รีบปล่อยเกินไป : 11 แข้งที่ย้ายกลับทีมเก่าด้วยค่าตัวสุดแพง

 

ทุกๆสโมสรฟุตบอลบนโลกใบนี้ ต่างมีนักเตะมากมายที่ค้าแข้งอยู่ในทีม และแย่งชิงตำแหน่ง 11 ตัวจริงใหได้ แต่ถ้านักเตะคนไหนทำผลงานได้ไม่เข้าตา หรือเป็นส่วนเกินในทีม ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาเหล่านั้นจะต้องถูกปล่อยตัวออกจากสโมสรไป ไม่ว่าจะไปแบบฟรีๆ หรือขายให้ทีมอื่นในราคาย่อมเยาก็ตาม

 

แต่บางครั้งการตัดสินครั้งนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาดไม่น้อย เนื่องจากนักเตะบางคนที่พวกเขาปล่อยออกไปกลับทำผลงานได้ดีมากๆ จนทีมเก่าต้องดึงตัวกลับมา อย่างเช่น แดนนี่ อิงส์ ที่เซาธ์แฮมป์ตันจ่ายเงินกว่า 18 ล้านปอนด์เพื่อคว้ามาร่วมทีม ทั้งๆที่พวกเขาเคยปล่อยกองหน้าวัย 26 ปีออกจากทีมตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียนอยู่ 

 

และนักบุญไม่ทีมแรกที่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน ทาง UFA ARENA จะพาทุกท่านไปย้อนดู 11 แข้งที่ย้ายกลับทีมเก่าด้วยค่าตัวที่แพงกว่าเดิมอยู่หลายล้าน แต่บางคนต้องใช้คำว่าหลายเท่าตัวน่าจะเหมาะสมกว่า 

 

 

ยูเนส กาบูล (สเปอร์ส) 

 

 

ขายไป 6 ล้านปอนด์ – ซื้อกลับ 9.5 ล้านปอนด์

 

กาบูลย้ายจากโอแซร์มาร่วมทีมไก่เดือยทองในปี 2007 แต่ไม่สามารถทำผลงานได้เข้า ฮวนเด้ รามอส กุนซือของทีม ณ ตอนนั้นได้ ทำให้เขาต้องเก็บข้าวของออกจากลอนดอนในซัมเมอร์ต่อมา โดยย้ายไปอยู่กับ พอร์ทสมัธ ที่มี แฮร์รี่ เร้ดแนปป์ เป็นนายใหญ่อยู่ และที่นั่นเอง ปราการหลังชาวฝรั่งเศสได้โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนกลายเป็นที่รักของแฟนๆในถิ่น เฟรตตัน ปาร์ค

 

ฟอร์มการเล่นของกาบูล ทำให้สเปอร์หันกลับมาคว้าตัวเขาไปร่วมทีมอีกครั้งใน 18 เดือนต่อมา โดยมี จ่าแฮร์รี่ ดึงไปร่วมทีมเหมือนเดิม และจ่ายค่าตัวไป 9.5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่เยอะใช้ได้ในสมัยนั้น จากนั้นกาบูลก็ได้ลงเล่นให้สเปอร์สไปถึง 89 นัดในลีก ก่อนจะย้ายไปซบ ‘แมวดำ’ ซันเดอร์แลนด์ ในปี 2015

 

แกรม เลอ โซซ์ (เชลซี) 

 

 

ขายไป 700,000 ปอนด์ – ซื้อกลับ 5 ล้านปอนด์

 

อดีตแข้งดังจากเมืองเจอร์ซี่ย์ในอังกฤษ แกรม เลอ โซซ์ ใช้เวลา 2 ปีในทีมเยาวชนของสิงห์บลู ก่อนจะสัญญาอาชีพครั้งแรกในปี 1989 แต่ว่าตัวแบ็คซ้ายชาวผู้ดีก็หงุดหงิดไม่น้อยที่ตกเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ภายใต้การดูแลของ เอียน พอร์เตอร์ฟิลด์ และได้เก็บกระเป๋าไปอยู่กับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปี 1993 ด้วยค่าตัว 700,000 ปอนด์ หลังจากบันดาลโทสะเหวี่ยงเสื้อทิ้งในเกมที่พบเซาธ์แฮมป์ตัน

 

ขณะที่เลอ โซซ์ เล่นให้กับทีมกุหลาบไฟ ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนมีส่วนช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกในปี 1995 แต่ว่าในปีต่อมาเขาดันไปมีเรื่องกับ เดวิด เบ็ตตี้ เพื่อนร่วมทีมกลางสนาม ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก จนเพื่อนร่วมทีมต้องมาแยกทั้งคู่ออกไป  จากนั้นในปี 1997 เชลซีตัดสินใจดึงตัวอดีตแข้งเยาวชนของตัวเองกลับไปลอนดอน ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ ทำให้เลอ โซซ์ กลายเป็นกองหลังอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดในตอนนั้นไปโดยปริยาย

