ยากจะปฏิเสธ : 6 เหตุการณ์ที่ทำให้ มาราโดน่า เป็นตำนานวงการลูกหนัง

 

วันที่ 30 ตุลาคม ปี 1960 เป็นวันแรกที่ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก และเพิ่งฉลองครบรอบวันเกิดปีที่ 60 ไปเรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

 

เจ้าของฉายา ‘เสื้อเตี้ย’ ถูกยกหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพบมาในวงการฟุตบอล ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อาจยกระดับผลงานหรือสถิติต่างๆได้เหนือใครๆในปัจจุบัน รวมไปถึงแข้งในอดีตที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เช่น เปเล่ หรือ ซีเนเดีน ซีดาน แต่คงไม่มีใครที่เป็นทั้งอัจฉริยะและเป็นแบ็ดบอยได้มากเท่ากับ มาราโดน่า อีกแล้ว

 

เนื่องด้วยครบรอบวันเกิดอายุ 60 ปีของ มาราโดน่า UFA ARENA จึงพอพาไปพบกับ 7 เหตุการณ์ที่น่าจดจำของ ตำนานแข้งทีมชาติอาร์เจนติน่า และยากที่แฟนบอลหลายคนจะลืมเลือน

 

 

ประเดิมทีมชาติด้วยวัย 16

 

 

มาราโดน่า ลงเล่นเกมชุดใหญ่ให้กับ อารเตนตินอส จูเนียร์ ก่อนที่เขาจะอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์เพียง 10 วันเท่านั้น ต่อมาก็สามารถยิงประตูแรกให้ลีกสูงสุดแดนฟ้าขาวได้ 14 วันหลังจากวันเกิด

 

หลังจากลงเล่นในลีกเพียง 11 นัด เขากถูกเรียกติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่ยุค เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ โดยลงเล่นนัดแรกเป็นตัวสำรองในเกมอุ่นเครื่องพบ ฮังการี 

 

แม้จะได้ลงเล่นเพียง 4 นัดในทัพฟ้าขาว ก่อนฟุตบอลโลกปี 1978 เมน็อตติ ก็ตัดสินใจเรียก มาราโดน่า วัย 17 ปี ผู้มีประสบการณ์เพียงน้อยนิดลุยทัวร์นาเม้นต์ระดับโลกเป็นหนแรก ซึ่ง อาร์เจนติน่า ที่เป็นเจ้าภาพในครั้งนั้น คว้าแชมป์โลกมาครองได้เป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะ ฮอลแลนด์ ไป 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ เพียงแค่ มาราโดน่า ยังไม่ใช่แข้งตัวหลักเท่านั้น

 

แต่ เขาก็ฉายแววเยี่ยมในศึกฟุตบอลโลกเยาวชนปี 1979 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ ด้วยการพา อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์ พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในรายการนั้น ซึ่งมีแค่เขาและ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะรุ่นน้อง ที่คว้าทั้้งแชมป์และนักเตะยอดเยี่ยมในการแข่งขันระดับเยาวชนนี้

 

 

หัตถ์พระเจ้า และ ฟุตบอลโลกปี 1986 

 

 

แม้จะพลาดลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกปี 1978 มาราโดน่า ก็ลงเล่นในศึกนี้อีก 4 ครั้งต่อมา โดยลงเล่นไป 21 นัดให้ อาร์เจนติน่า ติดต่อกันในทัวร์นาเม้นต์ระดับโลกระหว่างปี 1982 ถึง 1994

 

เสือเตี้ย ทำไปทั้งหมด 8 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ โดยเขากดไปถึง 5 ลูกในปี 1986 และถือเป็นปีที่เขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมที่สุดในฟุตบอลโลก

 

มาราโดน่า ที่อยู่ในวัยเบญจเพสในตอนนั้น ได้รับมอบหมายจาก การ์ลอส บิลาร์โด้ โค้ชทีมชาติอาร์เจนติน่า ให้สวมปลอกแขนกัปตัน แทนที่ แดเนี่ยล ปาสซาเรลล่า 

