ม้ามืดเมืองเบียร์ : ย้อนความหลังครั้ง โวล์ฟบวร์ก คว้าแชมป์บุนเดสลีก้าสมัยแรก

 

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลทั่วโลกมากที่สุดในปี 2009 คงหนีไม่พ้น การที่ทีมนอกสายตาอย่าง โวล์ฟบวร์ก คว้าแชมป์บุนเดสลีก้าสมัยแรกมาครองได้อย่างเหนือความคาดหมาย

 

พวกเขาเลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้ในช่วงปลายยุค 90 แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยเป็นทีมอันดับต้นๆของบุนเดสลีก้า, ทีมเงินหนา หรือ ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด และการคว้ารองแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ในปี 1995 คือโอกาสใกล้เคียงที่สุดของพวกเขาในการคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ของเยอรมันในยุคก่อน

 

แม้จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก โฟล์กสวาเก้น ผู้ผลิตรถยนต์เบอร์ต้นๆของเยอรมัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อความสำเร็จเหมือนกับหลายๆสโมสรที่ร่ำรวยในยุโรป ยิ่งทำให้น่าตกใจมากกว่าเดิม เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองในปี 2009

 

แต่เพราะเหตุใด โวล์ฟบวร์ก ถึงได้ปาดหน้า บาเยิร์น มิวนิค ตัวเต็งของการแข่งขันเพียง 2 แต้ม จนคว้าแชมป์ลีกไปครอง UFA ARENA จะพาแฟนบอลทุกท่านไปย้อนรำลึกผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

 

มากัธผู้เปลี่ยนแปลง

 

 

ในฤดูกาล 2007-08 บาเยิร์น มิวนิค ขาประจำคว้าแชมป์ลีกไปครองอย่างง่ายดายอีกครั้ง ขณะที่ โวล์ฟบวร์ก จบอันดับ 5 ในตาราง และมีแต้มตามหลังถึง 22 คะแนน แต่การเข้ามาของ เฟลิกซ์ มากัธ ที่โดนเสือใต้ปลดในเดือนมกราคมปี 2007 ในฤดูกาลนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีมในเวลาต่อมา

 

แม้จะล้มเหลวไม่เป็นท่ากับการคุม ฟูแล่ม ที่อังกฤษในเวลาต่อมา และแนะนำให้นักเตะใช้ชีสเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ มากัธ ก็ยังเป็นผู้จัดการทีมที่น่าเกรงข่ามและเคารพในเยอรมันบ้านเกิดอยู่ดี

 

กุนซือจาก แอสเชฟเฟนเบิร์ก พาเสือใต้คว้าแชมป์ลีก 2 สมัยติด ในปี 2004-2006  แต่ด้วยผลการแข่งขันที่ไม่ดีนักในฤดูกาล 2006-07 ทำให้เขาต้องแยกทางกับทีมในเวลาต่อมา

 

อย่างไรก็ตาม มากัธ เริ่มเตรียมกู้ชื่อและศักดิ์ศรีตัวเองอีกครั้ง ด้วยการรับงานคุมทีม โวล์ฟบวร์ก พร้อมกับดึงนักเตะใหม่เข้ามา และเปลี่ยนให้ทีมกลางตาราง ขึ้นไปเป็นทีมที่ลุ้นทำอันดับไปเล่นในบอลยุโรปแทน ก่อนจะกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ในเวลาต่อมา

 

กุนซือชาวเยอรมัน ที่ควบทั้งตำแหน่งเฮ้ดโค้ช และ ผู้อำนวยการฟุตบอล ของสโมสร สามารถดึงศักยภาพของผู้เล่นหน้าเก่าและหน้าใหม่ออกมาได้อย่างสูงสุด เช่น คริสเตียน เกนท์เนอร์ กองกลางจอมขยัน, โจซัว จอมทัพเลือดแซมบ้า, ซเวดาน มิซิโมวิช เพลย์เมกเกอร์จอมแอสซิสต์ และกองหน้าคู่หูอย่าง เอดิน เชโก้ กับ กราฟิเต้

 

และ เชโก้ กับ กราฟิเต้ ก็กลายเป็นหนึ่งในการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวงการลูกหนังเมืองเบียร์ หลังคว้าตัวมาจาก เทปลิเซ่ สโมสรจากเช็ก และ เลอ ม็องส์ ทีมจากลีกเอิง ด้วยค่าตัว 4 ล้านยูโร และ 5.6 ล้านยูโร เมื่อปี 2007 ตามลำดับ

 

 

หอกคู่กู้ชื่อ

 

 

หลังจากที่ทำผลงานระดับกลางๆในฤดูกาล 2007-08 แต่ในปีต่อมา พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นกองหน้าคู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีในบุนเดสลีก้า หลังฤดูกาล 2008-09 พวกเขายิงรวมกันถึง 54 ประตูในลีก มากกว่า เจ้าของสถิติเติมอย่าง แกร์ด มูลเลอร์ และ อูลี่ เออร์เนส ที่ยิงให้บาเยิร์น ในฤดูกาล 1971-72 รวมกันที่ 53 ประตู

 

