มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง : 10 ดีลสุดพังแถมยังขายไปแบบขาดทุนในพรีเมียร์ลีก

 

ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เป็นคำพูดที่นักธุรกิจส่วนใหญ่ต้องตระหนักไว้อยู่เสมอ รวมไปถึงสโมสรฟุตบอลด้วยเช่นกัน เพราะการซื้อตัวนักเตะเข้ามาใหม่ก็ใช่ว่าคนๆนั้นจะเป็นอย่างที่ทีมหวังไว้เสมอไป 

 

ถ้าทำผลงานเปรี้ยงปร้างก็ดีไป แต่ถ้าทำผลงานได้ย่ำแย่แถมยังไม่ท่าทีว่าสามารถปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีกว่าเดิมได้ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่สโมสรต้องตัดสินใจปล่อยตัวนักเตะฟอร์มตกคนนั้นไป แต่แน่นอนว่าจะปล่อยราคาเท่ากับทุนที่ซื้อมาก็คงไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าเท่าไหร่

 

ด้วยเหตุนั้นทำให้สโมสรต่างๆจำใจลดราคานักเตะแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซล เพื่อที่พวกเขาจะสามารถขายนักเตะที่ไม่เข้ากับทีมออกไปได้โดยเร็ว  และนี่คือ 10 ดีลสุดพังของสโมสรดังในในพรีเมียร์ลีกแถมยังขายไปแบบขาดทุนอีกต่างหาก 

 

 

ดาวี่ คลาสเซ่น, เอฟเวอร์ตัน (ขาดทุน 11.6 ล้านปอนด์)

 

 

เพลย์เมกเกอร์ชาวดัชต์ได้ย้ายมาค้าแข้งกับเอฟเวอร์ตันในซัมเมอร์ปี 2017 นั่นทำให้กองกลางของท็อฟฟี่ดูแน่นขึ้นเป็นกองและมิติมากขึ้นด้วย แถมตัวของคลาสเซ่นยังขยับขึ้นไปเล่นกองกลางตัวรุกได้แบบไม่เคอะเขินอีก แต่ว่าเขาแทบไม่ได้โชว์ฝีเท้าอย่างที่ควรจะเป็นเลย เนื่องจากการแข่งขันในแดนกลางที่ดุเดือด บวกกับการปลด โรนัลด์ คูมันน์ ออกจากตำแหน่งกุนซือของทีม ยิ่งทำให้โอกาสของเขาน้อยลงไปอีก

 

อดีตกองกลางอาแจ็กซ์ได้เพียงแค่ 3 นัดเท่านั้นในยุคของ แซม อัลลาไดซ์ กลับกันอดีตต้นสังกัดของเขาในฮอลแลนด์สามารถเข้าไปเล่นถึงรอบชิงของศึกยูโรป้าลีกได้ และด้วยฟอร์มอันย่ำแย่ทำให้ทีมสีน้ำเงินจากเมอร์ซีย์ไซด์ต้องจำใจขายคลาสเซ่นออกไปด้วยราคาแค่ 12.4 ล้านปอนด์ ให้กับเวร์เดอร์ เบรเมน ในปี 2018 ทั้งๆที่ซื้อมาด้วยราคามากถึง 24 ล้านปอนด์

 

 

คริส ซัตตัน, เชลซี (ขาดทุน 4 ล้านปอนด์)

 

 

ดาวดังหลายคนได้ย้ายออกจากแบล็คเบิร์นทันทีที่ทีมค่อยๆตกต่ำลง หลังจากเคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 1995 แต่ตัวของ คริส ซัตตัน ก็ยังเลือกอยู่กับทีมต่อไป จนกระทั่ง 5 ฤดูกาลต่อมา ทีมกุหลาบไฟสิ้นสุดเส้นทางบนลีกสูงสุดด้วยการตกชั้น ทำให้สโมสรได้รับข้อเสนอจากเชลซีเพื่อสู่ขอกองหน้าชาวอังกฤษไปร่วมทีมด้วยราคา 10 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นสถิติแพงสุดของทีมในตอนนั้น โชคร้ายที่ปีต่อมา หลายๆอย่างนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ซัตตันหวังไว้

 

ซัตตันไม่สามารถทำได้อย่างที่ใครคาดหวังในการเป็นตัวหลักของสิงห์บลู และยังยิงไปแค่ลูกเดียวจากการลงเล่นในลีก 28 นัด แม้ตัวจานลูก้า วิอัลลี่จะยืนกรานมั่นใจตัวอดีตกองหน้าแบล็คเบิร์น แต่ตัวของเขาเองกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงท้ายฤดูกาล ซัตตันไม่มีชื่อแม้บนม้านั่งสำรองในเกมนัดชิงเอฟเอ คัพ และถูกขายให้กับ เชลติกไป 6 ล้านปอนด์ ก่อนที่ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ จะเข้ามาแทนที่และทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

