รวดเร็วทันใจ! 5 กุนซือหวนคืนทีมเก่าในซีซั่นเดียวกัน

มันเป็นเรื่องธรรมดาในวงการฟุตบอลที่กุนซือหลายคนมักจะหวนกลับไปคุมทีมเดิมในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งของ โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ย้อนกลับไปร่วมงานกับทีมเก่าทั้ง เชลซี และ อินเตอร์ มิลาน

อย่างไรก็ตามกุนซือคุณอาจจะไม่เคยรู้ว่าเขาออกจากสโมสรและวนกลับไปรับงานอีกครั้งโดยที่ยังผ่านไปไม่ถึงซีซั่นด้วยซ้ำ และนี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงกับทีมดังในระดับฟุตบอลยุโรป ซึ่งวันนี้ UFA Arena จะพาไปดูกันว่ามีกุนซือคนไหนกันบ้าง ที่หวนกลับมาคุมบังเหียนทีมเดิมอีกครั้งหลังจากออกไปไม่ถึงซีซั่น

 

คริส ฮิวจ์ตัน (นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด)

 

คริส ฮิวจ์ตัน กุนซือคนเก่งของ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่กำลังทำผลงานได้อย่างพอใจในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ หากย้อนกลับไปในปี 2008 ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมารับงานเฮ้ดโค้ชเต็มรูปแบบครั้งแรก เจ้าตัวเคยเป็นหนึ่งในสต๊าฟของ เควิน คีแกน อดีตผู้จัดการทีมชื่อดัง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด มาก่อน

 

จนกระทั่งซีซั่น 2009 ทีม “สาลิกาดง” ภายใต้การทำทีมของ “ไมท์ตี้ เมาท์” ออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยผลงานย่ำแย่สุดๆ ทำให้สโมสรได้ตัดสินใจแยกทางกับกุนซือรายนี้ และแต่งตั้ง ฮิวจ์ตัน ขึ้นมารับตำแหน่งเทรนเนอร์ชั่วคราวแทน อย่างไรก็ตามผลงานประเดิมคุมทีมครั้งแรกของเขากับสโมสรคือการพาทีมแพ้ 4 เกมรวด ก่อนที่จะลงจากตำแหน่งในเวลาต่อมา

 

จากนั้น นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ได้มอบต่ำแหน่งหัวเรือใหญ่ให้กับ โจ คินเนียร์ โดยหวังว่ากุนซือชาวไอร์แลนด์จะพาทีมลอดพ้นจากโซนตกชั้นได้สำเร็จ ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ดีพอสมควรชนะถึง 5 เกม เสมอ 10 เกม และแพ้ 11 เกม แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ คินเนียร์ ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจจำเป็นต้องลงจากตำแหน่ง นั้นทำให้ คริส ฮิวจ์ตัน ได้โอกาสขึ้นมารับงานกุนซือเป็นหนที่สองแทนที่

 

ทว่าผลงานของเขาก็ยังย่ำแย่เช่นเดิมเหมือนครั้งแรกด้วยการเก็บชัยชนะได้เพียง 1 เกมท่านั้นจากการลงสนามทั้งหมด 6 นัด และ แพ้ไปถึง 3 เกม ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆในการดิ้นรนหนีตกชั้น หลังจากนั้นสโมสรได้แต่งตั้ง อลัน เชียร์เรอร์ อดีตตำนานของพวกเขาเองมาก็วิกฤติช่วงท้ายซีซั่น แต่ทุกอย่างก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นและการเก็บได้แค่เพียง 5 แต้ม จาก 8 เกมสุดท้าย ซึ่งนั่นมันก็ไม่พอสำหรับทำให้พวกเขาอยู่บนลีกสูงสุดในฤดูกาลถัดไปได้

 

อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ตกชั้นมาเล่นใน เดอะ แชมป์เปั้ยนส์ชิพ พวกเขาได้ให้โอกาสกับ คริส ฮิวจ์ตัน อีกหนึ่งครั้งในฐานะเฮ้ดโค้ชชั่วคราว แต่รอบนี้กุนซือที่ในปัจจุบันอายุ 60 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล ก่อนที่เขาจะได้รับสัญญาแบบถาวรและสามารถพาขุนพล “แม็กพายส์” กลับขึ้นมาเล่นบน พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ ด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์ เดอะ แชมป์เปั้ยนส์ชิพ และกวาดคะแนนไปถึง 102

 

 

จูเซ็ปเป้ ลาชินี่ (ปาแลร์โม่)

 

ปาแลร์โม่ สโมสรดังจากแดนมักกะโรนี ที่แฟนบอลทั่วไปน่าจะรู้จักกันดีและเคยเป็นอดีตต้งสังกัดของแข้งระดับโลกทั้ง เอดิสัน คาวานี่, เปาโล ดีบาล่า และ อันเดรีย เบล็อตติ อย่างไรก็ตามนี่คือหนึ่งในสโมสรที่เปลี่ยนกุนซือไปแล้วถึง 48 คน นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21

