ราฟินญ่า : แข้งผู้คว้าแชมป์สโมสรจาก 2 ทวีปที่ถูกมองข้าม

 

ในโลกของฟุตบอล เราสามารถแยกแยะว่าใครเป็นใครจากชื่อของพวกเขาได้ทันที แต่ไม่ใช่กับชายคนนี้ที่มีชื่อพ้องกับแข้งชาวบราซิลหลายสิบคน และมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นสำหรับคนที่เคยคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก และ โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ได้

 

ชายคนที่เรากล่าวคือ มาร์ซิโอ ราฟาเอล เฟร์เรย์ร่า เด ซูซ่า หรือที่แฟนคุ้นหูในนาม ‘ราฟินญ่า’  และแน่นอนว่ามันไปพ้องกับชื่อ ราฟาเอล อัลคันทาร่า โด นาซิเมนโต้ ที่มีชื่อสั้นๆว่า ‘ราฟินญ่า’ เหมือนกันที่ปัจจุบันแข้งวัย 26 ปีที่ บาร์เซโลน่า เป็นต้นสังกัด แต่ย้ายไปเล่นกับ เซลต้า บีโก้ แบบยืมตัวอยู่

 

ในขณะที่ราฟินญ่าหนุ่มกำลังถูกลืมเลือนในอาชีพค้าแข้ง ชื่อของ ‘ราฟินญ่า’ วัยเก๋าได้โผล่มาให้แฟนบอลให้ระลึกถึงอีกครั้ง หลังลายุโรปที่ตนค้าแข้งมา 15 ปี และย้ายไปประสบความสำเร็จกับฟลาเมงโก้ ในปัจจุบัน แถมกำลังมีลุ้นคว้าแชมป์สโมสรโลกในตอนนี้ที่กาตาร์ด้วย

 

ทาง UFA ARENA จะพาไปย้อนดูเรื่องราวของยอดแข้งที่คว้าแชมป์ 2 ทวีป แต่กลับถูกมองข้ามจนถึงปัจจุบันผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

 

ทัศนคติที่ควรเอาอย่าง

 

 

ในปี 2005 ราฟินญ่าผมยาวหัวกระเซิงในวัย 19 ปี ได้ย้ายมาค้าแข้งในยุโรปครั้งแรกกับ ชาลเก้ 04 จาก กอริติบ้า ด้วยค่าตัว 5 ล้านยูโร หลังแบ็คขวาทำผลงานได้น่าประทับใจในศึกฟุตบอลเยาวชนโลกที่ประเทศฮอลแลนด์ ยิง 2 ประตูช่วยให้บราซิลชุดเล็กคว้าเหรียญทองแดงมาได้ โดยสาเหตุที่เขาเลือกทีมราชันสีน้ำเงินนั้นเป็นเพราะดูจากขนาดของสโมสร และการมีเพื่อนร่วมชาติอยู่ในทีมอย่าง ลินคอน และ มาร์เซโล บอร์ดอน รวมไปถึง เควิน คูรานี่ ที่พูดภาษาโปรตุกีสได้

 

ราฟินญ่าสร้างความปวดหัวในการจัดตำแหน่งแก่ ราล์ฟ รังนิก กุนซือของทีมเป็นอย่างมาก หลังเบียด คริสเตียน โพลเซ่น และ ฮามิต อัลตินท็อป ที่โยกมาเล่นตำแหน่งแบ็คขวาในฤดูกาลก่อนเป็นตัวสำรอง 

 

สิ่งที่น่าประทับใจเกี่ยวกับตัว ราฟินญ่า คือ ทัศนคติของเขา เช่นนักเตะชาวบราซิลเลี่ยนหลายคนที่ค้าแข้งในเยอรมัน เขาต้องลำบากไม่น้อยกับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศและภาษา แม้ว่าจะก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองในสนามต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้กับเรื่องนี้ง่ายๆ

 

นิสัยแบบนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เขาติบโตขึ้นมา ครอบครัวของเขายากจนมากๆ แค่หาข้าวหาปลามาให้ ราฟินญ่าในวัยเด็ก และญาติพี่น้องก็ลำบากเอาเรื่อง อีกทั้ง ราฟินญ่า ในวัย 15 ปี ต้องเดินทางจาก ลอนดริน่า บ้านเกิดกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อไปยัง กอริติบ้า สโมสรในบราซิล

 

จากนั้นเขาก็ต้องเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่ เมื่อผู้เป็นพ่อ จากโลกนี้ไปในขณะที่เขาอายุได้ 16 ปีเท่านั้น คงทำให้ใจสลายไม่น้อยที่พ่อของเขาไม่มีโอกาสได้เห็นลูกชายคว้าแชมป์มากมายยามค้าแข้งในยุโรปในอีกรายปีหลังจากนั้น 

 

 

จาก ‘ชาลเก้’ สู่ ‘บาเยิร์น’

 

 

ราฟินญ่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีแรกที่เยอรมัน หลังช่วยให้ ชาลเก้ จบอันดับ 4 ในตาราง และผ่านถึงรอบตัดเชือกในยูฟ่า คัพ และในปีต่อมา เขาพัฒนาไปยิ่งกว่าเดิม เมื่อช่วยให้ต้นสังกัดลุ้นแชมป์ลีกไปยันวันสุดท้ายของฤดูกาล น่าเสียดายที่พวกเขาพ่ายในศึกเรเวียร์ดาร์บี้แก้ ดอร์ทมุนด์ ทำให้ทีมคว้าอันดับ 2 ตามหลัง สตู๊ตการ์ท แชมป์ในปีนั้นแค่ 2 แต้มเท่านั้น

 

ในตอนนั้น ราฟินญ่ากลายเป็นหนึ่งในฟูลแบ็คอันดับต้นๆของบุนเดสลีก้า แม้จะได้รับความสนใจจากทีมต่างๆ เขาก็เลือกต่อสัญญากับทีมต่อไปในเดือน มีนาคม ปี 2007 จากนั้นอีก 1 ปีต่อมา เขาก็ได้ประเดิมสนามให้ทัพเซเลเซาเป็นครั้งแรก ในเกมอุ่นเครื่องที่พบ สวีเดน 

 

ราชันสีน้ำเงินพอจะลบล้างความผิดหวังที่ชวดแชมป์ลีกได้อยู่บ้าง หลังคว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาล 2007-08 ได้ อย่างไรก็ตามในซัมเมอร์นั้น ราฟินญ่า ขัดคำสั่งของสโมสรด้วยการไปเล่นให้กับทีมชาตของเขาในโอลิมปิกที่ปักกิ่ง ทำให้เขาถูกปรับเงินกว่า 700,000 ยูโรจากเหตุการณ์นั้น

 

บางคนอาจจะงอแง เรียกร้องย้ายทีมแล้ว แต่ ราฟินญ่าก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปจนหมดสัญญากับสโมสรในอีก 2 ปีต่อมา ก่อนจะสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการย้ายไปร่วมทีม เจนัว ในเซเรียอา เมื่อปี 2010 ซึ่ง เอนริโก้ เฟรซิโอซี่ ประธานสโมสรยอมรับว่า ราฟินญ่า ดีเกินกว่าที่จะอยู่ในสโมสรนี้ และจะไม่ขวางทางเขาเรื่องย้ายทีมเลย

 

หลังหายหน้าไปเกือบปี ราฟินญ่ากลับมาค้าแข้งในเมืองเบียร์อีกครั้งกับ บาเยิร์น มิวนิค พร้อมกับ มานูเอล นอยเออร์ อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาในชาลเก้ โดยเขาย้ายมาแทนที่ ฟิลิปป์ ลาห์ม ที่โยกกลับไปเล่นเป็นแบ็คซ้าย และในปีแรกกับเสือใต้ เขาลงเล่นไป 35 นัดทุกรายการ แต่จบอันดับ 2 เป็นรอง ดอร์ทมุนด์ในปีนั้น

