เดินทางมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย สำหรับฟุตบอลถ้วยยุโรป ทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูโรป้า ลีก ซึ่งถึงเวลานี้ก็มี 5 ผู้อยู่รอดจากศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่สามารถผ่านเข้ามาถึงตรงนี้ได้
ในถ้วยบิ๊กเอียร์ 3 ทีมประกอบด้วย “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ,”หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ส่วนถ้วยใบเล็กนั้นก็มีทั้ง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ซึ่งผลการประกบคู่ก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันนี้เราจะพามาดู และวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของทั้ง 5 ทีมสู่เส้นทางการลุ้นแชมป์ถ้วยยุโรปในฤดูกาลนี้กันว่าแต่ละทีมมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดวล โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ (เยอรมนี)
โปรแกรมการแข่งขัน : เลกแรก 6 เมษายน / เลกสอง 14เมษายน
เส้นทางก่อนถึงรอบนี้ : แชมป์กลุ่มซี ชนะ 5 เสมอ 1 (16แต้ม) / รอบ 16 ทีม รวมสองนัดชนะ โบรุสเซียร์ มึนเช่น กลัดบัด 4-0 ( 2-0/2-0 )
ยังคงเป็นเต็งจ๋าที่จะคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลนี้สำหรับทัพ “เรือใบสีฟ้า” โดยนับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ลูกทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า ลงเล่นมา 8 เกม ปรากฏว่าพวกเขาเอาชนะไปได้ถึง 7 ยิงไป 17 ประตู เสียลูกเดียว เก็บคลีนชีตไปได้ถึง 7 เกม ซึ่งฤดูกาลนี้พวกเขามีเกมรับที่เหนียวแน่นสุดๆทั้ง รูเบน ดิอาส ,จอห์น สโตนส์ รวมไปถึง อายเมอริค ลาปอร์กตส์ ส่วนแนวรุกก็ไม่ได้หวังพึ่งเพียงแค่ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้เล่นรายอื่นๆนั้นต่างช่วยกันทำประตูอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง ,เฟร์ราน ตอร์เรส ,กาเบรียล เฆซุส ,ริยาด มาห์เรซ ,เควิน เดอบรอยน์ หรือ อิลกาย กุนโดกาน นั่นทำให้ ซิตี้ ฤดูกาลนี้นั้นครบเครื่องสุดๆ
ชำแหละคู่แข่ง : การดวลกับทัพ “เสือเหลือง” ที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ในรอบ 4 ปีต้องบอกว่าไม่ใช่งานง่าย เอดิน แทร์ซิช รักษาการเทรนเนอร์ ของทัพ เสือเหลือง ที่พาทีมเอาชนะ เซบีญ่า ในรอบ 16 ทีม ด้วยประตูรวมสองนัด 5-4 นั้นมีแนวรุกที่สุดอันตรายทั้ง เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ ดาวยิงฟอร์มร้อมที่กดไปแล้ว 10 ประตูในถ้วยใบนี้ รวมไปถึง เจดอน ซานโช่ ,ธอร์กาน อาซาร์ หรือ มาร์โก รอยส์ รวมไปถึงแข้งอย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม ,โจวานนี่ เรย์น่า หรือ แมตต์ ฮุมเมลส์ ต่างโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้