 

“โรซาเนโร่” เคยปลดผู้จัดการทีมออกไปและดึงตัวกลับมาคุมทีมใหม่หลายต่อหลายครั้งตลอด 18 ปีหลังสุด โดยเฉพาะในรายของ ฟรานเชสโก้ กุยโดลิน อดีตกุนซือ “หงส์ขาว” สวอนซี ซิตี้ ที่ถูกเคยวนเวียนอยู่กับตำแหน่งเฮ้ดโค้ชของ ปาแลร์โม่ ถึง 4 หนเลยทีเดียวระหว่างปี 2004 – 2008 ซึ่งเขาเองก็เตยแยกทางกับทีมและกลับมาอีกครั้งภายในซีซั่นเดียวกันด้วย แต่เราจะไม่ได้ได้พูดถึงเขา ส่วนคนที่เราจะกล่าวถึงคืออีกหนึ่งยอดกุนซืออย่าง จูเซ็ปเป้ ลาชินี่

 

จูเซ็ปเป้ ลาชินี่ ได้รับตำแหน่งเทรนเนอร์ของ ปาแลร์โม่ ครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 2013 หลังจากนั้นเขาจะอยู่กับทีมประมาณ 2 ปี และถูกปลดออกแบบไม่คาดคิดในเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ก่อนที่ เมาริซิโอ ซามปารินี่ เจ้าของสโมสรจะเลือก ดาวิเด บัลลาร์ดินี เข้ามาทำทีมแทน ทว่าหลังจากนั้นแค่ 2 เดือน เจ้าตัวก็ถูกปลดออกไปช่วงมกราคม ปี 2016 และได้ดึงตัว ลาชินี่  กลับมาทำงานอีกครั้งเป็นรอบที่สอง

 

แต่แล้วเรื่องราวทั้งหมดยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อ ลาชินี่ ที่เข้ามารับงานในเดือนกุมภาพันธ์ ถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกครั้ง 1 ในเดือนให้หลัง และเป็นทางฝั่ง วอลเตอร์ โนเวลลิโน่ ที่เข้ามาคุมบังเหียน ปาแลร์โม่ ต่อไป แต่แล้ว 4 เกมถัดมาเขาก็โดนไล่ออกเช่นเดียวกัน และจะเชื่อไม่ก็ตาม ซามปารินี่ ได้จัดสินใจดึง ดาวิเด บัลลาร์ดินี ที่เพิ่งแยกทางกันก่อนหน้านั้นไม่นานมารับตำแหน่งหนที่สองในซีซั่นเดียวกันเช่นเดียวกับกรณีของ จูเซ็ปเป้ ลาชินี่ อีกหนึ่งราย

 

ฮาเวียร์ ฆาเลล่า (บียาร์เรอัล)

 

เฮ้ดโค้ชเลือดกระทิงดุรายนี้เขามารับตำแหน่งกับ บียาร์เรอัล ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน ปี 2017 และสามารถพาทีมโชว์ผลงานอันยอดเยี่ยมจบอันดับที่ 5 ใน ลาลีก้า สเปน ซีซั่น 2017/2018 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามปลายปี 2018 เขาถูกปลดออกหลังพาทีมออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้แบบน่าผิดหวังสุดๆ ด้วยการตกไปอยู่ในโซนตกชั้นของตาราง

 

หลังจากนั้น ทัพ “เยลโล่ ซับมารีน” ได้แต่แต่งตั้ง หลุยส์ การ์เซีย เข้ามาทีมทว่าทีมก็ยังคงเดินหน้าดิ่งลงเหวต่อเนื่องเก็บชัยชนะได้แค่เพียงเกมเดียว จาก 9 นัด เท่านั้น และในยุคของ การ์เซีย พวกเขาไม่ชนะเกมลีกเลยสักนัด และแค่เพียง 50 วันหลังจากที่ ฮาเวียร์ ฆาเลล่า โดนไล่ออกเขาได้กลับมาทำทีมอีกครั้งพร้อมกับ บียาร์เรอัล ที่ตกไปอยู่ในอันดับที่ 19 ตารางเรียบร้อยแล้ว

 

บียาร์เรอัล ภายใต้การคุมทีมของ ฮาเวียร์ ฆาเลล่า รอบที่สอง ทำผลงานได้ดีขึ้นและขยับพ้นโซนตกชั้นได้สำเร็จและนอกจากนั้นพวกเขายังทำได้อย่างยอดเยี่ยมในฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็ก ยูฟ่า ยูโรป่าลีก ซีซั่นนั้นอีกด้วย

 

เลโอนาร์โด ชาร์ดิม (โมนาโก)