 

 

เคราร์ด ปิเก้ (บาร์เซโลน่า) 

 

 

ขายฟรี – ซื้อกลับ 5 ล้านปอนด์

 

อดีตแข้งเยาวชนจาก ลา มาเซีย ปิเก้ได้ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนที่ทีมจากกาตาลุนย่าจะมอบสัญญาอาชีพให้กับเขาซะอีก “ยูไนเต็ดมอบโอกาสพิเศษในการพบปะคลุกคลีกับนักเตะอาชีพในทีม” กองหลังชาวสแปนิชเคยกล่าวไว้ FFT เมื่อปี 2015 “ในบาร์เซโลน่า ปรัชญาที่นั่นแตกต่างกัน และนักเตะต่างชาติมักจะได้โอกาสมากกว่านักเตะในทีมเยาวชน

 

อย่างไรก็ตาม ปิเก้ใช้เวลา 4 ปี ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ลงสนามในลีกแค่ 12 นัดเท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถเบียดขึ้นไปตัวจริงได้ และตัวของเขาก็น่าจะรู้ดีว่าการทำให้ริโอ เฟอร์ดินานด์ กับ เนมานย่า วิดิช กลายเป็นตัวสำรองในตอนนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เขาจึงย้ายกลับถิ่นเก่าด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์

 

นับตั้งแต่นั้น ปราการหลังหนุ่มก็ค่อยเติบโตและสถาปนาตัวเองจนก้าวขึ้นเป็นกองหลังอันดับต้นๆของโลก ด้วยการพาบาร์ซ่าคว้าแชมป์ ลาลีก้า 8 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัย บวกด้วยแชมป์โลกและแชมป์ยูโรอย่างละสมัยกับทีมชาติสเปน ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ว่า 5 ล้านปอนด์ที่อาซูลกราน่าเสียไป คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีก

 

 

เจอร์เมน เดโฟ (สเปอร์ส) 

 

 

ขายไป 6 ล้านปอนด์ – ซื้อกลับ 15.75 ล้านปอนด์

 

เดโฟมีโอกาสลงเล่นให้ถึง 5 สโมสรในพรีเมียร์ลีก ตลอดอาชีพค้าแข้งของเขา ซึ่งทีมใหญ่ที่สุดที่เขาเคยอยู่กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ โดยได้ย้ายไปในถิ่น ไวท์ ฮาร์ท เลน ครั้งแรกในปี 2004 ด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์ ยิงไปทั้งหมด 43 ประตูการลงเล่นทั้งหมด 139 นัด ก่อนจะย้ายไปพอร์ทสมัธในอีก 4 ปีต่อมา

 

แต่กับทีมแดนใต้คือที่ที่กองหน้าชาวอังกฤษทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่ตก ยิงประตูเกือบทุกนัดที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก และต่อมาเขาก็ย้ายกลับไปอยู่ลอนดอนอีกครั้งใน 12 เดือนต่อมา ด้วยค่าตัวกว่า 15.75 ล้านปอนด์ หรือมากถึง 2 เท่าจากที่สเปอร์สเคยขายเขาให้ปอมปีย์ในปี 2007 เลยทีเดียว

 

 

มาร์โก รอยส์ (ดอร์ทมุนด์)

 

 

ขายไปฟรี – ซื้อกลับ 15 ล้านปอนด์

 

ขณะที่รอยส์ มีโอกาสเจริญรอยตาม มาริโอ เกิตเซ่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, อิลคาย กุนโดกัน และ มัตต์ ฮุมเมิ่ลส์ เพื่อย้ายไปประสบความสำเร็จกับทีมใหญ่ๆในยุโรป แต่ทว่าเขาก็ยังคงค้าแข้งกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมที่เป็นเหมือนรักแรกของเขา และอยู่กับทีมมานานกว่า 7 ปีแล้ว หลังจากย้ายมาด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ในปี 2012

 

