แม้ไม่ได้ร่วมงานกันแล้วที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สงครามน้ำลายระหว่าง พอล ป็อกบา และ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ยังดำเนินต่อไป
ในช่วงที่กุนซือชาวโปรตุกีส กุมบังเหียน ‘ปีศาจแดง’ กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส เป็นนักเตะรายแรก ๆ ที่เขาดึงมาเสริมทัพในปี 2016 และกลายเป็นนักเตะคู่ใจของเขาในแดนกลางที่พาทีมกวาดแชมป์บอลถ้วย 2 รายการในฤดูกาลแรกกับทีม
อย่างไรก็ตาม ด้วยฟอร์มการเล่นที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของ ป็อกบา ทำให้เขาถูกวิจารณ์ไม่น้อย ในปีต่อมา แม้ ‘เดอะ สเปเชียล วัน’ คอยออกมาปกป้องในหลาย ๆ ครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปท่าทีที่เคยดีต่อกันกลับค่อย ๆ หายไปจนหลายคนสังเกตุว่าความสัมพันธ์ของทั้ง 2 เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ถึงไม่เคยออกมาพูดตรง ๆ ว่าเกลียดกัน แต่ภาษากายและสิ่งที่เอ่ยออกมาผ่านสื่อในแต่ละครั้ง รวมถึงหนล่าสุด บ่งบอกว่า มูรินโญ่ และ ป็อกบา ไม่ใช่อดีตเจ้านายกับลูกน้องที่ยังรักใคร่ และ อยากกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งแน่นอน
UFA ARENA จึงขอพาย้อนไทม์ไลน์ความสัมพันธ์ของ มูรินโญ่ และ ป็อกบา ตั้งแต่ช่วงหยอดคำหวานใส่กัน ก่อนจะแตกหักแบบจนไม่อาจกลับมาดีดั่งเดิมได้จนถึงตอนนี้
ลูกทีมคนสำคัญ
เมื่อครั้งที่ ป็อกบา ย้ายจาก ยูเวนตุส กลับมา ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวสถิติโลก 89 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์ปี 2016 เจ้าตัวเอ่ยปากทันทีว่าตนเฝ้ารอที่จะได้ร่วมกับ โชเซ่ มูรินโญ่
ขณะที่กุนซือชาวโปรตุกีส ที่ออกปากชมลูกทีมคนใหม่ ณ ตอนนั้นว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลก และจะเป็นกุญแจสำคัญในทีมที่เขาจะสร้างขึ้นในอนาคตแน่นอน
ป็อกบา ใช้เวลาไม่นานก็ฉายฟอร์มเก่งในเกมนัดสองของเขาที่เอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-0 ในเดือนสิงหาคมปี 2016 ด้วยการทำสถิติจ่ายบอล, สัมผัสบอล, โอกาสยิง และดวลคู่แข่งได้มากกว่าเพื่อนร่วมทีมทุกคนในเกมนั้น
แม้ฟอร์มการเล่นอาจขึ้น ๆ ลง ๆ ในเวลาต่อมา แต่ นายใหญ่แดนฝอยทอง ก็ออกมาปกป้องให้ลูกทีมคนสำคัญตลอด พร้อมจัดเต็มใส่พวกสื่อแบบเจ็บแสบเช่นกัน
“อย่างแรกเลย ปากของพวกเขาบางคนที่บอกว่าเขาเป็นนักเตะที่แย่ที่สุด กลายเป็นยอดแข้งภายใน 48 ชั่วโมง เรารู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่ดีมาก ๆ เรารู้ว่าเขาต้องการเวลาสักพักเพื่อแสดงศักยภาพของเขาออกมา” มูรินโญ่ กล่าวในเดือนตุลาคมปี 2016 หลังเกมถล่ม เฟเนร์บาห์เช่ 4-1
นอกจากคอยออกมาปกป้องฟอร์มการเล่นที่โดนวิจารณ์บ่อย ๆ มูรินโญ่ มั่นใจว่า ป็อกบา มีศักยภาพในการเป็นผู้นำของทีมปีศาจแดงอีกด้วย
