ยังไม่สาย! 11 แข้งดังที่หวนคืนทีมชาติช่วงบั้นปลายอาชีพ

 

ในที่สุด ซานติ กาซอร์ล่า กองกลางจอมเก๋าจากบียาร์เรอัล ก็กลับไปติดทีมชาติสเปนอีกครั้งในรอบ 4 ปี ถือเป็นเรื่องประหลาดใจและน่าปลาบปลื้มใจในเวลาเดียวกัน

 

เพราะก่อนหน้านี้ กาซอร์ล่าบาดเจ็บหนักมากตอนที่อยู่กับ อาร์เซน่อลในปี 2017 จนเกือบอำลาสนามไปแล้ว หลังจากเข้ารับการผ่าตัดบริเวณเอ็นร้อยหวายถึง 11 ครั้งในรอบ 2 ปี และหนักขนาดที่แพทย์เอ่ยปากบอกกับเขาว่าแค่กลับมาเดินเล่นกับลูกที่สวนหลังบ้านได้ ก็น่าพอใจแล้ว

 

แต่ทว่ากาซอร์ล่ากลับมาโชว์ฟอร์มเก่งอีกครั้งกับทีมบียาร์เรอัลใสนฤดูกาลนี้ และช่วยให้เรือดำน้ำสีเหลืองอยู่รอดปลอยภัยในลาลีก้าได้สำเร็จ ทำให้เขาถูก หลุยส์ เอ็นริเก้ เรียกกลับไปติดทัพกระทิงดุอีกครั้งในตอนนี้ แต่ทว่าเขาไม่ใช่นักเตะคนแรกที่หวนกลับรับใช้ชาติอีกครั้งในวัยเลยเลขสามแบบนี้

 

และนี่คือ 11 นักเตะที่กลับมาติดทีมชาติบ้านเกิดอีกครั้งในช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง และเราหวังว่ากาซอร์ล่าจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างเช่นแข้งที่อยู่ด้านล่างบทความนี้

 

 

มาริโอ โกเมซ (2015)

 

 

หัวหอกทีมชาติเยอรมันพลาดคว้าดาวรางวัลดาวซัลโวในศึกยูโร 2012 เพียงเพราะว่าเขาลงเล่นมากนาทีกว่า เฟร์นานโด ตอร์เรศ เท่านั้นเอง แต่ทว่าอีก 2 ปีต่อมา โกเมซพลาดคิดทัพอินทรีเหล็กชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 หลังจากประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรงในฤดูกาลก่อนหน้าทัวร์นาเม้นต์ที่บราซิล

 

โกเมซลงเล่นให้เยอรมันแค่ 4 เกมเท่านั้นในรอบ 3 ปี นับจากปี 2012 ก่อนที่เขาจะถูกโยอาคิม เลิฟ เรียกติดทีมชาติอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนปี 2015 ซึ่งกองหน้าวัยขึ้นเลขสามก็ไม่ทำให้เจ้านายผิดหวัง เมื่อโชว์ให้เห็นว่ายังเล่นในเกมระดับสูงได้อยู่ในศึกยูโร 2016 แม้ทีมจะจอดแค่รอบตัดเชือกก็ตาม

 

ในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดที่รัสเซีย โกเมซก็ยังเป็นกองหลังตัวหลักให้ทีมอยู่ แถมได้ลงเล่นทุกนัดในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ได้ลงสนามแค่นั้นแหละ เพราะเยอรมันที่มีดีดรีแชมป์เก่าดันตกรอบแบบดูไม่จืดเลย

 

 

โรเจอร์ มิลล่า (1990)

 

 

ครั้งหนึ่งกองหน้าชาวแคเมอรูนเคยทำเรื่องสุดช็อคด้วยการจับชาวปิ๊กมี่ 120 คนมาขังไว้ที่ห้องใต้ดินของสนามแห่งชาติของประเทศและบังคับให้พวกเขาแข่งขันฟุตบอลกัน แต่ทว่าแฟนบอลส่วนใหญ่คงจดเรื่องเรื่องของ โรเจอร์ มิลล่า ในช่วงที่เขายิงลืมแก่กับลีลาแดนซ์กระจายที่มุมธงในฟุตบอลโลกปี 1990 ที่อิตาลีได้มากกว่า

 

