน่ารู้ในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2020-21

 

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ประจำฤดูกาลนี้ เตรียมจับฉลากในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ณ สำนักงานใหญ่ของ ยูฟ่า ณ เมืองนียง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วันจันทร์นี้ และคงทราบผลการจับติ้วไปเรียบร้อยแล้ว

 

ซึ่งในรอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมา เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำและสถิติมากมาย ไล่ตั้งแต่ดาวยิงประจำรายการนี้ที่ไม่ใช่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ อีกต่อไป  รวมไปถึงเรื่องราวดราม่าช่วงนัดสุดท้ายที่ส่งผลให้ เรอัล มาดริด เข้ารอบไปอย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่สภาพช่วงเกมแรก ๆ ไม่สู้ดีนัก ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับตกรอบไปเล่นในยูโรป้า ลีก แทน แม้จะรั้งจ่าฝูงมาใน 4 เกมแรกก็ตาม

 

และนี่คือ 5 เรื่องน่ารู้ของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มประจำฤดูกาล 2020-21 ที่มีเรื่องราวอน่าจะจดจำไม่แพ้กับปีไหน ๆ เลย

 

 

เมสซี่ดวลโด้ไม่สนุกอย่างที่คิด

 

 

หลายคนต่างตื่นเต้นเมื่อทราบว่า บาร์เซโลน่า และ ยูเวนตุส จับฉลากมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน นั่นหมายความแฟนบอลทั่วโลกจะได้เห็นการดวลกันระหว่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 2 ดาวเตะแห่งยุคอีกครั้ง

 

แต่หากมองถึงความเป็นจริง มีเพียง 2 ทีมเท่านั้นในแต่ละกลุ่มจากทั้งหมด 12 กลุ่มที่จะได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ ย่อมทำให้การแข่งขันแต่ละนัดมีความหมายไม่ต่างกัน

 

ซึ่งเกมที่ เจ้าบุญทุ่ม และ ม้าลาย พบกับ ดินาโม เคียฟ และ เฟเรนวารอส พวกเขาคว้าชัยไปได้ทั้งหมด นั่นทำให้ 2 ทีมใหญ่ของยุโรปคว้าตั๋วไปเล่นรอบหน้าเรียบร้อย ขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 2 นัด ทำให้ไม่จำเป็นต้องส่งตัวหลักลงไปให้ล้าเปล่า ๆ 

 

ที่แย่ไปกว่า โรนัลโด้ ไม่ได้ลงเล่นในเกมแรกที่ อาซูลกราน่า และ เบี่ยงโคเนรี่ พบกัน เนื่องจากติดโควิด-19 อยู่ แม้ว่าเจ้าตัวจะกด 2 จุดโทษในเกมบุกไปคว้าชัยที่ คัมป์ นู ได้ก็ตาม

 

 

เสือใต้ยังเป็นโคตรทีม

 

 

บาเยิร์น มิวนิค เจ้าของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลก่อน พวกเขายังงคงรักษาฟอร์มการเล่นได้อย่างดุดันและยอดเยี่ยม เมื่อคว้าชัย 4 นัดติดในรอบแบ่งกลุ่ม

 

แม้เสือใต้จะ เสมอกับ แอตเลติโก้ มาดริด ในเกมที่ 5 ของรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้พวกเขาหยุดสถิติชนะรวดที่ 15 นัดในบอลยุโรป แต่ก็เพียงพอที่จะเข้ารอบต่อไป 

 

แชมป์เก่าบุนเดสลีก้าซัดไปทั้งหมด 18 ประตูจาก 6 เกมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสโมสรที่ยิงในรอบแบ่งกลุ่มมากที่สุดของฤดูกาลนี้  และถึงไม่มี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวยิงเบอร์หนึ่งประจำทีม บาเยิร์น ก็สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้แบบไม่มีปัญหาอยู่ดี

 

 

ฮาแลนด์ ไม่ใช่ดาวดังปังปีเดียว

 

 

เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ แจ้งเกิดในแชมเปี้ยนส์ลีกแบบไม่มีคาดคิด เมื่อเขากดไป 8 ตุงในรอบแบ่งให้ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก และอีก 2 ประตูให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายฤดูกาลที่แล้ว

 