“เขามีเสน่ห์ ความทะเยอทะยาน จิตใจที่มุ่งมั่น และมีความเป็นมืออาชีพที่ดีเยี่ยม” มูรินโญ่ กล่าวในเดือนมกราคมปี 2017
ความสัมพันธ์ชวนสงสัย
มิดฟิลด์เลือดน้ำหอมและ มูรินโญ่ จบฤดูกาล 2016-17 ซึ่งเป็นปีแรกกับ ยูไนเต็ด ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ และ ยูโรป้า ลีก ขณะที่อันดับในลีกอยู่ 6 โดยที่ ป็อกบา ได้ลงเล่นไปทั้งหมด 51 นัดทุกรายการ แต่ฟอร์มโดยรวมก็ยังไม่ดีพอที่สยบเสียงวิจารณ์ได้
ทางฝั่ง ป็อกบา ก็ยังออกมาชื่นชม มูรินโญ่ และยืนยันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังดีเยี่ยมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง กับช่วง 1 ปีที่ได้ร่วมงานกัน
“โดยส่วนตัว เขายินดีกับผม เรามีการพูดคุยและผมมีความรู้สึกที่ดีตั้งแต่แรก เขาไว้ใจและคอยปกป้องผม นั่นคือทั้งหมดที่ผู้เล่นต้องการ” ป็อกบา กล่าวในเดือนมิถุนายนปี 2017
ทว่าหลังเริ่มฤดูกาล 2017-18 ได้เดือนเดียว เดอะ ซัน สื่อจอมแฉในแดนผู้ดี เผยว่า มูรินโญ่ ไม่ปลื้มเท่าไหร่ที่ ป็อกบา บินไปรักษาตัวที่ ไมอามี่ แทนที่จะอยู่ใน แมนเชสเตอร์ ตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังออกมายกย่องลูกทีม หลังกลับมาช่วงทีมถล่ม นิวคาสเซิล 4-1 ในเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ป็อกบา มีปากเสียงกับ มูรินโญ่ ข้างสนาม หลังถูกเปลี่ยนตัวออกในเกมพ่าย สเปอร์ส เดือนมกราคมปี 2018 ก่อนถูกดร็อปเป็นตัวสำรองในเกมเอาชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ นัดต่อมา
ถึง อดีตกุนซือเชลซี จะออกปากชมความเป็นมืออาชีพของ ป็อกบา แต่ เดอะ ซัน เจ้าเก่าก็ขุดมาแฉอีกรอบในเดือนมีนาคมปี 2018 ว่า ทั้ง 2 คน แทบไม่พูดคุยกันเลย และสื่อสารกันผ่านทาง รุย ฟาเรีย ผู้ช่วยผู้จัดการทีมแทน ท่ามกลางข่าวลือว่า อดีตกองกลาง ม้าลาย อาจโดนขายทิ้งในซัมเมอร์นี้
รอยร้าวที่ชัดเจน
ยูไนเต็ด ในปีที่ 2 ของมูรินโญ่ และ ป็อกบา จบลงแบบไร้ถ้วยรางวัล และทำได้เพียงอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ก่อนที่ กองกลางจอมตัดผมจะคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศส
แม้มีรายงานว่า ป็อกบา ไม่พอใจที่ มูรินโญ่ วิจารณ์เขาในช่วงเล่นกับ ทัพตราไก่ เขาก็ได้รับความไว้วางใจให้ส่วมปลอกแขนกัปตันทีมในเกมนัดเปิดสนามฤดูกาล 2018-19 พบ เลสเตอร์ พร้อมยิง 1 ประตู ช่วยให้เอาชนะไป 2-1 โดยที่เจ้าตัวยืนยันหลังจากนั้น เขาพร้อมทุ่มเทเต็มที่ให้กับคนที่มั่นใจในตัวเขา
อย่างไรก็ดี ข่าวลือเรื่อง ป็อกบา อยากย้ายซบ บาร์เซโลน่า ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ เดอะ ซัน โยกไปเล่นประเด็นความสัมพันธ์กับ มูรินโญ่ ว่าตกต่ำลงไปอีกขั้นแล้ว
มูรินโญ่ รีบออกมาให้สัมภาษณ์กับ สกาย สปอร์ต ทันที ในเดือนสิงหาคมว่า ข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริง และเขากับ ป็อกบา ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันอย่างที่พูด ๆ กัน