จริงๆมิลล่าได้ประกาศเลิกเล่นทีมชาติไปแล้วตั้งแต่ปี 1987 แต่ทว่าประธานาธิบดีของประเทศแคเมรูน พอล บีย่า ได้ขอร้องให้กับเขากลับไปเล่นให้ทีมหมอผีอีกครั้งในปี 1990 และในปีนั้นชื่อของมิลล่าได้กลายเป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลก หลังซัด 2 ประตูให้ทีมเอาชนะโรมาเนียได้ในเกมรอบแบ่งกลุ่ม รวมไปถึง 2 ประตูในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับโคลอมเบียด้วย ก่อนจะพ่ายอังกฤษในรอบต่อมาด้วยสกอร์ 3-2

 

หลังจากนั้นอีก 4 ปี มิลล่าก็ยังกลับมาเล่นให้ทีมชาติแคเมอรูนอีกในวัย 42 ปี แต่ทว่าเขาทำประตูได้เพียงลูกเดียวเท่านั้น และต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านเกิดทันทีหลังตกรอบแบ่งกลุ่มแบบไม่ชนะใครเลยซักนัดเดียว

 

 

มาร์ติน ปาแลร์โม่ (2009)

 

 

ตำนานดาวยิงของโบคา จูเนียร์ ดูไม่ค่อยถูกโฉลกกับการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าซักเท่าไหร่และมักจะมีแต่เรื่องแย่ๆ ไม่ก็เรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพลาดจุดโทษ 3 ครั้งในเกมเดียวเมื่อปี 1999 หรือ ขาหักจากการกระโดดข้ามกำแพงไม่พ้นหลังฉลองประตูในทีมชาติ

 

แต่ทว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปาแลร์โม่ในทัพฟ้าขาว คงหนีไม่พ้นสมัยที่ ดีเอโก้ มาราโดน่า แข้งระดับตำนานของอาร์เจนติน่าเข้ามากุมบังเหียน เขาถูกเรียกติดทีมชาติในปี 2009 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และ ปาแลร์โม่ในวัย 35 ปี ก็ตอบแทนความไว้ใจที่เสือเตี้ยมีให้ด้วยการประตูชัยช่วงทดเจ็บช่วยให้อาร์เจนติน่าผ่านรอบฟุตบอลโลกปี 2010 ได้สำเร็จ

 

มาราโดน่าที่ดีใจสุดขีดในเกมนั้นได้สัญญาว่าจะพากองหน้าวัยเก๋าติดทีมไปลุยบอลโลกที่แอฟริกาใต้ให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถึงขั้นหั่นชื่อ เอซาเกล ลาเวซซี่ ออกจากทีมไปเลย แม้หลายคนพอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าปาแลร์โม่ไปในฐานะอะไหล่สำรอง แต่เขาก็กลายเป็นนักเตะที่มีค่าเฉลี่ยยิงประตูต่อนาทีดีที่สุดในฟุตบอลโลก เมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงมาและยิงประตูที่สองให้ทีมได้ในเกมที่เอาชนะกรีซไป แต่ก็แหง่แหละเพราะปาแลร์โฒม่ได้ลงเล่นแค่ 9 นาทีเท่านั้นเอง

 

 

ฮวน เซบาสเตียน เวรอน (2007)

 

 

อดีตกองกลางแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ประสบความเหลวอย่างมากในการค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทำให้ตัวเวรอนตัดสินใจกลับไปเล่นในอาร์เจนติน่า บ้านเกิดของเขาอีกครั้ง

 

ก่อนหน้านี้ เวรอนคือนักเตะที่วนเวียนอยู่ทัพฟ้าขาวอยู่เป็นประจำตั้งแต่สมัยย้ายมาค้าแข้งในอิตาลี แต่ทว่าในฟุตบอลโลกปี 2002 เขากลับโชว์ฟอร์มได้อย่างย่ำแย่ ไม่ต่างจากผลงานในทีมปีศาจแดง จนกลายเป็นแพะของแฟนบอลชาวอาร์เจนไตน์ และนับตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ได้เห็นเวรอนใส่เสื้อสีฟ้าขาวอีกเลยในช่วงปี 2004 ถึง 2006

 