โรแลนโด้ เบียงคี่, แมนฯซิตี้ (ขาดทุน 4.8 ล้านปอนด์)

 

 

บรรดานักเตะอิตาเลี่ยนในลีกผู้ดี มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำผลงานได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น เช่น จานฟลังโก้ โซล่า หรือ เปาโล ดิ คานิโอ แต่ในยุคหลังๆ แข้งหลายคนที่มีค่าตัวแพงกลับโชว์ฟอร์มได้ไม่คุมกับเงินที่เสียไปเลยซักบาทเดียว เช่น อัลแบร์โต้ อควิลานี่, เอมานูเอเล่ จัคเครินี่, คอร์ราโด้ กรับบี้, ดานี่ ออสวัลโด้ รวมไปถึง โรแลนโด้ เบียงคี่ ด้วย

 

กองหน้าแดนมักกะโรนีเก็บข้าวของออกจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทันทีหลังอยู่กับทีมแค่ปีเดียว โดยย้ายจาก โตริโน่ ด้วยค่าตัว 8.8 ล้านปอนด์ ในเดือนกรกฏาคมปี 2007 โดยเขาได้ลงเล่นอยู่บ่อยครั้งในช่วงแรกๆภายใต้การทำทีมของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน แต่เขากลับยิงได้แค่ 4 ประตูจาก 19 นัดแรกเท่านั้น พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์การลดน้ำหนักในอังกฤษ รวมถึงวัฒนธรรมการดื่มของชาวผู้ดีกับกรรมการ ทำให้เขาก็ถูกส่งตัวไปกลับไปบ้านเกิดทันทีในเดือนมกราคม โดยย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับลาซิโอ และขายกลับไปให้ทีมกระทิงหิน ทีมเก่าของเขาแค่ 4 ล้านปอนด์เท่านั้น

 

 

อันเดรส คอร์เนลิอุส, คาร์ดิฟฟ์ (ขาดทุน 5 ล้านปอนด์)

 

 

หลังจากที่พาคาร์ดิฟฟ์เลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จได้สำเร็จในฤดูกาล 2012-13 ทำให้ มัลกี้ แม็คเคย์ ได้รับเงินทุนจำนวนมากเพื่อยกเครื่องทีมให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อสู้ศึกในฤดูกาลต่อไป และได้ทำการคว้าตัวแบบทำลายสถิติของสโมสรถึง 2-3 ครั้งในซัมเมอร์นั้น ซึ่งในนั้นก็คือ คอร์เนลิอุส กองหน้าร่างใหญ่ชาวเดนส์ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ โคเปนเฮเกน จนถูกดึงตัวมาร่วมทีมด้วยราคา 8 ล้านปอนด์

 

โชคร้ายที่ คอร์เนลิอุส บาดเจ็บที่หัวเข่า ทำให้เขาต้องหายหน้าไปจากทีมถึง 3 เดือน แต่ถึงแม้จะกลับมาเล่นได้ เจ้าของทีมเดอะ บลูเบิร์ด วินเซนต์ ตัน ก็ไม่ปลาบปลื้มกับฟอร์มการเล่นของหัวหอกร่างยักษ์แม้แต่นิดเดียว ที่แย่ไปกว่านั้นคือทำประตูให้ทีมไม่ได้เลยจากลงเล่นให้ทีม 11 นัด ก่อนที่เขาจะถูกกลับให้สโมสรเก่าในบ้านเกิดด้วยราคาแค่ 3 ล้านปอนด์ ในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะเดือนมกราคมปี 2013

  

 

อังเคล ดิ มาเรีย, แมนฯยูไนเต็ด (ขาดทุน 15 ล้านปอนด์)

 

 

ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของ อังเคล ดิ มาเรีย แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงแรกในแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไป เขาก็ไม่โชว์ฟอร์มได้ดีอีกเลยในพรีเมียร์ลีก แม้ว่าเขาจะย้ายจากเรอัล มาดริด ที่มีดีกรีเป็นแชมป์ยุโรปและพาทีมอาร์เจนติน่าเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกในปี 2014 แต่เขากลับไม่สามารถทำผลงานได้ตามมาตรฐานที่เคยทำไว้เหมือนปีก่อนๆได้

 