“ผมไม่เคยมีความสุข (กับป็อกบา) เท่ากับตอนนี้อีกแล้ว ผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้พูดเพื่อผมเอง ผมกำลังพูดเพื่อเขา มันไม่จริงเลยที่เรามีปัญหาในระหว่างสัปดาห์”
ยูไนเต็ดเริ่มต้นฤดูกาลด้วยความปั่นป่วนและ ป็อกบาแสดงความไม่พอใจกับกลยุทธ์ของยูไนเต็ดหลังจากเปิดบ้านพบกับวูล์ฟส์
“เราเล่นในบ้านและเราควรเล่นได้ดีกว่านี้มากกับวูล์ฟส์ เมื่อเราเล่นในบ้านก็เราควรโจมตี โจมตีโจมตี เข้าไว้ นั่นคือ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เราอยู่ที่นี่เพื่อโจมตี ผมคิดว่าทีมต่าง ๆ คงหวาดกลัวเมื่อเห็น แมนยูไนเต็ด บุกและโจมตี นั่นคือความผิดพลาดของเราในวันนี้”ป็อกบา กล่าวหลังเกม
ขณะเดียวกัน มูรินโญ่ ก็ออกมาตอบโต้ ป็อกบา เช่นกัน ว่าไม่มีทางได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมอีกแน่นอน “คนเดียวกับที่ตัดสินใจว่า พอล ไม่ใช่กัปตันคนที่สองอีกต่อไปคือคนเดียวกับที่ตัดสินใจว่าพอลเป็นกัปตันคนที่สอง ก็คือผมไง”
“ผมเป็นผู้จัดการที่สามารถตัดสินใจเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ เลย แค่เป็นการตัดสินใจที่ผมไม่ต้องอธิบายอะไร”
อีกทั้งมีภาพที่ ป็อกบา และ มูรินโญ่ มีปากเสียงกันช่วงซ้อมในเดือนกันยายนอีก นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่มีรอยร้าวมากมายให้เห็นแล้ว ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ว่าจะทำให้ความสัมพันธ์นี้แตกหักลงเมื่อไหร่ก็เท่านั้น
แตกหักโดยสมบูรณ์
เรื่องราวใหญ่โตกว่าเดิม เมื่อ ยูไนเต็ด หล่นไปอยู่ที่ 7 หลังเสมอกับ เซาแธมป์ตัน แบบไร้สกอร์ในเดือนธันวาคมปี 2018 และคนที่ มูรินโญ่ ไม่ปลื้มที่สุดก็หนีไม่พ้น ป็อกบา โดยมีแหล่งข่าวในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้แฉกับ เดอะ ซัน อย่างน่าสนใจ
“โชเซ่ บอกว่า ป็อกบา เป็นเหมือนไวรัสร้ายต่อหน้าผู้เล่นทุกคน เขาบอกว่า ‘นายเป็นเหมือนคนที่เป็นไข้หวัดใหญ่หรือมีไวรัสในห้องปิดตาย และส่งต่อไวรัสให้กับคนอื่น ๆ’”
“เขายังบอกอีกว่า ‘’นายไม่ได้เล่นแน่ นายไม่เคารพผู้เล่นคนอื่น ๆ และแฟน ๆ เลย และนายทำลายจิตใจที่ดีของคนรอบ ๆ ตัว”
แต่มีหรือที่ ป็อกบา จะยอมอยู่ฝ่ายเดียว เขาออกบ่นถึงแทคติกกุนซือชาวโปรตุกีส อีกครั้ง ซึ่งทำให้เขาไม่ได้บอลจากเพื่อนร่วมทีม ชัดเจนแล้วว่าความสัมพันธ์ที่ดีของพวกเขาจบลงเรียบร้อย และยากจะต่อติดให้เหมือนเดิมได้ดั่งเคย
เกมสุดท้ายของ มูรินโญ่ ในการคุมปีศาจแดง คือนัดที่พ่าย ลิเวอร์พูล คู่อริถึง 3-1 ในเดือนธันวาคม โดยให้ ป็อกบา เป็นตัวสำรองที่ไม่ใช้งานในวันนั้น ก่อนโดนปลดในวันต่อมา
อีกทั้งในวันที่ มูรินโญ่ โดนเด้งพ้นตำแหน่งกุนซือ ‘ปีศาจแดง’ ป็อกบาโพสต์ในทวิเตอร์และ อินสตราแกรมส่วนตัวว่า ‘ตั้งแคปชั่นให้ที’ พร้อมกับรูปใบหน้าของเขาที่ดูมีเลศนัยชัดเจน ก่อนลบโพสต์ทิ้งไปในเวลาต่อมา