การกลับไปเล่นให้กับ เอสตูเดียนเตส ทีมเก่าในบ้านเกิด ช่วยฟื้นชีวิตค้าแข้งของเวรอนให้กลับมาสดใสอีกครั้ง เขาคว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำทวีปอเมริก้าใต้ 2 ปีซ้อน (2008,2009) พร้อมกับมีชื่อติดทีมชาติอาร์เจนติน่าอีกครั้งตั้งแต่ปี 2007 แถมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ ก่อนจะประกาศลาทีมชาติหลังจบทัวร์นาเม้นต์นั้น

 

 

เฮนริค ลาร์สสัน (2004,2008)

 

 

นักฟุตบอลส่วนใหญ่คงไม่ลาทีมชาติกันแน่ๆ หากทีมของพวกเขาได้เข้าไปเล่นในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่สำคัญระดับทวีปหรือระดับโลก หรือ กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ และที่สำคัญคงไม่ลาทีมชาติถึง 2 ครั้งแน่นอน

 

แต่ไม่ใช่กับ กองหน้าทีมชาวสวีชอย่าง เฮนริค ลาร์สสัน ที่ตัดสินใจว่าจะลาขากทัพไวกิ้งหลังจบฟุตบอลโลกปี 2002 ด้วยวัย 31 ปี อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังกลับมาเล่นให้สวีเดนในเกมรอบคัดเลือกยูโรในปี 2003 กับฮังการี เนื่องจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ติดโทษแบน และด้วยเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลส่วนใหญ่ทำให้เขาหวนกลับมารับใช้ชาติอีกครั้งในยูโร 2004

 

ลาร์สสันยิงในรายการนั้นไป 3 ประตู พร้อมกับติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์นั้น รวมถึงได้ลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมัน ก่อนจะประกาศลาทีมชาติอีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ทว่าในปี 2008 สมาคมฟุตบอลสวีเดนก็เผยว่า หัวหอกวัยเก๋าจะกลับมาเล่นให้ทีมชาติอีกครั้งในศึกยูโรปีเดียวกัน และในที่สุดเขาก็ประกาศลาทีมทีมไวกิ้งแบบถาวรซักทีในปี 2009

 

 

ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป (1993)

 

 

ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป คือหนึ่งในนักเตะพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่ทีมชาติเดนมาร์กเคยมีมา แต่ทว่าเขาดันหันหลังให้ทีมชาติโคนมตั้งแต่อายุ 26 ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นขาประจำในทีมชาติมานานกว่า 8 ปี ในช่วงการแข่งแข่งรอบตัดเลือกของยูโรปี 1992 เนื่องจากมีปัญหาไม่ลงรอยกับ ริชาร์ด โมลเรอร์ เนลเซ่น กุนซือของทีมทำผลงานได้ยำ่แย่

 

แม้เดนมาร์กจะไม่ผ่านรอบคัดเลือก แต่พวกเขาได้ตั๋วพิเศษแบบด่วนจี๋แทนที่ทีมชาติยูโกสลาเวียที่ติดเรื่องสงครามในประเทศ ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ทวีปสมัยแรกและสมัยเดียวของพวกเขา ขณะที่เลาดรู๊ปกำลังพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่ เซนต์ ลูเซีย และ นิวยอร์ก พร้อมกับตามลุ้นทีมบ้านเกิดแบบห่างๆ

 

ในที่สุด กองกลางจอมทักษะก็กลับมาเล่นให้ทีมชาติอีกครั้งในปี 1993 หลังจากห่างไปนานกว่า 3 ปี พร้อมกับช่วยให้ทีมโคนมคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนลทัล คัพในปี 1995 หรือ คอนเฟเดเรชั่นส์ คัพในปัจจุบัน และยังติดทีมยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลกปี 1998 ร่วมกับ ไบรอัน น้องชายของเขา หลังพาเดนมาร์กไปไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปีนั้น

 

 

เอสซัม เอล-ฮาดารี (2017)

 

 

ด้วยอาการบาดเจ็บของ อาเหม็ด เอล-เชนาวี่ ประตูมือหนึ่งของทีมชาติอียิปต์ในเกมแรกของศึกแอฟริกัน เนชั่น คัพปี 2017 ทำให้พวกเขาต้องหันไปใช้งาน เอสซัม เอล-ฮาดารี นายทวารวัย 44 ปี และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่อายุมากที่สุดที่เคยลงเล่นในรายการนั้น

 

