ยอดผู้พิทักษ์หลังบ้าน! 10 ปราการหลังค่าตัวแพงสุดตลอดกาล

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค เพิ่งประกาศคว้าตัว ลูคัส เอร์นานเดซ อย่างเป็นทางการจาก แอตเลนติโก้ มาดริด เข้ามาเสริมทีมหลังจบซีซั่นนี้ด้วยค่าตัว 80 ล้านยูโร หรือประมาณ 68 ล้านปอนด์

 

อย่างไรก็ตามแข้งทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกรายนี้ ยังไม่ใช่นักเตะในตำแหน่งกองหลังที่มีค่าตัวแพงมากที่สุดในโลก ซึ่งวันนี้ UFA Arena จะขอพาไปไล่ทบทวนดูกันว่า 10 อันดับปราการหลังค่าตัวแพงสุดตลอดกาล จะมีใครกันบ้าง

 

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ (เซาแธมป์ตัน ไป ลิเวอร์พูล 75 ล้านปอนด์)

 

ลิเวอร์พูล เคยออกมาประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2017 ว่าพวกเขาจะเลิกให้ความสนใจและล้มความพยายามดึงตัว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ มาร่วมทีม หลังจากที่พวกเขาเล่นไม่ซื่อกับทางฝั่ง เซาแธมป์ตัน ด้วยการแอบเจรจากับนักเตะแบบลับๆ โดยที่ทางต้นสังกัดยังไม่อนุญาต

 

อย่างไรก็ตามภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แข้งปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์รายนี้ กลับหายไปจากตำแหน่งตัวจริงในทีม “นักบุญ” ซึ่งนั้นเป็นสัญญาณที่เริ่มชัดเจนขึ้นว่าเจ้าตัวคงจะย้ายออกจากทีมแน่นอนในไม่ช้า กระทั้งเข้าสู่ช่วงคริสต์มาสในปีเดียวกัน “หงส์แดง” ได้มอบของขวัญสุดวิเศษให้กับเหล่าสาวก “เดอะค็อป” ด้วยการประกาศคว้าตัว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ มาร่วมทีมอย่างเป็นทางการ

 

จุดเด่นของเขาคือความแข็งแกร่งในการเล่นลูกกลางอากาศ ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่คือสิ่งที่แผงหลังของ “หงส์แดง” มีปัญหามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนับตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาในถิ่น แอนฟิลด์ เกมรับของ ลิเวอร์พูล ดูดีขึ้นแบบผิดหูผิดตาโดยเฉพาะในซีซั่นนี้ที่เขามีส่วนสำคัญในการพาทีมกำลังไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกของสโมสรพร้อมกับช่วยให้ยอดทีมแห่งเมอร์ซี่ไซด์เสียประตูน้อยสุดในลีกด้วยจำนวน 18 ประตู หลังจากผ่านการลงสนามไปแล้ว 31 เกม

 

ลูคัส เอร์นานเดซ (แอตเลติโก้ มาดริด ไป บาเยิร์น มิวนิค 68 ล้านปอนด์)

 

แบ็คซ้ายเบอร์หนึ่งของทีมชาติฝรั่งเศสชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 เพิ่งตกเป็นข่าวเกี่ยวกับการย้ายทีมเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนที่ล่าสุดมีการยืนยันออกมาแล้วว่า บาเยิร์น มิวนิค จะได้ตัว ลูคัส เอร์นานเดซ ไปร่วมทีมหลังจบซีซั่นนี้ หลังจากที่พวกเขายอมทุ่มเงินก้อนโต 80 ล้านยูโร หรือราว 68 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นค่าฉีกสัญญากับต้นสังกัดที่เขาอยู่มาถึง 12 ปี อย่าง ทีม “ตราหมี” แอตเลนติโก้ มาดริด

 