นั่นไม่ใช่อย่างเดียวที่หมาป่าเมืองเบียร์ ทำได้เหนือกว่า เสือใต้ ในฤดูกาลนั้น เพราะ 17 เกมในบ้าน พวกเขาไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้เลย ขณะที่ทีมจากแคว้นบาวาเรีย แพ้คาบ้านถึง 3 นัดด้วยกัน

 

เชโก้ สร้างชื่อเสียงไปทั่วยุโรปในฐานะกองหน้าดาวรุ่งด้วยการซัดประตูในลีกด้วยจำนวน 26 ลูก แต่คู่หูอย่าง กราฟิเต้ อดีตเซลส์แมนที่ขายของใน เซา เปาโล กลับทำได้ดีกว่าอย่างไม่มีใครคาดคิด

 

หอกเลือดแซมบ้า เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพในช่วงอายุ 20 ต้นๆ ซึ่งช้ากว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ และย้ายมาเล่นกับ โวล์ฟบวร์ก ขณะที่เขาอายุขึ้นเลข 3 ไปแล้ว แถมมีสถิติยิงประตูสูงสุดต่อฤดูกาลเพียง 22 ประตูเท่านั้นในสมัยที่เล่นกับ เซา เปาโล

 

แต่ในฤดูกาลนั้น กราฟิเต้ กลับยิงประตูสำคัญมากมาย และซัดไปถึง 28 ลูกในลีก พร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวของบุนเดสลีก้าไปครองแบบเหนือความคาดหมาย

 

อีกคนที่อดพูดถึงไม่ได้คือ ซเวดาน มิซิโมวิช เพลย์เมกเกอร์ชาวบอสเนีย ที่สร้างสรรค์โอกาสให้ กองหน้าทั้ง 2 คน รวมถึงเพื่อนๆในทีมอีกมากมาย พร้อมกับทำแอสซิสต์ถึง 20 ลูกในฤดูกาลนั้น

 

 

เกมชี้ชะตา

 

 

แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ หมาป่าเมืองเบียร์ก้าวไปเป็นแชมป์ได้อย่างเต็มตัว คือเกมนัดที่ 26 ของบุนเดสลีก้า ฤดูกาล 2008-09 

 

หลังคว้าชัยชนะ 7 นัดติดในลีกโวล์ฟบวร์ก ต้องเปิดรัง โฟล์กสวาเก้น อารีน่า ต้อนรับ บาเยิร์น มิวนิค แชมป์เก่าที่เล่นงานพวกเขาไปก่อน 4-2 ในช่วงต้นฤดูกาล

 

เกนท์เนอร์ ยิงประตูให้เจ้าบ้านขึ้นนำไปได้ แต่ ลูก้า โทนี่ ก็ตีเสมอให้เสือใต้อย่างรวดเร็ว และจบสกอร์ครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 1-1  

 

 

แต่แล้ว มหกรรมยำใหญ่ล้างแค้นเสือใต้ก็เริ่มขึ้นในครึ่งหลัง เมื่อ เชโก้ และ กราฟิเต้ โชว์ฟอร์มโดดเด่นสุดๆ เล่นงานแนวรับทีมเยือนจนเละไม่มีชิ้นดี พร้อมกับเหมาคนละ 2 ประตู ช่วยให้ โวล์ฟบวร์กเอาชนะไปได้อย่างท่วมท้น 5-1 

 

ถ้าเกมนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตำแหน่งกุนซือของ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ในบาเยิร์น มิวนิค สั่นคลอน ก่อนจะถูกปลดในเวลาต่อมา เกมนั้นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เฟลิกซ์ มากัธ และลูกทีม เดินหน้าสู่แชมป์ในบั้นปลายเช่นกัน

 

 

เส้นทางหลังคว้าแชมป์

 

 

แม้จะพ่ายไป 2 นัดหลังจากนั้น แต่ โวล์ฟบวร์ก ก็มั่นใจพอว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะคู่แข่งที่เหลือได้ ก่อนจะปิดฉากถล่ม แวร์เดอร์ เบรเมน 5-1 ในวันสุดท้ายของฤดูกาล และคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรไปครอง

 

นี่น่าจะเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญในเส้นทางอาชีพกุนซือของ มากัธ และเป็นการล้างแค้นที่สาสมกับ บาเยิร์น มิวนิค สโมสรที่ปลดเขาออกจากตำแหน่งแบบไม่ใยดี เมื่อ 2 ปีก่อน

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากฤดูกาลปาฏิหารย์ในตอนนั้น โวล์ฟบวร์ก ก็ไม่สามารถกลับมาอยู่จุดเดิมได้เลย เช่นเดียวกับนักเตะอีกหลายในทีมที่หยุดฟอร์มที่ดีสุดในอาชีพค้าแข้งไว้แต่เพียงเท่านี้  

 

ในส่วนของ มากัธ แม้จะย้ายไปคุม ชาลเก้, ฟูแล่ม,ซานต่ง ลูเนิ่ง ในเวลาต่อมา รวมถึงย้ายกลับคุมโวล์ฟบวร์กอีกหน แต่ก็ไม่มีทีมไหนที่เขาประสบความสำเร็จในฐานะกุนซืออีกเลยหลังจากนั้น

 

แต่อย่างน้อย เรื่องราวของโวล์ฟบวร์กชุดแชมป์บุนเดสลีก้าครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสร จะถูกจารึกและเป็นที่จดจำของแฟนบอลทั่วโลกไปตราบนานเท่านาน