เอล-ฮาดารีได้ลาทีมชาติไปแล้วตั้งแต่ปี 2013 หลังไม่สามารถพาทีมทัพมัมมี่คว้าแชมป์ทวีปได้ ทั้งๆที่เขาก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมและไม่มีใครเรียกร้องให้เขาลาทีมไปแม้แต่รายเดียว ก่อนจะกลับมาเฝ้าเสาให้ทีมชาติอีกครั้งในปีถัดมา

 

หลังจากปี 2017 นายทวารจอมเก๋าก็รับช่วงต่อยาวจนถึงศึกเวิล์ด คัพ ฉบับหมีขาว และกลายเป็นนักเตะที่อายุมากที่สุดในฟุตบอลโลกด้วยอายุ 45 ปี แถมยังเซฟจุดโทษได้ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายที่เจอซาอุดิอาราเบียด้วย ปัจจุบันเอล-ฮาดารีได้ลาทีมชาติไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ว่ายังค้าแข้งให้กับนูกุม สโมสรในบ้านเกิดอยู่

 

 

โลธาร์ มัทเธอุส (1998)

 

 

ณ ตอนนั้น “ซูเปอร์แมน” กลายเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมเยอรมันมากที่สุดตลอดกาลก็จริง แต่ทว่าเขาก็มีปัญหากับเจอร์เก้น คลินสมันน์ อยู่พอสมควรหลังเสียปลอกแขนกัปตันไป รวมไปถึงตัวของ แบร์ตี้ โฟ้กท์ส เฮ้ดโค้ชของทีมชาติ ก่อนปี 1996 ที่คว้าแชมป์ยูโร ทำให้เส้นทางในทีมอินทรีเหล็กของโลธาร์ มัทเธอุสน่าจะจบลงแต่เพียงเท่านี้

 

แม้ว่าจะกองกลางจอมแกร่งจะไม่ได้ประกาศลาทีมชาติอย่างเป็นทางการ แต่การที่เข้ากลับมามีชื่อลุยฟุตบอลโลกปี 1998 และติดทีมชาติครั้งแรกในรอบ 3 ปี ถือว่าเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์แฟนบอลมากๆเลย และนั่นทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลตำแหน่งเอ้าฟิลด์คนแรกที่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากที่สุดถึง 5 ครั้ง

 

มัทเธอุสช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย รวมไปถึงมีส่วนร่วมในศึกยูโรปี 2000 ด้วย แต่เสียท่าตกรอบตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ส่งผลให้เวลาของเขาในทีมอินทรีเหล็กจบลงด้วยวัย 39 ปี

 

 

ซีเนดีน ซีดาน, ลิลิยง ตูราม และ โคล้ด มาเกเลเล่ (2006)

 

 

3 แข้งผู้มีอิทธิพลในทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง ซีดาน, ตูราม และ มาเกเลเล่ กลับบ้านมาแบบมือเปล่าหลังพ่ายให้กับว่าที่แชมป์ยูโรอย่างกรีซ ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อปี 2004 พร้อมประกาศลาทีมชาติอย่างเป็นทางการ แต่ทว่า เรย์มงด์ โดเมเน็ค กุนซือตราไก่ก็ได้ชักชวนให้พวกเขากลับมาอีกครั้งในช่วงปลายปี 2005

 

ถึงผลงานในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกของพวกเขาจะไม่แพ้ใครเลย แต่ทีม เลอ เบลอส์ ก็ต้องเร่งเครื่องในช่วงท้ายอยู่เหมือนกัน เนื่องจากเสมอไปถึง 5 นัดจากทั้งหมด 10 เกม ทำให้ไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะทำผลงานได้ดีนักในฟุตบอลครั้งนี้ แต่ทว่าทีมของโดเมเน็คสามารถฝ่าด่านทั้งสเปน, บราซิล และ โปรตุเกส เข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศได้อย่างยอดเยี่ยม

 

แม้จะไม่สามารถคว้าแชมป์โลกมาครองได้เป็นสมัยที่ 2 แต่ ตูราม กับ มาเกเลเล่ก็ยังคงเล่นให้ทีมตราไก่อยู่จนถึงยูโร 2008 ขณะที่ซีดานปิดฉากอาชีพค้าแข้งไม่สวยเท่าไหร่ หลังใช้หัวบรรจงโขกไปที่หน้าอกของ มาร์โก มาเตรัซซี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี ล้มทั้งยืน จนได้รับใบแดงในนัดชิงบอลโลกที่เยอรมัน