ย้อนรอย! 5แข้งดังสักถ้วยแชมป์

“ความทรงดีๆ มักจะไม่มีใครที่จะอยากจะลืมเลือน”

 

คนปกติทั่วไปอาจบันทึกเป็นวีดีโอ หรือ รูปภาพ เพื่อระลึกถึงวันวานยังหวานอยู่ แต่ถ้าอารมณ์ศิลปินหน่อยก็อาจจะเรคคอร์ดเรื่องราวผ่านงานศิลปะ อย่างเช่นการ “แทททู” ไว้บนเรือนร่างราวเพื่อจารึกให้อยู่กับเราไปจนวันตาย

 

นักฟุตบอลก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ส่วนใหญ่หลงรักกับ “งานสัก” หลายคนอาจเอาแค่ความสวยงาม แต่ก็มีไม่น้อยที่เอาเรื่องราวในชีวิตจริง มาประดับอยู่บนสรีระแบบเต็มไปหมด

 

อย่างล่าสุด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมคนเก่งของ ลิเวอร์พูล เพิ่ง “แทททู” ถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 6 ของทีม “หงส์แดง” ไว้ที่ขาข้างซ้าย

 

ทว่า “เฮนโด้” ไม่ใช่คนแรกที่ทำแบบนี้ วันนี้ถือโอกาสดีมีเรื่องเล่า ขอย้อนเวลาพาไปชมว่ามีนักเตะคนไหนบ้าง ที่เวลาได้แชมป์ แล้วเลือกบันทึกภาพ “โทรฟี่” ไว้ในร่างกายตัวเอง

Sergio Ramos and tattoo

1.เซร์คิโอ รามอส

 

ปราการหลังของ เรอัล มาดริด และทีมชาติสเปน เป็นหนึ่งในนักเตะที่เสพติดการสักมากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าตรงไหนของร่างกายถ้า “แทททู” ได้ดาวเตะวัย 33 ปีแทบไม่ปล่อยให้มันขาวใสแต่อย่างใด

 

ส่วนการสักโทรฟี่แชมป์ รามอส เริ่มตั้งแต่แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 กับทีมชาติสเปน ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ไว้ที่ขาขวา ก่อนสัญญาว่าจะสักเพิ่มอีกถ้าได้ถ้วยบิ๊กเอียร์อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

 

ซึ่งในปี 2014 หลังพาทีมเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เจ้าตัวก็ได้สักโทรฟี่ยูซีแอล ไว้ที่ขาซ้าย พร้อมโพสต์ไอจีส่วนตัวว่า “ตามสัญญา! ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก อยู่ในผิวของผมและในใจผมเรียบร้อยแล้ว”

2.มาร์เซโล่

 

มาร์เซโล แบ็กซ้ายจอมเทคนิคก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะของ เรอัล มาดริด ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบในเรื่องของ “รอยสัก”

 

เจ้าตัวประเคนน้ำหมึกใส่ตัวอยู่หลายจุด ทว่าการ “แทททู” บิ๊กเอียร์ไม่รู้ว่าได้แรงบันดาลใจจาก เซร์คิโอ รามอส หรือไม่ เพราะเริ่มทำครั้งแรกในปีเดียวกันคือ 2014

 

ทว่าที่อัพเดตกว่าของดาวเตะแซมบ้า คือเจ้าตัวมีการสลักปีที่ได้แชมป์เพิ่มขึ้นในทุกๆ ครั้งที่ประสบความสำเร็จในรายการนี้ โดยไล่เรียงตั้งแต่ 2014, 2016 และ 2017 ส่วน 2018 ก็น่าจะสลักเพิ่มไปแล้ว แต่ยังไม่มีรูประบุให้เห็นเท่านั้นเอง

3.เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์

 

ช่วงเวลาที่ เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์ พีกที่สุดในอาชีพค้าแข้ง ตอบได้ไม่ยากเลยว่าเป็นสมัยที่เจ้าตัวค้าแข้งอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน ยุคที่มียอดกุนซือย่าง โจเซ่ มูรินโญ่ เป็นคนคุมบังเหียน