โอกาสเข้ารอบ : จากผลงานที่เวลานี้ยังมีลุ้นแชมป์ทั้ง 4 ถ้วยที่ลงแข่งขัน ต้องบอกว่า เป๊ป กวาดิโอล่า นั้นมีโอกาสมากที่สุดที่จะพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปป็นสมัยแรกของตัวเองเสียที หลังก่อนหน้านี้ ทำได้ดีที่สุดคือผ่านเข้าถึงรอบ รองชนะเลิศ ซึ่งสุดท้ายหากทัพ “เรือใบสีฟ้า” ยังคงรักษาฟอร์มได้ดี โอกาสที่จะคว่ำ “เสือเหลือง” ผ่านเข้ารอบต่อไปนั้นมีสูงแน่นอน
ถ้าผ่านได้รอบต่อไปเจอใคร ? : เข้าไปดวลกับผู้ชนะคู่ระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค – ปารีส แซงต์แชร์กแมง
ลิเวอร์พูล ดวล เรอัล มาดริด (สเปน)
โปรแกรมการแข่งขัน : เลกแรก 6 เมษายน / เลกสอง 14 เมษายน
เส้นทางก่อนถึงรอบนี้ : แชมป์กลุ่ม ดี ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1 (13แต้ม) / รอบ 16 ทีม รวมสองนัดชนะ แอร์ไบ ไลป์ซิก 4-0
แม้ผลงานในเกมลีกจะย่ำแย่จนหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์เกือบจะร้อยเปอร์เซนต์ แต่ในถ้วยยุโรป ที่เปรียบดั่งความหวังเดียวในการลุ้นแชมป์ฤดูกาลของ หงส์แดง เชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ จะมุ่งมั่นเป็นพิเศษ ปัญหาใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้นอกจากอาการบาดเจ็บของผู้เล่นมากมาย โดยเฉพาะเกมรับ พวกเขายังต้องเจอการเผชิญหน้ากับความมั่นใจที่ดูเหมือนจะขาดหายไป อย่างไรก็ตามในเกมเจอ ไลป์ซิก เหมือนกับว่า กุนซือเฮฟวี่เมทัล เริ่มจะปรับทิศทางให้เข้ารูปเข้ารอยได้แล้ว ด้วยการดัน ฟาบินโญ่ กลับมายืนคุมเกมในแดนกลางอีกครั้ง ส่วนเกมรับ โอซาน คาบัค ที่มีรอยรั่วในช่วงแรกก็เริ่มปรับตัวเข้ากับทีมได้ดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ชำแหละคู่แข่ง : เกมยักษ์ชนยักษ์ของแท้สำหรับคู่นี้ เมื่อคู่แข่งอย่าง เรอัล มาดริด นั้นคือคู่ชิงของพวกเขาเองเมื่อปี 2018 ซึ่งตอนนั้นเชื่อว่าหลายคนยังจำกันได้ กับฝันร้ายไปตลอดกาลของ ลอริส คาริอุส ที่ทำพลาดเหลือเชื่อถึงสองครั้ง อย่างไรก็ตามหากดูกันในฤดูกาลนี้ ทัพ “ราชันชุดขาว” ไม่ได้ท็อปฟอร์มเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งแนวรุกคงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่ คาริม เบนเซม่า ที่เป็นดาวซัลโวของทีมจากการซัดไป 23 ประตู จาก 32 นัดรวมทุกรายการฤดูกาลนี้
โอกาสเข้ารอบ : การเจอกันในเวลานี้ ยากที่จะตัดสินว่าใครดีกว่ากันและสมควรที่จะผ่านเข้ารอบรองต่อไป เพราะดูแล้วสูสีอย่างยิ่งและคงต้องดูผลงานในสนามเกมนั้นๆกันไปเลย แต่หากต้องเลือกจริงๆ ยังมองว่า เรอัล มาดริดมีภาษีที่ความเก๋าเกมในถ้วยใบนี้มากกว่านิดๆ
ถ้าผ่านได้รอบต่อไปเจอใคร ? : เข้าไปดวลกับผู้ชนะคู่ระหว่าง เอฟซี ปอร์โต – เชลซี
เชลซี ดวล เอฟซี ปอร์โต้ (โปรตุเกส)
โปรแกรมการแข่งขัน : เลกแรก 7 เม.ย. / เลกสอง 13 เม.ย.