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เข้ามารับช่วงต่อแทนที่ มูรินโญ่ พร้อมกับช่วยให้ ป็อกบา ทำผลงานได้ดีขึ้นตามลำดับ และที่สำคัญ กุนซือชาวนอร์เวย์ ไม่เคยออกมาวิจารณ์ กองกลางชาวฝรั่งเศส แบบเสียหายแม้แต่หนเดียวตลอดการคุมทีมช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงนักเตะคนอื่น ๆ ใน ยูไนเต็ด ด้วย
ขณะที่ มูรินโญ่ หลังว่างงานเกือบปี ก็เข้ามาคุม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในปี 2019 แทนที่ เมารืซิโอ โปเช็ตติโน่ แต่ก็ยังทำทีมได้ไม่สมกับที่ ‘ยิด อาร์มี่’ คาดหวัง หลังต้องลุ้นหนักในการขึ้นไปคว้าท็อปโฟร์
สงครามน้ำลายครั้งใหม่
ทั้งมูรินโญ่ และ ป็อกบา ได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะคู่แข่งกับเกมที่ ยูไนเต็ด บุกไปอัดไกเดือยทองถึงถิ่น 3-1 ในเดือนเมษายน ซึ่งกองกลางแดนน้ำหอมเป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้โดดเด่นในสนาม เช่นเดียวกับ ลุค ชอว์ อดีตแข้งเก่าอีกคนที่ น้ามู เคยวิจารณ์ออกสื่อแบบไม่ไว้หน้า แต่โชว์ฟอร์มเยี่ยมในเกมนี้
หนึ่งสัปดาห์หลังเกมนั้น ป็อกบา ได้ออกมาพูดถึง มูรินโญ่ พร้อมกับเปรียบเทียบกับ โอเล่ ว่าแตกต่างกันสิ้นเชิงในแง่การดูแลลูกทีม พร้อมเล่าย้อนถึงความสัมพันธ์ที่เขาก็ไม่เข้าใจว่ามันแย่ลงได้อย่างไร
“สิ่งที่ผมได้จาก โอเล่ ในตอนนี้มันแตกต่างกัน เขาไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับลูกทีม เขาไม่เคยทะเลาะกับนักเตะ” อดีตแข้ง ม้าลาย กล่าวกับ สกาย สปอร์ต
“บางทีการที่ โอเล่ ไม่เลือกพวกเขาลงสนาม แต่มันไม่ใช่ว่าเขาทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน นั่นเป็นเรื่องที่แตกต่างระหว่าง มูรินโญ่ กับ โอเล่ ครั้งหนึ่งผมมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับ มูรินโญ่ ทุกๆ คนก็เห็นกันอยู่แล้ว และถัดมาอีกวันคุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“นั่นเป็นเรื่องแปลกๆ ที่ผมเจอตอนที่ผมอยู่กับ มูรินโญ่ และผมไม่สามารถอธิบายได้กับพวกคุณได้เลย เพราะตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ทางด้าน มูรินโญ่ ก็ออกมาตอบโต้แบบแสบใช่ย่อยเหมือนกัน โดยระบุสั้นๆ แต่ได้ใจความว่าไม่สนใจเรื่องไร้สาระจากนักเตะคนนี้เลยซักนิด
“ผมอยากจะบอกว่าผมไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดเลย ผมไม่แคร์จริงๆ มันไม่มีอะไรที่น่าสนใจแม้แต่นิดเดียว” กุนซือฉายา เดอะ สเปเชียล วัน กล่าวหลังเกมเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 2-2
ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของ ป็อกบา และ มูรินโญ่ แตกหักจนไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะกลับมาชื่นชมกันและกัน หรือร่วมอีกเป็นครั้งที่ 2
และสงครามน้ำลายระหว่าง กุนซือฝีเท้ากล้ากับนักเตะจอมตัดผม ในครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน
