ยิงโหดเหมือนโกรธใครมา : 10 ชัยชนะที่ท่วมท้นที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

 

ไม่มีใครคิดว่าเกมพรีเมียร์ลีกคู่วันศุกร์ที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์น่าสนใจเกิดอะไรขึ้น เมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องบุกไปพบกับ เซาแธมป์ตัน ในสนาม เซนต์ แมรี่

 

แต่หลายคนคิดผิถนัด เมื่อในเกมดังกล่าว ลูกทีมของ แบรนแดน ร็อดเจอร์ส เอาชนะคู่แข่งไปได้ถึง 9-0 ทำสถิติเทียบเท่ากับที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยทำไว้ในปี 1995 เลย

 

ทาง UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านไปย้อนดู 10 เกมที่ยิงประตูกันถล่มถลายมากที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้ง พรีเมียร์ลีก ขึ้นมาในปี 1992 ผ่านบทความนี้กัน

  

 

อาร์เซน่อล 7-0 เอฟเวอร์ตัน (2005)

 

 

อาร์เซน่อลทิ้งผลงานสุดน่าประทับใจกับฤดูกาลสุดท้ายใน ไฮบิวรี่ ซึ่งเป็นเกมเหย้านัดสุดท้ายของฤดูกาล 2004-05 เมื่อถลุง เอฟเวอร์ตัน ทีมที่คว้าอันดับ 4 ในปีนั้นด้วยสกอร์ 7-0  โดยได้ประตูทั้งจากนักเตะ 6 คน ก็คือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, โรแบร์ ปิแรส (2 ลูก) ปาทริค วิเอร่า, เอดู, เดนนิส เบิร์กแคมป์ และ ฟลาติเยอ ฟลามินี่

 

ส่วนทีมปืนใหญ่ในปีนั้นจบอันดับ 2 ตามหลังแชมป์อย่าง เชลซี ถึง 12 แต้ม ขณะที่ทีมท็อฟฟี่สามารถคว้าตั๋วเข้าไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟได้ แม้จะโดนอัดไปยับเยินในวันนั้น จริงๆต้องบอกว่าพวกเขาทำได้เกินคาดด้วยซ้ำ เนื่องจากต้องเสีย เวย์น รูนี่ย์ ให้กับปีศาจแดงในซัมเมอร์ปี 2004 หรือเพียงแค่เดือนเดียวหลังจากที่เอฟเวอร์ตันจบอันดับที่ 17 ในปีก่อน

 

 

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-8 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1999)

 

 

ทีมปีศาจแดงทำสถิติเป็นทีมเยือนที่ยิงประตูใส่คู่แข่งมากที่สุดของพรีเมียร์ลีก (แต่หลังจากนี้ไม่ใช่อีกแล้ว) หลังคว้าชัยได้ในถิ่น ซิตี้ กราวนด์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1999 โดย ดไวท์ ยอร์ค เป็นคนเบิกสกอร์แรกตั้งแต่ 2 นาทีแรก แม้อลัน โรเจอร์ส จะตามตีเสมอในเวลาต่อมา แต่ แอนดี้ โคล ก็มายิงประตูให้ยูไนเต็ดขึ้นนำอีกครั้งในชวงก่อนหมดครึ่งแรก 7 นาที 

 

ทว่า 10 นาทีต่อมาในครึ่ง สกอร์ที่อยู่แค่ 2-1 ในครึ่งแรก กลับเพิ่มขึ้นมาเป็น 4-1 หลัง 2 หัวหอกของปีศาจแดงกดเพิ่มอีกคนละลูก และโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ลงมาเล่นตั้งแต่นาทีที่ 72 ก็กดคนเดียว 4 เม็ดเน้นๆ ทำสถิติเป็นตัวสำรองที่ลงมายิงประตูได้มากที่สุดของพรีเมียร์ลีกจนถึงปัจจุบัน

 

ทีมเจ้าป่าของ รอน แอ็ตกินสัน ตกชั้นไปหลังจบฤดูกาลนั้น และพวกเขาก็ไม่เคยกลับขึ้นมาอีกเลย ขณะที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมประสบความสำเร็จคคว้าทริปเปิ้ลแชมป์เป็นทีมแรกในวงการลูกหนังแดนผู้ดี

 

 

 มิดเดิ้ลสโบรห์ 8-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2008)

 

https://www.youtube.com/watch?v=l4CCbZmc9HM

 

แม้ สเวน โกรัน อีริคสัน จะพาทีมแพ้อย่างน่าอายที่สนาม ลิเวอร์ไซด์ ซึ่งเป็นเกมที่พ่ายแก่ มิดเดิ้ลสโบรห์ ในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2007-08 อนาคตของเขาน่าจะถูกบอร์ดบริหารของเรือใบสีฟ้าตัดสินใจไปนานแล้ว หลังทำผลงานได้ย่ำแย่ตั้งแต่ช่วงคริสมาสต์เป็นต้นมา ทั้งๆที่เดือนพฤศจิกายน ยังรังอันดับ 3 ของตารางอยู่แท้ๆ

 

ในเกมนั้นสิงห์แดงได้ประตูจาก แฮตทริกของ อัลฟอนโซ่ อัลเวส, การเหมา 2 ของ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง และ การซัดคนละลูกของ อดัม จอห์นสัน, ฟาบิโอ โรเชมแบ็ค และ เฌเรมี่ อาลิยาดิแยร์ ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย

 

กุนซือชาวสวีดิชที่พาเรือใบจบอันดับ 9 ก็ถูก ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของสโมสรในตอนนั้น ปลดออกจากการทำหน้าที่ผู้จัดการทีม ขณะที่แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือโบโร่ พาทีมจบอับดับ 13 แต่ก็ต้องตกชั้นอีกครั้งในฤดูกาลต่อมา

 

 

เชลซี 8-0 วีแกน (2010)

 

 

เชลซีรู้ว่าชัยชนะในวันสุดท้านของฤดูกาลจะทำให้พวกเขากลับมาคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2006 แต่จริงๆพวกเขาไม่ได้ทำแบบผ่านๆขอไปทีซะทีเดียว

 

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ทำแฮตทริกได้ในเกมนั้น, นิโคล่าส์ อเนลก้า กดเพิ่มอีก 2 ขณะที่ แอชลี่ย์ โคล, โซโลมอน กาลู และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็ช่วยกันยิงเพิ่มใส่ วีแกน จนหาทางกลับบ้านแทบไม่ถูก และไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ เดอะ ลาติกส์ จะจบฤดูกาลด้วยลูกได้เสียที่ติดลบกว่า 42 ประตู

 

ส่วนสิงห์บลูในยุคของคาร์โล อันเชล็อตติ กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่ทำประตูใส่คู่แข่งไป 7 ลูกหรือมากกว่า ได้ถึง 4 ครั้งในฤดูกาลเดียว และยังเป็นสโมสรแรกที่ทำประตูได้เกิน 100 ลูกในพรีเมียร์ลีก หลังซัดไป 103 ประตูในปีนั้น

 

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 8-0 วัตฟอร์ด (2019)

 

 

หลังจากที่เคยโคนคู่แข่งอัดถึง 8 ลูกแล้ว มาในครั้งนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขอป็นฝ่ายทำแบบนั้นใส่คู่แข่งร่วมลีกของพวกเขาดูบ้าง

 

ประตูแรกที่เกิดขึ้นในเอติฮัด สเตเดี้ยม นั้นมาจากฝีเท้าของ ดาบิด ซิลบา ตั้งวินาทีที่ 52 เท่านั้น และเมื่อผ่านไป 18 นาทีต่อมา พวกเขาก็หนีห่างวัตฟอร์ดไป 5-0 หลังจากได้ประตูของ เซร์คิโอ้ อเกวโร่, ริยาด มาร์เรซ, แบร์นาโด้ ซิลวา และ นิโคลาส โอตาเมนดี้

 

โชคดีที่ แตนอาละวาด ได้มีโอกาสหายใจหายคอบ้าง แต่ทันทีที่เริ่มครึ่งหลังมาได้ 3 นาที เกมรับของพวกเขาก็พลาดท่าให้ซิตี้ จึงทำให้ แบร์นาโด้  ซิลวา ทำแฮตทริกได้ในช่วงชั่วโมงแรกของการแข่งขัน ก่อนที่ เควิน เดอ บรอยน์ จะยิงเพิ่มอีกในช่วง 5 นาทีสุดท้ายก่อนทดเวลา

 

 

เชลซี 8-0 แอสตัน วิลล่า (2012)

 

 

พอล แลมเบิร์ต พาแอสตัน วิลล่า พบกับความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับที่สุดของสโมสรในศึกพรีเมียร์ลีก หลังบุกไปเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2012 และมันอาจจะดูแย่กว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้า ลูคัส เปียซอน ไม่ยิงจุดโทษพลาดในนาทีที่ 89  

 

    หลังจากที่เอาชนะลิเวอร์พูลได้อย่างเหนือความคาดหมาย 3-1 เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ทำให้แข้งสิงห์ผงาดต่างเต็มไปด้วยความมั่นใจสุดๆ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ เฟร์นานโด ตอร์เรส เปิดลูกแรกให้เชลซีในนาทีที่ 3 จากนั้้น ดาวิด ลุยซ์ และ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ก็มาบวกเพิ่มนละลูก ก่อนหมดครึ่งแรก ก่อนที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด, รามิเรส (2 ลูก), ออสการ์ และ เอเด็น อาซาร์ จะยิงให้สิงห์บลูอีกในครึ่งหลัง

 

นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่นักเตะกว่า 7 คนจาก  1 ทีมจะสามารถทำประตูในเกมพรีเมียร์ลีกได้ นอกจากนี้นี่ยังเป็นชัยชนะที่ขาดลอยมากที่สุดของ ราฟาเอล เบนิตเซ ในช่วงที่คุมทีมในอังกฤษ ทำลายสถิติเดิมที่เขาเคยทำไว้ในเกมที่ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ไป 6-0 ในปี 2007

 

 

นิวคาสเซิล 8-0 เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ (1999)

 

 

รุด กุลลิท เซ็นใบลาออก หลังพานิวคาสเซิลโชว์ฟอร์มแย่ แพ้ไปถึง 4 จาก 5 เกมแรกในฤดูกาล 1999-2000 และเปิดโอกาสให้ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมแทนในเดือนกันยายน ซึ่งเขาพาทีมพ่ายไปก่อนใน  2 นัดแรก แต่เมื่อปู่บ็อบได้ทำทีมใน เซนต์ เจมส์ ปาร์ค เป็นครั้งแรก เขาก็ทำให้สาวก เดอะ แม็กพายส์ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยถลุง เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ไปแบบขาดลอย 8-0

 

อลัน เชียเรอร์ กองหน้าตัวเก่งของสาลิกาดง เหมาคนเดียว 5 ประตู (จุดโทษ 2 ลูก) จากนั้นก็ได้เพิ่มประตูจาก อารอน ฮวจ์, คีรอย ดายเออร์ และ แกรี่ สปีด แต่ท้ายที่สุดผลงานโดยรวมก็อยู่ในระดับกลางๆ  เมื่อพวกเขารั้งอังดับที่ 12 หลังสิ้นสุดฤดูกาลนั้น

 

 

สเปอร์ส 9-1 วีแกน (2009)

 

 

สเปอร์สคว้าอันดับที่ 4 ไปครองได้ในฤดูกาล 2009-10 นั่นหมายความว่า พวกเขาจะผ่านเข้าไปเล่นในรายการยุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962 เลย แต่ผลสกอร์ในนัดนี้ก็เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กับการคว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกเลย

 