สำหรับ ลูคัส เอร์นานเดซ เป็นนักเตะในตำแหน่งแนวรับสารพัดประโยชน์ที่สามารถเล่นได้ทั้งเซนเตอร์และแบ็คซ้าย โดยจุดเด่นของเขาไม่ใช่แค่เพียงการเล่นเกมรับที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แข้งวัย 21 ปี ยังมีความเร็วและสามารถพาบอลขึ้นหน้าหรือเติมเกมรุกให้กับทีมได้ดีอีกด้วย

 

เบนจามิน เมนดี้ (โมนาโก ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 51.75 ล้านปอนด์)

 

หากย้อนกลับไปในเดือนกรกฏาคม ปี 2017 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือใหญ่ “เรือใบสีฟ้า” เคยพังสถิติซื้อแข้งกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกเวลานั้นอย่าง เบนจามิน เมนดี้ แบ็คซ้ายจอมบุกที่สร้างชื่อขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักเตะระดับแถวหน้าของยุโรปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับพ่วงดีกรีแชมป์ ลีก เอิง ฝรั่งเศส ซีซั่น 2016/2017  มาค้าแข้งในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม

 

การมาของ เบนจามิน เมนดี้ ถือเป็นการยกระดับแผงหลังของยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้จังหวะการเติมเกมทางฝั่งซ้ายของเขายังทำได้อย่างดีเยี่ยมสามารถไปกับบอลได้ดีและมีความเร็ว รวมไปถึงอาวุธไม้ตายอย่างการครอสบอลที่แม่นยำราวกับจับวาง อย่างไรก็ตามปัญหาเจ็บเข่ารุนแรงถึงสองครั้งทำให้ดูเหมือนว่าการเริ่มต้นใช้ชีวิตของเจ้าตัวบนเกาะอังกฤษจะยากลำบากพอสมควร

 

ดาวิด หลุยส์ (เชลซี ไป ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 50 ล้านปอนด์)

 

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยอดทีมจากลีกสูงสุดเมืองน้ำหอม ยอมทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในเวลานั้นเพื่อดึงตัวปราการหลังทีมชาติบราซิล อย่าง ดาวิด หลุยส์ จาก เชลซี มาเล่นในถิ่น ปาร์ค เดอ แปรงซ์ เมื่อปี 2014

 

ความพิเศษของเขานอกจากการเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์ที่แข็งแกร่งแล้ว อดีตดาวเตะ เบนฟิก้า ยังมีลูกเก่งพาบอลขึ้นมายังแดนหน้าและบ้างจังหวะยังสามารถยิงไกลจากแถวสองเป็นประตูสวยๆให้เราได้เห็นมาแล้วหลายครั้ง รวมไปถึงจังหวะเล่นลูกตั้งเตะซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นกองหลังระดับแถวหน้าของโลก

 

ดาวเตะทรงผมแอฟโฟร่ กลายเป็นกำลังสำคัญของสโมสรทันทีที่ย้ายมาเล่นยังเมืองหลวงฝรั่งเศส พร้อมกับมีส่วนพาต้นสังกัดสอยแชมป์ ลีก เอิง ได้ตั้งแต่ซีซั่นแรก แต่แล้วเจ้าตัวได้สร้างเรื่องสุดเซอร์ไพรส์ขึ้นด้วยการตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่กับ ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” อีกครั้งในเดือนสิงหาคม ปี 2016 ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ซึ่งซีซั่นดังกล่าว ดาวิด หลุยส์ สามารถพา เชลซี ผงาดคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จอีกด้วย

 

ไคล์ วอล์คเกอร์ (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 50 ล้านปอนด์)

 

ย้อนกลับไปในปี 2009 ไคล์ วอล์คเกอร์ ดาวรุ่งโนเนมในเวลานั้น ถูก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ดึงจาก เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์เท่านั้น และคงมีไม่กี่คนที่เคยเดาว่าแข้งรายนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์

 

เขาได้รับการยอมรับจากบรรดาแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างรวดเร็ว ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดันพร้อมกับความอันตรายในจังหวะเต็มเกมรุกทางริมเส้นด้านขวาถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้เขาก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตำแหน่งแผงหลังของ “เรือใบสีฟ้า” นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาสู่ทีมในเดือนกรกฏาคม ปี 2017

 

แบ็คขวาดีกรีทีมชาติอังกฤษรายนี้ มีส่วนพาสโมสรคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้ถึง 2 สมัย รวมไปถึง แชมป์ พรีเมียร์ลัก อีก 1 สมัย อย่างไรก็ตามสำหรับการลุ้นสอยสองถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ เอฟเอ คัพ ดูเหมือนว่าฤดูกาลนี้เขาจะเข้าใกล้มันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

จอห์น สโตนส์ (เอฟเวอร์ตัน ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 47.5 ล้านปอนด์)

 

จอห์น สโตนส์ (เอฟเวอร์ตัน ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 47.5 ล้านปอนด์)

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือหนึ่งในทีมที่แสดงความเต็มใจที่จะยอมทุ่มเงินก้อนโตเพื่อดึงแข้งอังกฤษฝีเท้าดีเข้ามาร่วมทีมอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนั้นก็ร่วมถึงการคว้าตัว จอห์น สโตนส์ จาก เอฟเวอร์ตัน มาร่วมทีมในปี 2016

 

แข้งวัย 24 ปี เริ่มต้นด้วยความยากลำบากสำหรับการเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เฮ้ดโค้ชชาวสแปนนิชของ “เรือใบสีฟ้า” อย่างไรก็ตามผลงานของเขาในปัจจุบันดีขึ้นมากแม้ว่าจะมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เป็นประจำก็ตาม

 

โดยจุดแข็งของกองหลัง “สิงโตคำราม” รายนี้ นอกจากจะทำได้ดีในการเล่นเกมรับไม่ว่าจะเป็นจังหวะอ่านบอลหรือตัดเกมใส่แนวรุกคู่แข่งแล้ว การขึ้นเกมจากแดนหลังก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถช่วยเพิ่มมิติให้ทีมได้ไม่น้อย

 

เอแดร์ มิลิเตา (ปอร์โต้ ไป เรอัล มาดริด 42 ล้านปอนด์)

 

อีกกหนึ่งดีลซื้อขายที่ตกลงกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วและจะย้ายทีมกันอย่างเป็นทางการหลังจบซีซั่นนี้ นั้นคือ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาริด ประกาศคว้าตัว เอแดร์ มิลิเตา กองหลังดกรีทีมชาติบราซิล มาร่วมทีมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการยอมจ่ายเงิน 42 ล้านปอนด์ เป็นค่าฉีกสัญญากับต้นสังกัดอย่าง ปอร์โต้

 

แข้งวัย 21 ปี เพิ่งแจ้งเกิดในระดับฟุตบอลยุโรปได้ไม่นานมานี้กับ ปอร์โต้ ด้วยสไตล์การเล่นชิงเหลี่ยมบอลจากคู่แข่งได้อย่างดีเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นลูกบนพื้นหรือกลางอาการ แถมยังเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้แทบจะทุกตำแหน่งในเกมรับ นี่จึงเป็นดีลที่คุ้มค่ามากทีเดียวสำหรับ “โลส บลังโกส”

 

ดาวินซอน ซานเชซ (อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 36.6 ล้านปอนด์)

 

แฟนบอล ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ อดใจรอคอยเป็นว่าหลายสัปดาห์ ก่อนที่ “ไก่เดือยทอง” จะประกาศคว้าตัวนักเตะคนแรกในช่วงซัมเมอร์ ปี 2017 ซึ่งเป็นเวลาที่เข้าใกล้ช่วงปิดตลาดเต็มที ด้วยการดึง ดาวินซอน ซานเชซ เข้ามาเล่นในกรุงลอนดอนและยังเป็นแข้งค้าตัวสถิติสโมสรอีกด้วย