 

ฤดูกาล 2009-10 ดาวเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ สามารถพาทีม “งูใหญ่” คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ทั้ง เซรี่ อา อิตาลี, โคปปา อิตาเลีย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แถมยังพาทีม “กังหันลม” เข้าถึงรอบชิงฟุตบอลโลก 2010 ที่แพ้ต่อ สเปน ไปอย่างน่าเสียดาย

 

สไนจ์เดอร์ ไม่รอช้าเขาเลือกสักถ้วยบิ๊กเอียร์ไว้ที่ซี่โครงฝั่งขวาอยู่เหนือรูปหน้า “ไมเคิ่ล แจ็คสัน” ศิลปินที่เขาชื่นชอบเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น

Winner: Grosskreutz's new tattoo takes pride of place next to his Bundesliga and DFB-Pokal tattoos.

4.เควิน โกรสครอยซ์

 

เป็นนักเตะอีกคนที่มีสไตล์ชัดเจนว่าความสำเร็จในเชิงลูกหนัง ต้องมาประดับอยู่ในเรือนรางของเขาสำหรับดาวเด๊อยช์ลันด์อย่าง เควิน โกรสครอยซ์

 

โดยดาวเตะวัย 30 ปี ที่ปัจจุบันตกต่ำต้องลงไปเล่นในลีกา 3 เยอรมัน กับทีม เออร์ดิงเก้น 05 เคยมีช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์สมัยเล่นให้กับ ดอร์ทมุนด์ ซึ่งคว้าแชมป์ได้ทั้งบุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล ซึ่งเจ้าตัวก็ได้สักทั้ง 2 ถ้วยไว้บนด้านหลังไหล่ซ้าย

 

ในปี 2014 โกรสครอยซ์ ได้สลักถ้วยเพิ่มอีกใบ หลังมีชื่อเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติเยอรมัน ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 โดยตลอดทัวร์นาเมนต์เจ้าตัวไม่ได้ลงเล่นเลยแม้แต่นาทีเดียว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ neymar tattoo ucl

5.เนย์มาร์

 

ซูเปอร์สตาร์คนดังจากแดนแซมบ้า ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ในปี 2015 สมัยที่ค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า และเป็น 3 ผสานสุดโหด “MSN” กับ หลุยส์ ซัวเรซ และ ลิโอเนล เมสซี่

 

ทว่ารอยสักถ้วยแชมป์ยูซีแอล ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากจบนัดชิง เนย์มาร์ มาสักโทรฟี่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2018 สมัยที่เจ้าตัวได้ย้ายมาอยู่กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยค่าตัวสถิติโลก 198 ล้านยูโร

 

รอยสักบิ๊กเอียร์ อยู่ข้างขวาของ เนย์มาร์ ก่อนเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่จะเจอกับ เรอัล มาดริด โดยเจ้าตัวหวังจะสักถ้วยแชมป์เพิ่มอีกตามความสำเร็จของตัวเอง

 

ทว่าตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา เนย์มาร์ อย่าว่าแต่ได้แชมป์เพิ่มเลย แค่เฉียดเข้าไปชิงชนะเลิศ ยังไม่เคยได้ลุ้นเลย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ mark clattenburg tattoo

6.มาร์ค แคลตเทนเบิร์ก

 

ไม่ใช่แค่นักเตะเท่านั้นที่ภูมิใจกับความสำเร็จของตัวเอง แม้แต่ผู้ตัดสินการได้ทำหน้าที่ในเกมสำคัญของโลก ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่นำมาถ่ายทอดเป็นรอยสักบนร่างกายได้เช่นกัน

 

เคสนี้เกิดขึ้นกับยอดผู้ตัดสินของเมืองผู้ดีอย่าง มาร์ค แคลตเทนเบิร์ก ที่ลงมือสักถ้วยยูซีแอล และถ้วยยูโร ไว้ที่ข้อมือของตัวเอง หลังในปี 2016 เจ้าตัวป๊อปจัดได้ลงเป่านัดชิงชนะเลิศทั้ง เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูโร 2016 อีกด้วย