ในวันนั้น ไก่เดือยทองขึ้นนำวีแกนไปเพียง 1-0 เท่านั้นจาก ปีเตอร์ เคร้าช์ ในนาทีที่ 9 หลังจบครึ่งแรก แต่ไม่รู้ว่าแฮร์รี่ เร้ดแนปป์ กระตุ้นอะไรลูกทีมในช่วงพักครึ่ง เพราะในช่วงเวลาที่เหลือ แข้งสเปอร์สจัดหนักใส่ เดอะ ลาติกส์ ไม่มียั้ง โดยเจอร์เมน เดโฟ เหมาคนเดียว 4 เม็ด ส่วน อารอน เลนน่อน, ดาวิด เบนท์ลี่ย์ และ นิโก้ ครานชาร์ บวกเพิ่มอีกคนละลูก

 

นี่เป็นครั้งที่ 2 ในพรีเมียร์ลีกที่มีการยิงกันถึง 9 ประตูจากฝั่งเดียว และเป็นครั้งที่ 3 ที่มีผู้เล่นยิงประตูในเกมเดียวกันถึง 5 คน อย่างไรก็ตาม วีแกนที่โดนกดไปเละเทะก็สามารถอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุดแดนผู้ดีได้ โดยมีแต้มเหนือโซนตกชั้นอยู่ 6 คะแนนด้วยกัน

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 9-0 อิปสวิช (1995)

 

 

หลายคนคงจะลืมไปแล้วว่า อิปสวิช เคยพลิกล็อกเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไป 3-2 ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 นัดที่พวกเขาคว้าชัยได้ในปีนั้นก่อนจะจมอันดับบ๋วยของลีกและตกชั้นไป  

 

และอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าเกมนัดนี้ทำสถิติยิงประตูมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกขึ้นมา โดยประตูจาก แอนดี้ โคล 5 ลูก, มาร์ค ฮิวจ์ 2 ลูก, รอย คีน และ พอล อินซ์ อีกคนละลูก แถมนี่ยังเป็นชัยชนะมากที่สุดที่ปีศาจแดงเคยทำได้ในรอบ 103 ปีของสโมสรด้วย น่าเสียดายที่ปีนั้น พวกเขาพลาดท่าเสียแชมป์พรีเมียร์ลีกไปให้กับ แบล็คเบิร์น ในตอนท้าย

 

 

เซาแธมป์ตัน 0-9 เลสเตอร์ (2019)

 

 

หนึ่งปีก่อนหน้านี้ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องเสีย คุณ วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรที่เป็นที่รักของแฟนบอลจิ้งจอก จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกใกล้กับ คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม มาในตอนนี้ แฟนๆได้ถือผ้าพันคอสีขาวเพื่อเป็นเกียรติเขา และเหล่า เดอะ ฟ็อกซ์ ก็รวมพลังกันอุทิศชัยชนะครั้งนี้ให้กับคุณวิชัยด้วยการถล่ม เซาแธมป์ตันไปแบบขาดลอย

 

ทีมนักบุญตามหลังตั้งแต่ 10 นาทีแรก ด้วยฝีเท้าของ เบน ชีเวลล์ และอีก 2 นาทีต่อ พวกเขาก็เหลือผู้เล่นเพียง 10 คน เมื่อ ไรอัน เบอร์ทรานด์ ถูกไล่ออก เมื่อพิจารณาภาพช้าจาก VAR และหลังจากนั้น มหกรรมการรุมอัดแข้งเซาแธมป์ตันคาถิ่น เซนต์ แมรี่ส์ ของเลสเตอร์ ก็เริ่มขึ้น

 

อโยเซ่ เปเรซ และ เจมี่ วารดี้ เป็น 2 แข้งของทีมจิ้งจอกที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนั้น ส่วนกองกลางตังเก่งอย่าง ยูริ เตเรมันส์ และ เจมส์ แมดดิสัน ก็ซัดเพิ่มคนละประตู จนทำให้ทำสถิติเป็นชัยชนะที่ท่วมท้นที่สุดของทีมเยือนในพรีเมียร์ลีกไปครอง