ด้วยค่าตัว 59.7 ล้านปอนด์ ทำให้เป็นปีกชาวอาร์เจนไตน์เป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ ตอนนั้น แต่กลับไปได้แค่ 4 ประตูจากลงเล่น 32 นัด ภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ ฟาน กัล ก่อนที่ปีศาจแดงจะยอมขาดทุนลดราคาจากเดิมถึง 15 ล้านปอนด์ เพื่อขายให้กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในปี 2015 ซึ่งในทีมแดนน้ำหอม ดิ มาเรียก็สามารถกลับมาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง และดูดีแฮปปี้กับชีวิตใหม่ในปารีสมากกว่าในแมนเชสเตอร์เยอะ

 

 

ร็อบบี้ คีน, ลิเวอร์พูล (ขาดทุน 7.3 ล้านปอนด์)

 

 

ราฟาเอล เบนิเตซ ได้คว้าตัว ร็อบบี้ คีน จากสเปอร์ส เพื่อมาเล่นเป็นกองหน้าคู่กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส ในปี 2008 โดยหวังว่าทั้งคู่จะช่วยทำให้เกมรุกของหงส์แดงคมกริบจนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ซักที ในทางทฤษฏีนี่อาจเป็นความคิดที่น่าสนใจ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว หัวหอก 2 ชาติไม่สามารถประสานได้อย่างหวังไว้เลย และตัวของคีนยิงไปแค่ 5 ประตูจาก 19 เกมในลีกเท่านั้น 

 

เมื่อผลลัพธ์มันปรากฏออกมาชัดเจน กุนซือชาวสแปนิชจึงยอมหั่นราคาของกองหน้าชาวไอรแลนด์ถึง 7.3 ล้านปอนด์ และขายคืนให้กับไก่เดือยทอง ทีมเก่าของคีนแค่ 12 ล้านปอนด์เท่านั้นในเดือนมกราคมปี 2009 

 

 

โนลิโต้, แมนฯซิตี้ (ขาดทุน 5.9 ล้านปอนด์)

 

 

ในปี 2016 ปีกชาวสแปนิชปฏิเสธที่จะย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่าเพื่อไปร่วมงานกับ เป็ป กวาร์ดิโอล่า นายเก่า คนให้โอกาสเขาประเดิมสนามในลาลีก้า เมื่อ 6 ปีก่อนแทนในแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยมีค่าตัวราวๆ 13.8 ล้านปอนด์ และเซ็นสัญญายาว 4 ปี หลังโชว์ฟอร์มเด่นกับเซลต้า บีโก้ และในศึกยูโร 2016 ที่ทีมชาติสเปนคว้าแชมป์ด้วย

 

โนลิโต้เริ่มต้นกับต้นสังกัดใหม่ได้อย่างฝัน หลังทำประตูได้ในเกมที่พบสโต๊ด แต่หลังจากนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ค่อยๆตกลงไปเรื่อยๆ เมื่อกวาร์ดิโอล่าได้ทดลองเปลี่ยนไปเล่นแผนการเล่นอื่นๆดู โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดสุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 และจากนั้นก็ย้ายกลับมาอยู่ในบ้านเกิดกับเซบีย่า ด้วยราคา 7.9 ล้านปอนด์ ในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น พร้อมกับแซะว่าภูมิอากาสในอังกฤษไม่ได้ดีซักเท่าไหร่ แถมยังทำให้หน้าลูกสาวเขาเปลี่ยนสีราวกับอาศัยอยู่ในถ้ำอย่างไรอย่างนั้นเลย

 

 

ซาวิโอ้ เอ็นเซรีโก้, เวสต์แฮม (ขาดทุน 6 ล้านปอนด์)

 

 

ดีลของ ซาวิโอ้ เอ็นเซรีโก้ ถือเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยแข้งเชื้อสายยูกันด้า-เยอรมัน ได้ย้ายจากเบรสซ่า (ซึ่งลงเล่นไป 22 เกมยิงไป 3 ประตู) มาร่วมทีมขุนค้อนด้วยราคา 9 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคมปี 2009  ซึ่งได้รับการแนะนำมาจากผู้อำนวยการด้านเทคนิค จานลูก้า นานี่ ที่เคยทำงานกับเขาในอิตาลีมาก่อนหน้านี้

 

แต่ซาวิโอ้ก็ไม่ทำผลงานได้เข้าแฟนบอลเวสต์แฮมเท่าไหร่ หลังลงเล่นไป 10 นัด แอสซิสต์ไป 1 ครั้ง และยิงประตูคู่แข่งไม่ได้เลย ก่อนจะย้ายกลับอิตาลีอีกครั้ง โดยไปอยู่กับฟิออเรนติน่าด้วยราคาแค่ 3 ล้านปอนด์ พร้อมกับแลกตัว มานูเอล ดา คอสต้า มาอยู่กับขุนค้อนแทน

 

เรื่องราวยิงแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อซาวิโอ้ถูกปล่อยให้ทีมอื่นยืมไปใช้งานถึง 6 สโมสร ใน 3  ปีต่อมา ก่อนจะย้ายออกจากทีมม่วงมหากาฬโดยไม่ได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่แม้แต่นัดเดียว ซึ่งทำให้ รองประธานเวสต์แฮม คาร์เรน เบรดี้ ทำการสืบสวนเกี่ยวกับซื้อขายนักเตะรายนี้ว่าดูมีอะไรไม่ชอบมาพากลซักเท่าไหร่

 

แม้จะไม่มีการเผยแพร่บทสรุปของการสืบสวนนี้ออกมา แต่แข้งวัย 29 ปีก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในเส้นทางฟุตบอลอาชีพไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบัน เขายังค้าแข้งอยู่กับ อาร์มิน มิวนิค ทีมระดับล่างสุดๆในลีกเมืองเบียร์

 

 

มัสซิโม่ ตาอิบี้, แมนฯยูไนเต็ด (ขาดทุน 2 ล้านปอนด์)

 

 

แม้ว่านี่อาจจะไม่ใช่ค่าตัวที่สูงจนสื่อหลายๆสำนักต้องจับจ้องให้ความสนใจกัน แต่เงินจำนวน 4.5 ล้านปอนด์ในการคว้าตัวผู้รักษาประตูก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่เสี่ยงใช้ได้ในปี 1999 เมื่อ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ได้ลาแมนชสเตอร์ ยูไนต็ดได้หลังคว้า ทริปเบิ้ลแชมป์ได้ มัสซิโม่ ตาอิบี้ ก็เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งมือหนึ่งของปีศาจแดงคนใหม่ ร่วมกับ มาร์ค บอสนิช และ เรย์มอนด์ ฟาน เดอร์ ฮาว

 

นายทวารชาวอิตาลีได้เล่นแค่ 4 นัดในอังกฤษ หนึ่งในนั้นคือเกมที่โดนเชลซีถลุงไป 5-0 แต่นัดที่แฟนปีศาจแดงไม่มีทางลืมได้เลย คือเกมที่พบกับเซาธ์แฮมป์ตันในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อแมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ยิงบอลมาตรงตัว ตาอิบี้ และดูไม่มีพิษภัยอะไร แต่ทว่าเขากลับรับลูกลอดหว่างขาจนบอลทะลักเข้าประตูไปแบบงงๆ และทำให้นักบุญตามตีเสมอได้ 3-3 ก่อนย้ายไปเรจจิน่าในช่วงกลางฤดูกาล พร้อมกับขาดขาดแค่ครึ่งราคาให้ด้วยในซัมเมอร์ต่อมา

 

 

ลูเซียโน่ ฟิเกรัว, เบอร์มิ่งแฮม (ขาดทุน 2.5 ล้านปอนด์)

 

 

การคว้าตัวนักเตะแปลกๆมาร่วมทีมในบางครั้งมันอาจจะทำให้แฟนบอลดูตื่นเต้นกว่าตอนที่ทีมคว้าตัวคนที่พวกเขารู้จักมาร่วมซะอีก ซึ่งหนึ่งในนักเตะกลุ่มนั้นก็คือ ลูเซียโน่ ฟิเกรัว กองหน้าวัย 22 ปีจาก โรซาริโอ เซนทรัล ที่เบอร์มิ่งแฮมคว้าตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 2.5 ล้านปอนด์ ในปี 2003

 

แข้งชาวอาร์เจนไตน์นั้นดูไม่ธรรมดาเลย เนื่องจากมีดีกรีติดทีมชาติฟ้าขาวมาแล้ว แถมอัตราการยิงประตูในลีกบ้านเกิดก็โหดไม่ใช่เล่น ไม่แปลกที่แฟนบอลลูกโลกจะคาดหวังในตัวเขาพอสมควร แต่ทว่าฟิเกรัวไม่สามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้ แม้จะอยู่ในชุดสำรอง โดยได้ลงเล่นในชุดใหญ่แค่ 2 นัด ่ก่อนจะปล่อยตัวออกไปในเดือนธันวาคมปี 2003 ดังนั้นเขาก็สามารถย้ายไปร่วมทีม ครูซ อาซูล สโมสรในเม็กซิโกแบบไร้ค่าตัว ส่วนเบอร์มิ่งแฮมก็เสียนักเตะไปแบบไม่ได้ทุนคืนแม้แต่สลึงเดียวจริงๆ