 

เลโอนาร์โด ชาร์ดิม หนึ่งในกุนซ์อมือฉมังในการขัดเกลาเหล่าดาวรุ่งให้พัฒนาขึ้นมาเป็นยอดนักเตะหลายต่อหลายคน เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก่อนย้ายเข้ามารับตำแหน่งกับ โมนาโก และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ ลีก เอิง ซีซั่น 2016/2017 ได้สำเร็จ

 

โดยกุนซือที่ปัจจุบันวัย 44 ปี ต้องเสียบรรดาดาวดังประจำทีมมากมายตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา กระทั่งในซีซั่น 2018/2019 โมนาโก ที่เสียแข้งตัวสำคัญของทีมออกไปออกสตาร์ทซีซั่นได้อย่างน่าผิดหวังสุดๆ

 

จนแล้วจนรอดในวันที่ 11 ตุลาคม ปี 2018 ชาร์ดิม โดนปลดออกจากตำแหน่งหลังพาทีมเก็บชัยชนะได้แค่เพียงเกมเดียวเท่านั้น จากการลงสนามในลีก 11 นัด และทีมจมสู่อันดับรองบ๋วยของลีก ก่อนพวกเขาได้ตัดสินใจดึงตัวอดีตตำนานทีมชาติฝรั่งเศสและ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล อย่าง เธียร์รี่ อองรี ขึ้นมารับงานแทนซึ่งเป็นครั้งแรกในฐานะกุนซือของเขาเองท่ามกลางความกดดันอย่างสูง

 

ภายใต้การทำทีมของ อองรี โมนาโก ลงเล่น 20 เกม ชนะเพียง 4 นัด และ แพ้ไปถึง 11 นัด สถานการณ์ของทีมย่ำแย่สุดๆเข้าขั้นวิกฤติและยังคงจมดิ่งอยู่ในโซนตกชั้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่พวกเขาจะหวนกลับมาใช้บริการของ เลโอนาร์โด ชาร์ดิม อีกครั้ง เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และดูเหมือนว่ามันจะเป็นสัญญาที่ดี เมื่อ โมนาโก ชนะได้ถึง 3 เกม และ เสมอ 4 จาก 7 เกมหลัง ขยับไล่โซนปลอดภัยจากการตกชั้นเหลือเพียง 6 แต้มเท่านั้น

 

ซีนาดีน ซีดาน (เรอัล มาดริด)

 

หลังจากที่ ซีนาดีน ซีดาน สร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการพา “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ได้ถึง 9 รายการตลอดระยะเวลาการทำทีมแค่สองฤดูกาลครึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะการคว้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน ก่อนที่เจ้าตัวได้ตัดสินใจลงจากตำแหน่งกุนซือเมื่อช่วงซัมเมอร์ทีผ่านมา

 

นอกจากกุนซือชาวฝรั่งเศสที่เดินจาก “โลส บลังโกส” ไปในซีซั่นนี้แล้ว ดาวยิงตัวเก่งระดับตำนานของสโมสรอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ได้อำลาทีมออกไปอยู่กับ “ม้าลาย” ยูเวนตุส ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมันส่งผลกระทบอย่างหนักให้ เรอัล มาดริด ภายใต้ผู้จัดการคนใหม่ ฆูเลน โลเปเตกี ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่แพ้ถึง 6 เกม จาก 14 นัดแรกของฤดูกาล จนกระทั้งถูกปลดออกและพวกเขาจับ ซานติอาโก้ โซลารี่ อดีตลูกหม้อของตัวเองที่ทำหน้าที่สต๊าฟโค้ชขึ้นมาคุมแทนที่

 

อย่างไรก็ตามการพาทีมตกรอบในศึก ยูฟ่า แชมปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยการโดน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม บุกมาถล่มคาถิ่นทำให้ตำแหน่งของกุนซือชาวอาร์เจนไตน์ต้องถูกยุติลง ก่อนที่จะมีข่าวลือมากมายกับยอดเทรนเนอร์หลายคนที่เป็นแคนดิเดตจะเข้ามาสารงานต่อซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่ออดีตกุนซืออย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ อยู่ด้วย

 

ทว่าท้ายสุดแล้วคนที่ถูกเลือกก็คือ ซีนาดีน ซีดาน ซึ่งเจ้าตัวได้ยอมกลับมาคุมบังเหียน “ราชันชุดขาว” เป็นหนที่สองในรอบไม่ถึงซีซั่น โดยมีข้อแม้ว่าเขาจะต้องเป็นคนดูแลเรื่องการซื้อขายเองทั้งหมด นั้นหมายความว่าเราอาจได้เห็นดีลระดับท็อปที่ถูกใจเจ้าตัวเข้ามาเสริมทีมแน่นอนในช่วงซัมเมอร์นี้