ในฤดูกาลนี้ ดาวรุ่งชาวนอร์เวย์ ก็แสดงให้เห็นว่าตนไม่ใช่แสงดาวเพียงชั่วครู่ชั่วคราว หลังซัดไป 6 ประตู จาก 4 นัด ก่อนที่อาการบาดเจ็บจะทำให้เขาพักจนถึงช่วงคริสมาสต์

 

แข้งวัย 20 ปี ขึ้นไปรั้งดาวซัลโวประจำทัวร์นาเม้นต์ซีซั่นนี้ร่วมกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ตกรอบไปแล้ว), อัลบาโร่ โมราต้า จาก ยูเวนตุส และ เนย์มาร์ จาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยจำนวน 6 ประตู

 

ฤดูกาลที่แล้วมีแค่ 3 คนเท่านั้นที่ยิงประตูได้เกิน 6 ลูกในแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี ฮาแลนด์ ด้วย ขณะที่ฤดูกาล 2018-19 มีเพียง 2 คนเท่านั้น

 

ดาวยิงเสือเหลือง ใช้เวลาเพียง 7 นัดก็ยิงในบอลยุโรปถ้วยใหญ่ได้ 10 ประตู และจาก 12 เกมก็ยิงไปแล้ว 16 ประตู ทำลายสถิติเดิมของ รุด ฟาน นิสเตลรอย และ โรแบร์โต้ โซลดาโด้ ที่ยิงไป 15 ประตูจากการลงเล่น 19 เกม

 

 

ราชันเกือบสิ้นท่า

 

 

เรอัล มาดริด คว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ 4 ครั้งภายใน 5 ปี และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้อย่างน้อยเป็นเวลา 8 ปี แต่ใน 2 ฤดูกาลหลังสุด พวกเขาร่วงตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย และออร่าความเป็นเจ้ายุโรปได้หายไปเรียบร้อยแล้ว

 

ในปีนี้ ราชันชุดขาว ก็ลำบากตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มที่มี โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค, ชัคตาร์ โดเนสต์ก และ อินเตอร์ มิลาน ที่เป็นสโมสรที่มีชื่อชั้นใกล้เคียงกันมากที่สุดในกลุ่ม

 

ชะตากรรมคงไม่ได้อยู่ในมือของ ซีเนดีน ซีดาน และลูกทีมแล้ว หาก งูใหญ่ ไม่เอาชนะ สิงห์หนุ่ม ในเกมที่ 5 ของรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งท้ายที่สุด โลส บลังโกส กลับคว้าแชมป์กลุ่มผ่านเข้ารอบไป หลังเอาชนะ กลัดบัค 2-0 ในนัดสุดท้าย

 

ทางด้านคู่อริตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า ที่รั้งอันดับ 8 ใน ลาลีก้า แม้จะผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ไปได้ตามคาด แต่ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์กลุ่มได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 หลังจากพ่ายในรังแก่ ยูเวนตุส 3-2 เมื่อวันอังคารสัปดาห์ก่อน

 

 

ปีศาจแดงไม่มาตามนัด

 

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ต่างการันตีคว้าตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมไปแล้วเรียบร้อย และ ตัวแทนจากอังกฤษอีกทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คาดว่าจะตามหลังไปด้วยเช่นกัน

 

ทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องการเพียงแค่แต้มเดียวใน 2 นัดสุดท้ายเพื่อผ่านเข้ารอบต่อไป แต่สุดท้ายก็พลาดท่า เมื่อพวกเขาพ่ายต่อ เปแอสเช และ แอร์เบ ไลป์ซิก หล่นไปอันดับ 3 ส่งผลให้ทีมร่วงไปเล่นใน ยูโรป้า ลีก แทน

 

นั่นทำให้สถิติผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ของทีมจากอังกฤษทั้งหมด 4 ทีม (หรือ 5) สิ้นสุดลงแค่ 3 ปีเท่านั้น ซึ่ง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ คือทีมแดนผู้ดีทีมล่าสุดที่ตกรอบแบ่งกลุ่มในแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาล 2016-17

 

หากนับบอลยุโรปทั้ง 2 ถ้วย สิ่งที่ดูแย่กว่านั้นก็คือ ปีศาจแดง เป็นทีมจากอังกฤษทีมเดียวที่ตกรอบแบ่งกลุ่มจากทั้งหมด 7 สโมสร