ยับเยินเกินไป : 10  ทีมแดนผู้ดีโดนถลุงจนหมดสภาพใน UCL

 

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้กลับมาแข่งขันกันอีกครั้งในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ หลังห่างหายจากปฏิทินของแฟนบอลไปร่วมๆ 2 สัปดาห์

 

แม้จะหายไปนานแค่ไหน แต่ผลการแข่งขันในบอลยุโรปนัดล่าสุดยังคงติดตา เหล่า ยิดอาร์มี่ ทั่วโลก หลังช่วงต้นเดือนนี้ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ โดน บาเยิร์น มิวนิค บุกมาถล่มแบบไม่เกรงใจ 6-2 จนทำให้นี่เป็นเกมที่ไก่เดือยทองแพ้แบบย่อยยับที่สุดในรายการนี้

 

แต่แฟนสเปอร์สไม่ต้องน้อยใจไป เพราะถึงแม้จะแพ้เยอะขนาดไหน พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมจากอังกฤษทีมแรกที่มีค่ำคืนสุดน่าอับอายในช่วงเกมยุโรปกลางสัปดาห์แบบนี้

 

ทาง UFA ARENA จะพาทุกท่านไปพบกับ 10 ทีมแดนผู้ดีโดนถลุงจนหมดสภาพนับตั้งแต่ยูโรเปี้ยน  คัพ ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในปี 1992

 

 

บาร์เซโลน่า 4-0 แมนยูไนเต็ด, 1994-95

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูปรับตัวเข้ากับฟุตบอลยุโรปได้ลำบากพอสมควรในยุคแรกๆของพรีเมียร์ลีก หลังต้องเจอเกมการเล่นที่ช้าลงและคู่แข่งเต็มไปด้วยแท็คติกมากกว่าในลีก บ่อยครั้งที่พวกเขาจะทำเกมได้เพียงมิติเดียวเท่านั้น แตกต่างจาก บาร์เซโลน่า คู่แข่งในปี 1994-95 ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นสุดแพรวพราว

 

ในเกมวันนั้น ปีศาจแดงต้องส่ง แกรี่ วอลส์ เป็นผู้รักษาประตูแทนที่ ปีเตอร์ ชไมเคิล เนื่องจากมีกฏห้ามผู้เล่นต่างชาติลงสนามเกิน 3 คน และมันก็ไม่ต่างจากฝันร้ายของเขา หลังต้องเผชิญหน้ากับ ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ และโรมาริโอ้ 2 ยอดหัวหอกของบาร์ซ่า ซึ่งช่วยกันกดไป 3 ประตู ก่อนที่ อัลเบิร์ต แฟร์เรอร์ จะมาบวกเพิ่มอีกลูกในเวลาต่อมา

 

 

สปาร์ตัก มอสโก 3-0 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, 1995-96

 

https://www.youtube.com/watch?v=pMEBLtvqzeo

 

นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ทีมอย่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส มีโอกาสได้โชว์ฝีเท้าในแชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีก่อน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของทีมกุหลาบไฟอย่างแท้จริงเช่นกัน หลังเก็บได้เพียงแต้มเดียวเท่านั้นใน 4 นัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม 

 

และที่แย่ที่สุดคงเป็นเกมที่พวกเขาบุกไปเยือน สปาร์ตัก มอสโก ถึง รัสเซีย เมื่อ แกรม เลอ โซ กับ เดวิด แบ็ตตี้ 2 แข้งของแบล็คเบิร์นกลับมาต่อยตีกันเองในสนาม แต่ยอดสโมสรจากแดนหมีขาวหาได้สนใจไม่ พวกเขาบุกจู่โจมตัวแทนจากอังกฤษอย่างไร้ความปรานี และเอาชนะไปได้แบบสบายๆ 3-0 

 

บาเลนเซีย 2-0 ลิเวอร์พูล, 2002-03

 

 

ผลสกอร์ของเกมนั้นอาจไม่ได้ช่วยให้บาเลนเซียกลับมาสร้างปรากฏการณ์ในฟุตบอลยุโรปได้เหมือนเมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้โดนทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ เล่นงานจนหมดรูป ซึ่งทำให้สโมสรแดงผู้ดีตัดสินใจแต่งตั้งกุนซือชาวสเแปนิชมาเป็นนายใหญ่ของทีมในอีก 2 ปีต่อมา

 

ไอ้ค้างคาวที่เป็นแชมป์ลาลีก้าได้แสดงให้ถึงความเป็นหนึ่งในวงการสเปนยุคนั้นด้วยการครองเกมตั้งแต่ช่วงตอนการแข่งขัน ประตูจาก ปาโบล ไอมาร์ และ รูเบน บาราฆ่า ช่วยให้ทีมขึ้นนำหงส์แดงหลังจบครึ่งแรก และ ใบแดงของ ดีทมาร์ ฮามันน์ ยิ่งทำให้โอกาสในการกลับมาสู่เกมของลิเวอร์พูลยากขึ้นเป็นเท่าตัว

 

 

อาร์เซน่อล 0-3 อินเตอร์ มิลาน, 2003-04

 

https://www.youtube.com/watch?v=WCfQGmUoOz0

 

แฟนบอลปืนใหญ่อาจะจดจำได้เป็นอย่างดีว่าทีมรักของพวกเขาบุกไปถล่ม อินเตอร์ มิลาน ได้ถึง  ซาน ซีโร่ ในฤดูกาล 2004-05 พร้อมกับลีลาสุดเทพของ เธียร์รี่ อองรี แต่ครั้งนึงอาร์เซน่อลก็เคยโดนงูใหญ่บุกมาเหยียบจมูกถึงถิ่นเช่นกัน

 

แม้ว่าทีมของ อาร์เซน เวนเกอร์ จะเป็นแชมป์ไร้พ่ายในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้น แต่ในเกมแรกของแชมเปี้ยนส์ลีกของรอบแบ่งกลุ่ม เนรัซซูรี่ ก็บุกมาถลุงถึงไฮบิวรี่ โดยตัวแทนจากอิตาลีได้ประตูจาก ฮูลิโอ้ ครูซ, แอนดี้ ฟาน เดอร์ เมย์เด้ และ โอบาเฟมี่ มาร์ติน ตั้งแต่ครึ่งแรก 

 

เอซี มิลาน 3-0 แมนยูไนเต็ด, 2006-07

 

https://www.youtube.com/watch?v=YNjqh6iPxko

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กุมความได้เปรียบอยู่พอสมควรในเกมตัดเชือกนัดสอง หลังเอาชนะเอซี มิลาน ในนัดแรกมาได้ 3-2 และมีโอกาสไม่น่อยที่จะเข้าไปดวลกับ ลิเวอร์พูล คู่อริตลอดกาลที่รอเล่นนัดชิงในกรุงเอเธนส์เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ทำอย่างที่หวังไม่ได้ เมื่อพบว่าไม่สามารถต้านความแข็งแกร่งของปีศาจแดงดำได้เลย

 

กาก้า โชว์ฟอร์มการเล่นได้โดดเด่นเกินใคร เมื่อซัดประตูที่ 10 ในแชมเปี้ยนส์ลีก หลังผ่านการแข่งขันไปแค่ 11 นาที และเป็นประตูตีเสมอให้รอสโซเนรี่ด้วย จากนั้น คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ก็เล่นงานแนวรับปีศาจแดง ยิงเพิ่มประตูที่ 2 ในเกมนั้น ก่อนที่ อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ จะยิงประตูเพื่มเป็นลูกที่ 3 ในฐานะตัวสำรอง

 

 

เรอัล มาดริด 4-0 สเปอร์ส, 2010-11

 

 

ประตูโทนจาก ปีเตอร์ เคร้าช์ ช่วยให้สเปอร์สเอาชนะ เอซี มิลาน และผ่านเข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ในแชมเปี้ยส์ลีกฤดูกาลแรกของพวกเขา ซึ่งแฟนบอลก็หวังว่าทีมรักจะทำผลงานได้แบบนัดที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กลับเป็นไก่เดือยทองที่โดน เรอัล มาดริด คู่แข่งในรอบต่อมา เล่นงานจนหมดโอกาสเข้ารอบตั้งแต่เกมแรก

 

เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ อดีตกองหน้าอาร์เซน่อล เยิกประตูแรกในเกมได้หลังผ่านไป  5 นาทีแรกของการแข่งขัน จากนั้นสเปอร์สก็ต้องลำบากกว่าเดิม เมื่อ เคร้าช์ โดนใบเหลืองที่ 2 ไล่ออกจากสนาม และในเวลาต่อมา โลส บลังโกส ก็ได้ประตูเพิ่มจาก อเดบายอร์ คนเดิม, อังเคล ดิ มาเรีย และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยที่ฝั่งทีมเยือนไม่มีโอกาสได้หือได้อือเลย

 

 

ยูเวนตุส 3-0 เชลซี, 2012-13

 

 

แค่ 6 เดือนหลังจากที่ได้ชูถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก เชลซีกลับเอาตัวแทบไม่รอดในรอบแบ่งกลุ่มของฤดูกาลต่อมา เมื่อพวกเขาทำผลงานได้อย่างย่ำแย่เตอนบุกไปเยือนตูริน และนี่เป็นช่วงแรกที่ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ถูกสื่อต่างๆคาดการณ์ว่าจะถูกปลดจากตำแห่งกุนซือของสิงห์บลู ทั้งๆที่เพิ่งได้สัญญาคุมทีมถาวรมาในซัมเมอร์นั้นไม่นาน

