ย้ายจากพี่ได้ดีอยู่นะ! 6 แข้งฟอร์มพุ่งหลังออกจากเชลซี

อัลบาโร่ โมราต้า เพิ่งตัดสินใจย้ายหนี เชลซี ไปซบตัก แอตเลติโก มาดริด หลังไม่สามารถงัดฟอร์มที่น่าประทับใจออกมาได้ อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นการเลือกที่ถูกต้องของดาวยิงเลือดกระทิงแล้ว เพราะต่อไปนี้ คือ 6 ผู้เล่นที่แจ้งเกิดขึ้นมาได้อย่างสวยงามหลังก้าวเท้าออกจากถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์

โมฮาเหม็ด ซาลาห์

เชลซี จัดการดึงตัว ซาลาห์ มายังถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยราคาเพียง 11 ล้านปอนด์ ในช่วงปีใหม่ของฤดูกาล 2013-2014 หลังเจ้าตัวเริ่มฉายแววความเก่งกาจกับ บาเซิ่ล ทั้งยังสามารถกดประตูใส่สิงโตน้ำเงินครามได้ทั้งสองนัดที่ปะทะกันในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มของซีซั่นดังกล่าวด้วย

แต่ชีวิตในลอนดอนกลับไม่น่าโสภานัก เมื่อ ซาลาห์ ได้รับโอกาสลงสนามในลีกเพียงแค่ 13 นัดเท่านั้น ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่อยู่กับทีม ก่อนจะเป็น ฟิออเรนติน่า ที่ยืมตัวเขาไปโลดแล่นบนเวที กัลโช่ เซเรียอา ด้วยสัญญาครึ่งฤดูกาล

และที่อิตาลี ดาวยิงชาวอียิปต์ไม่เพียงแค่คืนฟอร์มเท่านั้น แต่เจ้าตัวยังพัฒนาฝีเท้าขึ้นแบบก้าวกระโดด ในการเล่นกับทั้งม่วงมหากาฬและ โรม่า จนเมื่อซัมเมอร์ปี 2017 ก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่ขนเงิน 34 ล้านปอนด์ ไปสู่ขอ ซาลาห์ มาร่วมทัพ ก่อนที่เขาจะระเบิดฟอร์มกับทีมหงส์แดงอย่างที่เราได้เห็นกันทุกวันนี้

โรเมลู ลูกากู

กองหน้าร่างยักษ์ชาวเบลเยี่ยม ย้ายจากสโมสรในบ้านเกิดอย่าง อันเดอร์เลช มาร่วมทีมสิงโตน้ำเงินครามในฤดูกาล 2011-2012 ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ แต่การที่ในขณะนั้น เชลซี มียอดกองหน้าอย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ เฟร์นานโด ตอร์เรส อยู่ในทีม ทำให้ ลูกากู ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากนัก จนถูกปล่อยให้ เวสต์บรอมวิช และ เอฟเวอร์ตัน ยืมตัวในอีก 2 ฤดูกาลถัดมา ก่อนที่จะเป็นท็อฟฟี่สีน้ำเงิน ที่ตัดสินใจทุ่มงบเป็นสถิติสโมสรถึง 28 ล้านปอนด์ (ในขณะนั้น) คว้าหัวหอกรายนี้มาร่วมทัพแบบถาวรในปี 2014 หลังประทับใจผลงานในช่วงยืมตัว

โดยการเล่นกับทั้ง เวสต์บรอมวิช และ เอฟเวอร์ตัน ลูกากู ได้โชว์ให้ต้นสังกัดเก่าเห็นว่าตัวเขายอดเยี่ยมขนาดไหน ด้วยการกดไปถึง 87 ประตู จาก 166 นัด และเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ยอมจ่ายเงินสูงถึง 75 ล้านปอนด์ คว้ากองหน้ารายนี้มาล่าตาข่ายบนถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด จนถึงปัจจุบัน แต่ที่น่าตลกคือ คนที่ปล่อย ลูกากู ออกจาก เชลซี กับคนที่ดึง ลูกากู เข้ามาปีศาจแดง ก็เป็นคนเดียวกันนั่นแหละ… รู้นะว่าใคร

ไรอัน เบอร์ทรานด์

เบอร์ทรานด์ ถือเป็นนักเตะที่เติบโตมากับสถาบันลูกหนังของ เชลซี แต่ก็แทบไม่ได้ลงสนามให้กับสิงห์บลูเลย โดยตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่อยู่กับทีม เขาได้รับโอกาสลงเล่นบนเวที พรีเมียร์ลีก ในสีเสื้อสิงโตน้ำเงินครามเพียง 28 นัดเท่านั้น

โดยจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพการค้าแข้งของเจ้าตัวอยู่ที่ฤดูกาล 2014-2015 เมื่อ เบอร์ทรานด์ ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของ เซาแธมป์ตัน ซึ่งเพียงซีซั่นแรก เขาก็สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น จนถึงขั้นติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เลยทีเดียว หลังจากนั้น เบอร์ทรานด์ ก็ยืนหยัดเป็นกำลังหลักบนถิ่น เซนต์ แมรี่ มายาวนานถึง 3 ซีซั่น ก่อนที่จะเพิ่งถูกลดบทบาทลงในปีนี้ หลังทีมนักบุญเปลี่ยนมาใช้ระบบสามเซนเตอร์ฮาล์ฟ

เนมานย่า มาติช (รอบแรก)

ในเดือนสิงหาคม ปี 2009 ทีมสิงโตน้ำเงินคราม จัดการคว้าตัว มาติช มาร่วมทัพด้วยค่าตัวสุดถูกเพียง 1.5 ล้านปอนด์ แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับทีม เจ้าตัวกลับได้รับโอกาสลงสนามแค่ 2 นัดเท่านั้น และโดนปล่อยไปให้กับ เบนฟิก้า ในช่วงซัมเมอร์ปี 2011 โดยถูกใส่เป็นตัวแถมในดีลที่ เชลซี ดึง ดาวิด ลุยซ์ มาร่วมทีม

โดย มาติช ค่อยๆพัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆที่ โปรตุเกส จนในเดือนมกราคมปี 2014 เชลซี ต้องยอมจ่าย 21 ล้านปอนด์ เพื่อนำเด็กเก่ารายนี้กลับมาช่วยงานอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เมื่อเขากลายเป็นกลไกสำคัญในแดนกลางของสิงห์บลู พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ 2 สมัย ก่อนที่ เชลซี จะสามารถทำกำไรจาก มาติช ได้อีก หลังขายไปให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยมูลค่า 40 ล้านปอนด์ ในปี 2017

ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

กองหน้ากระดูกยุง ย้ายจาก แมนฯ ซิตี้ มาค้าแข้งกับ เชลซี ในฤดูกาล 2009-2010 และถือว่ามีชีวิตในรั้ว สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ เนื่องจากเขาได้รับโอกาสค่อนข้างเยอะพอสมควรหากเทียบกับวัยที่ยังเป็นดาวรุ่งอยู่ รวมถึงคู่แข่งในแดนหน้าที่มีทั้ง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ เฟร์นานโด ตอร์เรส

แต่หลังจากที่ ลิเวอร์พูล จัดการสอย สเตอร์ริดจ์ เข้าสังกัดด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ในเดือนมกราคม ปี 2013 เจ้าตัวก็เหมือนได้ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้น เพราะแค่ปีครึ่งกับหงส์แดง เขาก็มีจำนวนประตูและค่าเฉลี่ยในการทำประตูดีกว่าที่ทำไว้กับ เชลซี แล้ว (24 ประตู จาก 96 นัด) โดย สเตอร์ริดจ์ ยิงไปถึง 11 ประตู จาก 16 นัด ในครึ่งซีซั่นแรกบนถิ่น แอนฟิลด์ ก่อนที่จะซัดไปอีก 24 ประตู จาก 33 นัด ในฤดูกาลถัดมา

เควิน เดอ บรอยน์

มิดฟิลด์ทีมชาติเบลเยี่ยม เซ็นสัญญาเป็นสมาชิกใหม่ของ เชลซี ในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะช่วงหน้าหนาว ฤดูกาล 2011-2012 ด้วยค่าตัวเพียง 7 ล้านปอนด์ และได้อยู่ค้าแข้งกับ เกงค์ ไปก่อนจบจบซีซั่น อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงฤดูกาลถัดมา เจ้าตัวกลับถูกปล่อยไปให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ยืมตัวไปใช้งานทันทีโดยที่ยังไม่ได้สวมยูนิฟอร์มสิงห์บลูลงสนามอย่างเป็นทางการสักนาที

แม้จะมีหนึ่งซีซั่นที่น่าประทับใจในเยอรมัน แต่เมื่อกลับมาเล่นกับ เชลซี เดอ บรอยน์ ก็ได้รับโอกาสลงสนามใน พรีเมียร์ลีก แค่ 3 นัดเท่านั้น และเพียงครึ่งฤดูกาล เจ้าตัวก็ถูกขายไปให้กับ โวล์ฟบวร์ก ด้วยมูลค่า 18 ล้านปอนด์

ซึ่งที่นี่ ได้เพาะบ่มฝีเท้าของเขาให้กลายเป็นนักเตะระดับแนวหน้าของยุโรปอย่างรวดเร็ว ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ยอมควักถึง 55 ล้านปอนด์ เพื่อดึง เดอ บรอยน์ มาปั้นเกมในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 และก็อย่างที่เห็น เจ้าตัวตอบแทนเม็ดเงินของเรือใบสีฟ้าได้คุ้มค่าทุกปอนด์ พร้อมถูกยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้