 

การเปลี่ยนแปลกเกิดขึ้นอีกครั้งในปีต่อมา เมื่อ ดาวิด อลาบา ที่ย้ายไปเล่นกับฮอฟเฟ่นไฮม์ แบบยืมตัวในฤดูกาล 2010-11 กลับมาสู่ทีม ทำให้ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส โยกแข้งชาวออสเตรียมาเล่นเป็นกองกลาง แต่อาการบาดเจ็บของราฟินญ่าในเดือนมีนาคมปี 2012 ทำให้ลาห์มต้องโยกมาเล่นแบ็คขวาแทน ส่วนอลาบาก็ขยับไปเป็นแบ็คซ้าย แต่ทันทีที่แข้งชาวบราซิลหายกลับมา ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

 

ตัวสำรองอดทน

 

 

ในฤดูกาล 2012-13 ราฟินญ่าโชคร้ายตั้งแต่ช่วงพรีซีซั่นหลังเอ็นข้อเข้าฉีก ทำให้เขาต้องพักยาวไปจนถึงเดือนตุลาคม แต่สถานะของเขาก็กลายเป็นตัวอะไหล์สำรองอย่างเต็มรูปแบบ

 

แข้งชาวบราซิลเลี่ยนจะรับโอกาสลงเล่นต่อเมื่อ อบาล่า และ ลาห์ม มีอาการบาดเจ็บ หรือต้องพัก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มีความสำคัญต่อทีมอย่างมากเช่นกัน และทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

 

และถึงแม้จะเป็นตัวสำรอง แต่เขาก็ลงเล่นไปอย่างน้อย 26 เกมจาก 6 ใน 7 ฤดูกาลที่เขาค้าแข้งกับ บาเยิร์น พร้อมกับคว้าแชมป์มากมายนับตั้งแต่ฤดูกาล 2012-13 

 

ราฟินญ่าลงเล่นเกมลีกไป 13 นัด ทำให้เขาได้เหรียญบุนเดสลีก้าสมัยแรก พร้อมกับคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล และ แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วย น่าเสียดายที่เขาเป็นตัวสำรองในเกมนัดชิงทั้ง 2 รายการนั้น แต่ด้วยโอกาสอันน้อยนิด ทำให้สื่อต่างๆคาดว่าเขากจะกลับไป ชาลเก้ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นแค่ข่าวลือ เมื่อราฟนิญ่าเผยว่าตนตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในปีต่อมา

 

กุนซือชาวสแปนิชย้ายมาคุมทีมในซัมเมอร์ปี 2013 และเป็นคนช่วยให้ชีวิตค้าแข้งของ ราฟนิญ่า กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า เมื่อ ลาห์ม ถูกโยกมาเล่นเป็นกองกลางตัวรับ นั่นทำให้เขากลับไปเล่นเป็นแบ็คขวาตัวจริง ซึ่งในปีนั้นเขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกและบอลถ้วย ได้ลงเล่นถึง 28 นัด แถมแอสซิสต์ไป 7 ครั้งในลีก นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีดีกว่าเป็นแค่ตัวสำรองแค่ไหน

 

แข้งบราซิลเลี่ยนเป็นตัวหลักของ กวาร์ดิโอล่า อีกครั้งในฤดูกาลต้อมา พร้อมกับป้องกันแชมป์ลีกได้อีกสมัย และถึงแม้ อดีตนายใหญ่บาร์เซโลน่าจะลาทีไปในซัมเมอร์ปี 2016 เขาก็ยังได้รับความไว้ใจจาก คาร์โล อันเชล็อตติ โดยได่ลงเล่นถึง 28 นัดในทุกรายการ

 

 