เส้นทางก่อนถึงรอบนี้ : แชมป์กลุ่ม อี ชนะ 4 เสมอ 2 (14แต้ม) / รอบ 16 ทีม รวมสองนัดชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-0
นับตั้งแต่ แฟรงค์ แลมพาร์ด โดนปลดออกไป และการได้ โธมัส ทูเคิล เข้ามาคุมทัพต้องบอกว่า “สิงห์บูล์ส” เหมือนกลายเป็นคนละทีม พวกเขาเล่นกันอย่างมีระเบียบทั้งเกมรุกและรับตามแท็กติกของ กุนซือหนุ่มชาวเยอรมนีผู้นี้ ซึ่งรอบที่แล้วก็ปราบทีมแกร่งอย่าง แอตเลติโกมาดริด ทั้งเกมเหย้าและเยือน แม้ว่าเวลานี้แนวรุกอาจจะยังไม่ท็อปฟอร์ม และมีการสลับเปลี่ยนแข้งไปบ้างตามแต่ละเกม แต่แข้งอย่าง ติโม แวร์เนอร์ ,โอลิวิเยร์ ชิรูดด์ ,ไค ฮาแวร์ตซ์ หรือ ฮาคิม ซิเยค ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นเริ่มเล่นเข้าขากันเรื่อยๆ และไม่แน่ว่าหากเข้าไปถึงรอบลึกกว่านี้ได้ พวกเขาอาจจะระเบิดฟอร์มออกมาได้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ชำแหละคู่แข่ง : ปอร์โต้ ทำเอาหน้าหงายกันไปหลายคน เมื่อในรอบที่แล้วทำช็อคคว่ำ ยูเวนตุส มาได้หลังรวมสองนัดเสมอกัน 4-4 แต่ทีมแกร่งจากโปรตุเกส เข้ารอบด้วยกฏอเวย์โกล ซึ่งผลงานในลีกของ แซร์โจ้ คอนไซเซา ในเกมลีก นั้นยังคงยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครมา 17 นัดเข้าไปแล้ว โดยแกนหลักนั้นนำมาโดย เปเป้ ปราการหลังตัวเก๋า , เฮซุส โกโรน่า, โอตาวินโญ่, มุสซ่า มาเรก้า และ เมห์ดี ทาเรมี ดาวเตะอิหร่าน
โอกาสเข้ารอบ : หากมองคู่แข่งทั้ง 7 ทีมก่อนจับสลากใครก็ต่างมองว่า ปอร์โต้ น่าจะแข็งแกร่งน้อยที่สุด และการที่ เชลซี ได้เจอนั่นทำให้พวกเขามีโอกาสสูงที่จะผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยิ่ง ทูเคิล ที่เพิ่งมีประสบการณ์พา เปแอสเช เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เมื่อฤดูกาลก่อน นั่นก็เชื่อว่าเขาจะรู้วิธีทำให้อย่างน้อยทัพ สิงห์บูล์ส ไปถึงจุดนั้นได้
ถ้าผ่านได้รอบต่อไปเจอใคร ? : เข้าไปดวลกับผู้ชนะคู่ระหว่าง ลิเวอร์พูล – เรอัล มาดริด
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดวล กรานาด้า (สเปน)
โปรแกรมการแข่งขัน : เลกแรก 8 เม.ย. / เลกสอง 15 เม.ย.
เส้นทางก่อนถึงรอบนี้ : รอบ 32 ทีม ชนะ เรอัล โซเซียดาด รวมสองนัดชนะ 4-0 / รอบ 16 ทีม รวมสองนัดชนะ เอซี มิลาน 2-1
หลังจากพลาดท่าร่วงตกรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ลีก ลงมาเล่นในถ้วยใบนี้ทัพ ปีศาจแดง ก็ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 และถึงเวลานี้ลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็ปราบทีมแกร่งทั้ง เรอัล โซเซียดาด และ เอซี มิลาน มาได้แล้ว สภาพทีมต้องบอกว่าแข็งแกร่ง ไล่ตั้งแต่ ดีน เฮนเดอร์สัน นายทวารที่ได้เล่นในรายการนี้ทั้ง 4 นัด ,เกมรับที่มี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยืนประจำการ หรือหัวใจสำคัญในแนวรุกอย่าง บรูโน่ แฟร์นานเดส และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยังพึ่งพาได้อยู่เสมอ
ชำแหละคู่แข่ง : กรานาด้า ต้องบอกว่าผลงานในรอบนี้ไม่ธรรมดา จากรอบแบ่งกลุ่มเข้ารอบมาเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม อี จากนั้นรอบ 32 ทีมทำเซอร์ไพรส์คว่ำยักษ์ใหญ่อย่าง นาโปลี ได้ด้วยสกอร์ 3-2 ก่อนที่รอบ 16 ทีมจะเอาชนะ โมลด์ อดีตทีมเก่าของ โซลชา มา 3-2 ซึ่งทีมของ ดีเอโก้ มาร์ตีเนซ กุนซือของทีม นั้นจะมี โดมิงโกส ดูอาร์เต้ เป็นแกนหลักในเกมรับ ส่วนแดนกลาง อังเคล มอนโตโร่ และ มักซีม โกนาลงส์ เป็นห้องเครื่อง พร้อมด้วยดาวยิงตัวอันตรายอย่าง ฆอร์เค่ โมลีน่า
โอกาสเข้ารอบ : ยูไนเต็ด นั้นขาดถ้วยแชมป์เข้าสโมสรมานาน และนับตั้งแต่ โซลชา เข้ามาคุมทัพก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จในรายการไหนเลย นั่นทำให้พวกเขามุ่งเน้นอย่างมากในการคว้าแชมป์รายการนี้มาครองให้ได้ ซึ่งการเจอ กรานาด้า หากไม่มีอะไรผิดพลาดจริงๆ โอกาสทะลุถึงรอบรองชนะเลิศนั้นมีสูงมากเหลือเกิน
ถ้าผ่านได้รอบต่อไปเจอใคร ? : เข้าไปดวลกับผู้ชนะคู่ระหว่าง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม – โรม่า
อาร์เซน่อล ดวล สลาเวีย ปราก (สาธารณรัฐเช็ก)
โปรแกรมการแข่งขัน : เลกแรก 8 เม.ย. / เลกสอง 15 เม.ย.