 

ถึงจะอายุเพียง 25 ปี แต่การได้ย้ายไปเล่นให้ทั้ง บาร์เซโลน่า และนาโปลี ทำให้ มาราโดน่า มีประสบการณ์มากขึ้นจากเก่าหลายเท่าตัว และแทบจะแบกทีมคนเดียวด้วยซ้ำในรอบแบ่งกลุ่ม จนสามารถทะลุเข้าถึงรอบน็อคเอ้าท์ได้ 

 

หลังเอาชนะ อุรุกวัย ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาได้ ทัพฟ้าขาวก็มาพบกับ อังกฤษ ในรอบต่อมา ซึ่งเกิดเหตุการณ์ที่หลายคนรู้จักกันดีในนาม ‘หัตถ์พระเจ้า’ น่าเสียดายที่มันถูกพูดถึงมากกว่าฟอร์มการเล่นของ มาราโดน่า ในสนามวันนั้นที่ฉีกเกมรับของทีมสิงโตคำรามไม่ขาดวิ่น

 

มาราโดน่า เอาชนะ เบลเยี่ยม ในรอบตัดเชือกได้อย่างไม่ยากเย็นนักด้วยฝีเท้าของ มาราโดน่า ก่อนจะไปดวลกับ เยอรมันตะวันตก ในนัดชิงชนะเลิศที่มีจอมทัพสุดแกร่งอย่าง โลธาร์ มัธเทอุส แต่ท้ายที่สุดก็ต้านความอัจฉริยะของ เสือเตี้ย ไว้ไม่ได้ และเอาชนะทีมอินทรีเหล็กไปด้วยสกอร์ 2-0

 

 

เจ้าของค่าตัวสถิติโลก 2 หน

 

 

5 ปีกับการค้าแข้งให้ อาร์เจนตินอส จูเนียร์ส และ อีกหนึ่งฤดูกาลกับ โบคา จูเนียร์ส ที่คว้าแชมป์ลีกในปี 1982 แต่ด้วยฝีเท้าที่แสดงให้เห็นก็เพียงพอที่ มาราโดน่า จะได้รับความสนใจจากสโมสรในยุโรป

 

บาร์เซโลน่า เป็นฝ่ายที่คว้าตัวเขาไปได้สำเร็จหลังตกลงค่าตัวที่เป็นสถิติโลก 3 ล้านปอนด์ในตอนนั้น ซึ่งมากเกือบ 2 เท่าจากสถิติเดิมในปี 1978 ที่ เปาโล รอสซี่ ย้ายจาก ยูเวนตุส ไป วิเซนซ่า 

 

2 ฤดูกาลในสเปน มาราโดน่า มีปัญาหาอาการบาดเจ็บ, อาการป่วย และ ปัญหาความขัดแย้งในทีม ทำให้ บาร์ซ่า เชื่อว่าการปล่อย มาราโดน่่า ออกไปอิตาลี น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

 

นาโปลี ยอมทุ่มทุนกว่า 5 ล้านปอนด์เพื่อคว้า แข้งชาวอาร์เจนไหตน์ไปร่วมทีมในปี 1984 และการย้ายทีมครั้งนั้นได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของสโมสรจากเนเปิ้ลส์ไปตลอดกาล

 

 

พระเจ้าของชาวเนเปิ้ลส์

 

 

นาโปลี ถือยังคว้าแชมป์บอลถ้วยมาได้บ้างก่อนช่วงที่ มาราโดน่า จะย้ายมาร่วมทีม แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกมาครองได้เลยแม้แต่หนเดียว นับตั้งแต่ก้อตั้งสโมสรในปี 1926 

 

แต่ เจ้าฉายา ‘เสือเตี้ย’ คนนี้นี่แหละที่ทำให้ความฝันที่แฟนบอลชาวเนเปิ้ลรอคอยเป็นจริง พร้อมกับคว้าดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรได้ในฤดูกาล 1986-87 