หลังอันเช่ โดนปลดไปในเดือนกันยายนปี 2017 ไฮย์เกส ก็เข้ามารับช่วงต่อ และยังใช้งาน ราฟินญ่า เป็นแข้งตัวหลักของทีมต่อไปไม่ต่างจากุนซือคนก่อน แถมได้ลงเล่นกว่า 39 นัด แม้เขาจะมีอายุปาเข้าไป 33 ปี แล้ว พร้อมกับคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้ง

 

แต่แล้วเวลาของราฟินญ่ากับ ยอดทีมแคว้นบาวาเรีย ก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย หลังการเข้ามาของ นิโก้ โควัช เนื่องจากเขาจะเล่นลงเล่นก็ต่อเมื่อ อลาบา บาดเจ็บ หรือ โจชัว คิมมิช ถูกโยกมาเล่นเป็นกองกลางเท่านั้น โดยลงเล่นไป 26 นัด ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกได้ 7 สมัยติดต่อกัน และลาทีมไปในซัมเมอร์ปี 2019 พร้อมกับ อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟร็องค์ ริเบรี่  

 

 

รักเก่าที่บ้านเกิด

 

 

ราฟินญ่า ตัดสินใจกลับบราซิลอีกครั้ง หลังย้ายไปค้าแข้งในยุโรปกว่า 14 ปี โดยย้ายไปร่วมทีม ฟลาเมงโก้ สโมสรที่เขาชื่นชอบในวัยเด็ก และถึงแม้เขาจะมาในช่วงกลางฤดูกาล ราฟินญ่าก็กลายเป็นแบ็คขวาตัวหลักของทีมทันที และลงเล่นนัดแรกที่เกมที่ถล่ม โกยาส 6-1

 

ทีมในตอนนี้ประกอบไปด้วยนักเตะอย่าง ดีเอโก้ อัลเวส, ดิเอโก้ รีบาส และ ฟิลิเป้ หลุยส์  ซึ่งแต่ละคนต่างมีประสบการณ์ในการคว้าแชมป์มากมายไม่แพ้ ราฟินญ่า และช่วยทำให้ฟลาเมงโก้พลิกสถานการณ์จากทีมที่เกือบตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกโคปา ลิเบอร์ตาดอเรส กลับมาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 38 ปีของสโมสร

 

ริเวอร์ เพลท คู่แข่งในนัดชิงวันนั้น ออกนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 14 แต่ในช่วงท้ายเกม กาเบรียล บาร์โบซ่า ก็เหมา 2 ประตูช่วยให้ฟลาเมงโก้พลิกแซงเอาชนะและคว้าแชมป์ได้ในท้ายที่สุด

 

จากนั้นอีก 24 ชั่วโมงต่อมา ฟลาเมงโก้ ก็คว้าแชมป์เซเรียเอได้ หลังเกรมิโอ้ เอาชนะ พัลไมรัส ได้ ทำให้ราฟินญ่าวัย 34 ปี คว้าแชมป์มาประดับเกียรติยศของตนได้อีกสมัย และมีโอกาสไม่น้อยที่เขาจะคว้าแชมป์เพิ่มอีกรายการกับศึกชิงแชมป์สโมสรโลก เมื่อเข้าไปรอนัดชิงเรียบร้อย หลังเอาชนะ อัล ฮิลาล ตัวแทนจากทวีปเอเชีย 3-1 เมื่อวานที่ผ่านมา

 

ณ ตอนนี้ เขาเป็นนักเตะคนที่ 10 ในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์สโมสรระดับทวีปได้ทั้งยุโรป และ อเมริกาใต้ ในขณะที่ชื่อของเขามักสร้างความสับสนให้กับผู้คนได้มากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรมองข้ามความสำเร็จที่ ราฟินญ่า ทำได้ตลอดอาชีพค้าแข้ง เพราะแค่ 18 โทรฟี่ที่เขาทำได้กับ บาเยิร์น มิวนิค มันก็พิสูจน์ถึงความสามารถและฝีเท้าของ ราฟินญ่า ได้โดยไม่มีข้อสงสัยแล้วล่ะ