 

แข้งทีมชาติโคลัมเบีย อดีตปราการหลังตัวเก่ง อัตเลติโก นาซิอองนาล เคยตกเป็นเป้าหมายทีมยักษ์ใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า มาแล้ว สมัยที่เขายังเล่นอยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และสามารถพาทีมคว้ารองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปาลีก ได้ในฤดูกาล 2016/2017 ก่อนท้ายที่สุดเขาจะย้ายเข้ามาอยู่กับยอดทีมแห่งเมืองหลวงผู้ดีในท้ายที่สุด

 

ดาวินซอน ซานเชซ ถือเป็นเซนเตอร์แบ็คที่มีทั้งความดุดันและความเร็ว สำคัญสุดคือการอ่านเกมที่เฉียบขาดช่วยยกระดับในการเล่นของแผงหลัง สเปอร์ ได้อย่างลงตัว ซึ่งนั้นทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกเบอร์หนึ่งของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ แบบไม่มีข้อกังขาใดๆ

 

เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ (ยูเวนตุส ไป เอซี มิลาน 35.2 ล้านปอนด์)

 

ยูเวนตุส ในยุคการทำทีมของกุนซืออย่าง มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เขาเป็นคนจัดการคว้าตัว เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ปราการหลังตัวแกร่งทีมชาติอิตาลี หวนคืนร่วมทีมอีกครั้ง จากคู่ปรับสำคัญ เอซี มิลาน เมื่อ ปี 2017 โดยนี่ถือเป็นการกลับมาอยู่ในกรุงตูริน ครั้งที่สองของเจ้าตัว หลังจากที่ก่อนหน้าเคยค้าแข้งกับ ทีม “ม้าลาย” ระหว่างซีซั่น 2010 – 2017 มาแล้ว

 

เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ คือหนึ่งในกองหลังที่ดีสุดในโลกครหนึ่ง มีจุดเด่นในการป้องกันเกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยมและยังสามารถอ่านเกมแบบเฉียบคมสุดๆ ซึ่งนั้นทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนสำคัญในการพา ทีม “ม้าลาย” คว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้ถึง 6 สมัย ทว่าเขากลับไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยสำหรับการลงเล่นในถิ่น ซานซิโร่ กับ “รอสโซเนรี่” ฟอร์มของเขาดูดร็อปลงจนน่าใจหายกับ ก่อนท้ายที่สุดแข้งวัย 31 ปี ตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นให้ “เบียงโคเนรี่” เมื่อปีที่ผ่านมา

 

ชโคดราน มุสตาฟี่ (บาเลนเซีย ไป อาร์เซน่อล 35 ล้านปอนด์)

 

โดยปกติแล้ว อาร์เซน่อล ในยุคการทำทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ หนึ่งในกุนซือที่ขี้เหนียวที่สุดในโลกฟุตบอล มักจะไม่ยอมยอมใช้เงินก้อนโตทุ่มซื้อนักเตะมาร่วมทีม ทว่าเขากลับควักเงิน 35 ล้านปอนด์ เพื่อดึง ชโคดราน มุสตาฟี่ เข้ามาเสริมเกมรับให้กับ “ไอ้ปืนใหญ่” เมื่อปี 2016

 

ปราการหลังดีกรีทีมชาติเยอรมันรายนี้ มีจุดเด่นที่ความแข็งแกร่งและดุดันในจังหวะเข้าปะทะบอลและสามารถเล่นลูกกลางอากาศได้ดีอีกด้วย ซึ่งนั้นทำให้เขากลายเป็นกำลังสำคัญในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่เข้ามาอยู่กับสโมสร ถึงแม้ว่าในซีซั่นดังกล่าวพวกเขาจะไม่สามารถทำอันดับไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ก็ตาม