เส้นทางก่อนถึงรอบนี้ : แชมป์กลุ่ม บี ชนะ 6 นัดรวด (18 คะแนน) / รอบ 32 ทีม รวมสองนัดชนะเบนฟิก้า 4-3 / รอบ 16 ทีม รวมสองนัดชนะ โอลิมเปียกอส 3-2
“ไอ้ปืนใหญ่” ทำผลงานในถ้วยรายการนี้ได้ดีตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ด้วยขุมกำลังสำรองซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีในรอบน็อคเอาท์พวกเขานั้นก็เจองานที่ไม่ง่ายนักและเสียประตูให้คู่แข่งทุกนัด เรียกได้ว่าสภาพโดยรวมของ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือชาวสเปน ยังมีปัญหาอยู่พอสมควร อย่างไรซะ การคว้าแชมป์รายการนี้ คือความหวังเดียวของพวกเขาที่จะได้ลุ้นไปเตะถ้วย ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า นั่นทำให้เชื่อว่าตั้งแต่รอบนี้เป็นต้นไป 11 ตัวจริงจะจัดมาแบบเต็มสูบอย่างแน่นอน
ชำแหละคู่แข่ง : สลาเวีย ปราก จ่าฝูงเช็ก ลีกา นับเป็นหนึ่งในทีมม้ามืดก็ว่าได้ที่ผ่านมาถึงรอบนี้ รอบที่แล้วพวกเขาทำเซอร์ไพรส์บุกไปเอาชนะแชมป์สก็อตติชอย่าง กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ได้ถึงในบ้าน และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือในรอบ 32 ทีม พวกเขาก็คว่ำหนึ่งทีมแกร่งจากพรีเมียร์ลีกอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ มาด้วยการบุกไปเอาชนะถึงถิ่น คิงเพาเวอร์ 2-0 ด้วย เรียกได้ว่าประมาทไม่ได้เป็นอันขาด โดย จินดริช เตอร์ปิชอฟสกี้ กุนซือของทีมจะมีแข้งสุดอันตรายที่ฝากความหวังไว้ได้ทั้งแบ็งฌาแม็ง ตราโอเร่ ,นิโคเล สแตนคู, ปีเตอร์ โอลายินก้า และหัวหอกฟอร์มร้อนอย่าง ยาน คุชต้า
โอกาสเข้ารอบ : หากดูจากชื่อชั้น ไอ้ปืนใหญ่ นั้นเป็นต่อแน่นอน แต่หากเทียบผลงานในสนามต้องบอกว่าไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สลาเวียปราก ที่เล่นแบบไม่กลัวใครหน้าไหน การเจอ อาร์เซน่อล ก็คงไม่ใช่งานยากอะไรเช่นกัน เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ลูกทีมของ อาร์เตต้า ต้องทำคือใส่เต็มสูบ และห้ามประมาทเด็ดขาด พร้อมกับฝากความหวังไว้ที่แนวรุกยังบลัดของทีมอย่าง มาร์ติน โอเดการ์ด ,บูกาโย่ ซาก้า ,เอมิลล์ สมิธ -โรว์ หรือกัปตันทีมอย่าง ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ให้ระเบิดฟอร์มออกมาให้ได้
ถ้าผ่านได้รอบต่อไปเจอใคร ? : เข้าไปดวลกับผู้ชนะคู่ระหว่าง ดินาโม ซาเกร็บ – บีญาร์เรอัล
DaboyG