ก่อนหน้านี้ แข้งทีมชาติเยอรมันเคยลาทีมเสือเหลืองมาแล้วในสมัยเป็นเยาวชน เนื่องจากไม่ได้รับสัญญาอาชีพ และเลือกย้ายไปอยู่กับ ร็อต-ไวส์ อาร์เล่น ในปี 2006 ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น และในปี 2009 ปีกหน้าหล่อก็ได้ย้ายไปอยู่กับทีมที่ใหญ่กว่า ‘สิงห์หนุ่ม’ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ซึ่งที่นั่นทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในบุนเดสลีก้า ก่อนที่ดอร์ทมุนด์จะใช้เวลาซักพักเพื่อดึงตัวเขากลับถิ่น เวสต์ฟาเล่น สตาดิโอน ปัจจุบันรอยส์ในวัย 30 ปีก็ยังเป็นแข้งตัวหลักของเสือเหลือง และไม่มีท่าทีว่าจะย้ายไปออกทีมเลยแม้แต่นิดเดียว

  

 

ปีเตอร์ เคร้าช์ (สเปอร์สกับพอร์ทสมัธ)

 

 

สเปอร์สขายไป 72,000 ปอนด์ – ซื้อกลับ 10 ล้านปอนด์
ปอมปีย์ขายไป 5 ล้านปอนด์ – ซื้อกลับ 11 ล้านปอนด์

 

เคร้าช์ถือเป็นนักเตะที่พิเศษที่สุดในลิสต์นี้ เนื่องจากเขาถูกสโมสรเก่าซื้อกลับไปด้วยราคาสุดแพงถึง 2 ทีม โดยเริ่มแรกในสมัยที่เป็นแข้งเยาวชนในสเปอร์สช่วงปลายยุค 90 เขาถูกขายให้กับคิวพีอาร์แค่ 72,000 ปอนด์ ในปี 2000 ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงเล่นให้กับต้นสังกัดแม้แต่นัดเดียว

 

จากนั้นกองหน้าร่างโย่งก็ได้ย้ายไปเล่นทั้ง พอร์ทสมัธ, แอสตัน วิลล่า, นอริช, เซาธ์แฮมป์ตัน และ ลิเวอร์พูล ก่อนที่เขาจะกลับไปถิ่น ไวท์ ฮาร์ท เลนในปี 2009 โดยเซ็นสัญญกับ 5 ปี ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ และถึงแม้จะยิงแค่ 12 ประตูจากการลงเล่นในลีก 73 นัด แต่ยิด อาร์มี่ ก็จดจำเขาไม่มีวันลืมในฐานะที่ยิงประตูชัยช่วยให้ทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อคว้าตั๋วไปเล่นในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกได้

 

ส่วนเส้นทางของเคร้าช์กับพอร์สมัธนั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 2001 เมื่อทีมแดนใต้ยื่นซื้อเขาด้วยราคา 1.5 ล้านปอนด์ และโชว์ฟอร์มโหดซัดไปถึง 18 ตุง แต่ว่าหัวหอกชาวผู้ดีก็อยู่ในถิ่นแฮมเชียร์ไม่นานนัก ก็ย้ายไปแอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ในปีต่อมา ก่อนที่เวลาจะผ่านได้อย่างรวดเร็วจนกระทั่งในปั 2008 เคร้าช์ก็ย้ายกลับมาอยู่กับปอมปีย์อีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ค่าตัวของเขามากขึ้นเป็น 2 เท่าจากที่เคยขายไป โดยในครั้งนี้เขายิงไป 11 ประตูจากการลงเล่นในลีก 38 นัด และย้ายไปสเปอร์สอย่างที่เราทราบกันดี

 

 

อลัน เชียเรอร์ (นิวคาสเซิล) 

 

 

ไม่ผ่านคัดตัว – ซื้อกลับ 15 ล้านปอนด์

 

ในช่วงที่เชียเรอร์เริ่มมีชื่อเสียงกับเซาธ์แฮมป์ตัน หลายๆคนต่างประหลาดใจพอสมควรเมื่อพบว่าเขาเป็นชาวจอร์ดี้พันธ์แท้ 100 เปอร์เซนต์ ที่ย้ายจากบ้านมาค้าแข้งในแดนไกล ซึ่งจริงๆตัวของเขาก็ต้องการอยู่กับทีมนิวคาสเซิลในบ้านเกิด ถ้าเลือกได้ เพียงแต่สโมสรที่เขารักไม่ประทับใจกับฟอร์มการเล่นของเชียเรอร์ในการคัดเลือกนักเตะเท่าไหร่นัก 

 

แต่แข้งหนุ่มที่เดอะ แม็กพายส์ ไม่ต้องการ กลับมีค่ากับทีมนักบุญมากๆ เมื่อ ฮ็อตช็อต ซัดไปถึง 43 ประตูจากการลงเล่น 158 นัด ก่อนจะย้ายไปแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และช่วยให้ทีมจากแลงคาเชียร์สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 80 ปี

 