 

หลังจากคว้ารองแชมป์ใน 2 ฤดูกาลต่อมา นาโปลี ก็คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 2 ในปี 1990 และครั้งสุดท้ายที่ทีมได้เชยชมถ้วยสคูเด็ตโต้ ก่อนที่ มาราโดน่า จะช่วยทีมชาติป้องกันแชมป์โลกที่ อิตาลี เป็นเจ้าภาพ

 

 

ทีมคู่ปรับซูฮก

 

 

น่าเสียดายที่ บาร์เซโลน่า ไม่มีโอกาสได้เห็นพรสวรรค์และฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาของ มาราโดน่า แต่ผลงานในบางนัดก็เพียงพอที่จะทำให้แฟนบอลในแดนกระทิงรับรู้ถึงความอัจฉริยะของเขาในสนาม

 

เรอัล มาดริด ทีมคู่อริตลอดกาลของ  บาร์ซ่า ก็ต้องการคว้าตัว มาราโดน่า มาค้าแข้งในยุโรป แต่ก็ต้องอกหักเมื่อทีมแคว้้นกาตาลันยอมจ่ายให้กับต้นสังกัดของเสือเตี้ยในอาร์เจนติน่ามากกว่า

 

ถึงจะเลือก อาซูลกราน่า เหนือ โลส บลังโกส มาราโดน่า ก็กลายเป็นนักเตะบาร์เซโลน่าคนแรกที่ได้รับเสียงปรบมือสรรเสริญจากแฟนบอลในซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เมื่อปี 1983 ซึ่งเขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ ในปีนั้นมาครอง

 

 

เสือเตี้ยขอล้างแค้น

 

 

ย้อนกลับไปในตอนที่ มาราโดน่า ยังค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า 1 ปีต่อมาในเบอร์นาเบว เขาพาทีมทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศศึก โกปา เดล เรย์ อีกครั้ง โดยหนนี้จะดวลกับ แอธเลติก บิลเบา และทั้้ง 2 ทีมนี้มีประวัติกันมาก่อน

 

ช่วงต้นฤดูกาล 1983-84 อันโดนี่ กอยโคเชีย เจ้าฉายา ‘จอมชำแหละแห่งบิลเบา’เสียบหนักใส่ จอมเทพอาร์เจนไตน์ จนได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้าอย่างรุนแรง อีกทั้งกองหลังเลือดบาสก์ ยังไม่รู้สึกผิดอะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และอ้างว่าเขาเกือบรองเท้าคู่ที่เสียบใส่ มาราโดน่า ไว้อย่างดีทีบ้านของเขา

 

ทั้ง 2 ทีมกลับมาดวลแข้งกันอีกครั้ง และเป็นฝ่ายบิลเบาที่คว้าแชมป์ครอง หลังจากแข้งของพวกเขาไล่หวดนอกเกมใส่ มาราโดน่า ตลอด 90 นาทีในสนามเบอร์นาเบว และแข้งอัจฉริยะร่างเล็กก็หาทางเอาคืนให้ได้

 

หลังสิ้นเสียงนกหวีด มาราโดน่า ที่หมดความอดทนไล่กระทืบแข้งฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง เพื่อน ๆ จากบาร์ซ่า ก็ช่วยกันตะลุมบอล โดยที่ ผู้ช่วยโค้ชของบิลเบาถูกเข่าลอยของเสือเตี้ยไปเต็มๆ ชนิดที่ว่าล้มทั้งยืนต่อหน้ากษัตริย์ ฆวน การ์โลส ที่ 1

 

นั่นถือเป็นนัดอัปยศที่สุดในถ้วยรายการนี้ และหลังจากนั้น มาราโดน่า ก็ย้ายไปสร้างความยิ่งใหญ่กับนาโปลีที่อิตาลี