 

ส่วนยูเวนตุสที่รอต้อนรับตัวแทนจากอังกฤษ ก็พร้อมจัดหนักให้ในทันที และได้ประตูจาก ฟาบิโอ กวายาเรลล่า, อาร์ตูโร่ วิดัล และ เซบาสเตียน โจวินโก้ ในขณะที่เชลซีที่แม้ถล่ม นอร์ดเจลแลนด์ ไป 6-1 ใน 3 อาทิตย์ต่อมา ก็ไม่สามารถลบล้างตราบาปในนัดนี้ของ ดิ มัตเตโอ ได้แต่อย่างใด

 

 

ลิเวอร์พูล 0-3 เรอัล มาดริด, 2014-15

 

 

ภายใต้การดูแลของ แบรนเดน ร็อดเจอร์ส ลิเวอร์พูล กลับมาโลดแล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในฐานะทีมอับดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2013-14 และถึงแม้จะคว้าแชมป์ลีกมาครองไม่ได้ แต่ทิศทางโดยรวมของทีมอยู่ในด้านบวกมากๆ 

 

แต่ทว่า เรอัล มาดริด คู่แข่งของหงส์แดงที่บุกเยือนแอนฟิลด์ในนัด 3 ของรอบแบ่งกลุ่ม ได้แสดงให้เห็นถึงความห่างชั้นกัน ประตูของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ การเหมา 2 ลูกของ คาริม เบนซม่า ทำให้ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ เล่นได้ง่ายมากขึ้น ในขณะที่ทีมของบีร็อดก็ไม่สามารถทำอะไร โลส บลังโกส ได้เลยในครึ่งเวลาหลัง

 

 

บาเยิร์น มิวนิค 5-1 อาร์เซน่อล, 2015-16

 

 

ณ ช่วงปีท้ายๆที่ อาร์เซน เวนเกอร์ ดำรงตำแหน่งกุนซืออาร์เซน่อล บาเยิร์น มิวนิค กลายเป็นของแสลงของปืนใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก แทนที่ บาร์เซโลน่า ทั้ง 2 ทีมจะเจอกันค่อนข้างบ่อย และเป็นฝั่งตัวแทนจากเยอรมันที่คว้าชัยไปได้เกือบทุกครั้ง หนึ่งในนั้นคือเกมที่เสือใต้เปิดบ้านถล่ม เดอะ กันเนนอร์สไปเละเทะ 5-1 

 

แค่จบครึ่งแรกไป เจ้าบ้านก็ได้ประตูนำห่างไปแล้วถึง 3-0 จาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, โธมัส มูลเลอร์ และ ดาวิด อลาบา แม้สโมสรจากลอนดอนจะกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยจากประตูของ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ แต่รูปเกมก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แถมโดนเพิ่มอีก 2 เม็ดด้วยในเวลาต่อมา

 

บาร์เซโลน่า 4-0  แมนซิตี้, 2016-17 

 

https://www.youtube.com/watch?v=Rmx18IPIuIs

 

เกมนี้เปรียบเสมือนเป็นการต้อนรับกลับถิ่น คัมป์ นู ของ  เป็ป กวาร์ดิโอล่า ที่กำลังสร้างให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็นยอดทีมแห่งเกาะอังกฤษ หลังจากย้ายไปคว้าแชมป์กับบาเยิร์น มิวนิค ในช่วงสั้นๆ แต่ทว่ากุนซือเรือใบสีฟ้า ยังต้องใช้เวลาเพื่อคว้าแชมป์ยุโรปหนที่ 3 อีกพักใหญ่ เมื่อโดนบาร์เซโลน่ากดไป 4 เม็ด โดยที่ไม่สามารถทวงประตูคืนได้เลย

 

ลิโอเนล เมสซี่ สร้างความปั่นป่วนในแนวรับซิตี้จนหัวหมุน ก่อนที่ดาวเตะร่างเล็กจะซัดแฮตทริกได้ในครึ่งหลัง อีกทั้งทีมของกุนซือชาวสแปนิชก็แสดงความผิดพลาดง่ายๆออกมาบ่อยครั้ง  แถม เคลาดิโอ บราโว่ ยังถูกไล่ออกจากสนามอีก เมื่อไปคว้าบอลนอกกรอบเขตโทษ

 

แม้ เฌเรมี่ มาติเยอ จะถูกไล่ออกทำให้ผู้เล่นทั้ง 2 ฝั่ง กลับมาเท่ากันอีกครั้ง แต่ทีมเยือนก็ไม่สามารถหยุดเนย์มาร์ให้ทำประตูลูกที่ 4 ในเกมนั้นได้