หลังจากที่เขาโชว์ฟอร์มอันร้อนแรงในศึกยูโร 1996 เชียเรอร์ก็เตรียมตัวโยกย้ายอีกครั้ง หลังมีข่าวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่ในลีกตอนนั้น แต่ทันทีที่เขาได้ยินว่า สาลิกาดง สนใจในตัวเขาเช่นกัน ทีมแดนอีสานจึงเป็นจุดหมายเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ ทำให้นิวคาสเซิลยอมจ่ายเงิน 15 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลก ณ ตอนนั้น เพื่อดึงกองหน้าชาวอังกฤษมาร่วมทีม และตอบแทนทีมรักโดยซัดไปถึง 206 ประตูจากการลงเล่น 404 นัด พร้อมกับทำสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกที่ 260 ประตูด้วย

 

 

เนมานย่า มาติช (เชลซี) 

 

 

ขายไป 21 ล้านปอนด์ในดีล ดาวิด ลุยซ์ – ซื้อกลับ 22.95 ล้านปอนด์

 

มาติชย้ายจาก โคชิเซ่ ทีมจากสโลวาเกีย มาอยู่กับเชลซีด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ในปี 2009 แต่ก็เหมือนดาวรุ่งส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักได้ ก่อนจะถูกปล่อยให้ วิเทตส์ ยืมตัวไปใช้งานเพื่อเก็บเกี่ยวชั่วโมงบินให้มากขึ้น แต่ด้วยกองกลางที่ล้นทีมจนเกินไป ทำให้คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือสิงห์บลูได้จับ มาติช มาอยู่ในดีลคว้าตัว ดาวิด ลุยซ์ จากเบนฟิก้า มาร่วมทีม ในปี 2011

 

  แต่ถึงอย่างนั้น กองกลางชาวเซิร์บกลับประสบความสำเร็จอย่างมากในโปรตุเกส หลังจาก ฆอร์เก้ เฆซุส ได้ดัดแปลงตำแหน่งของมาติชจาก เพลย์เมกเกอร์ ให้กลายมาเป็น กองกลางตัวรับแบบเต็มตัว จนทำให้เชลซีตาสว่างต้องดึงเขากลับมาร่วมอีกครั้งในปี 2014 ด้วยค่าตัว 22.95 ล้านปอนด์ แบบไม่มีใครเข้ามาเอี่ยวในดีล และกลายเป็นแข้งคนสำคัญของโชเซ่ มูรินโญ่ ในการพาสิงห์บลูคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2014-15

 

 

นิโกลาห์ อเนลก้า (เปแอชเช) 

 

 

ขายไป 500,000 ปอนด์ – ซื้อกลับ 22 ล้านปอนด์

 

อเนลก้าประเดิมสนามกับ เปแอชเช ในปี 1996 ซึ่ง ณ ตอนนั้นพวกเขายังเป็นทีมระดับกลางในลีกเอิงอยู่ แต่ไม่นานเขาก็มีข่าวกับยอดทีมในอังกฤษอย่าง อาร์เซน่อล ก่อนที่ทีมปืนใหญ่จะได้ตัวดาวรุ่งดวงใหม่ไปร่วมทีมสมใจ ด้วยราคาแค่ 500,000 ปอนด์เท่านั้น ก่อนที่อีก 2 ปีต่อมา อาร์เซน เวนเกอร์ จะปั่นราคา และขายอเนลก้าให้กับเรอัล มาดริด ด้วยราคา 22.3 ล้านปอนด์

 

อย่างไรก็ตาม หัวหอกชาวฝรั่งเศสฟอร์มตกอย่างมากกับการค้าแข้งในสเปน เขาต้องใช้เวลาถึง 7 เดือนกับการยิงประตูแรกในลาลีก้า แถมยังมีเรื่องกับ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ กุนซือของราชันชุดขาวในตอนนั้น จนถูกห้ามลงเล่นโดยที่ไม่ได้รับค่าจ้างกว่า 45 วัน ซึ่งอเนลก้าได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า “พวกเขาทำเหมือนผมเป็นหมา ผมเลยอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อต่อต้านทุกคน” ฉายา ‘เลอ ซูลค์’ ที่ใครเรียกกันคงไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่นอน

 

จากนั้นไม่นาน อเนลก้าก็ได้ย้ายกลับไปอยู่ทีมเก่าอีกครั้งในกรุงปารีส โดยมีค่าตัวสูงถึง 22 ล้านปอนด์ ในปี 2000 แต่ผลงาน 10 ลูกจากลงสนาม 39 นัด คงไม่เป็นที่ปลาบปลื้มของสาวกปารีเซียงเท่าไหร่ ทำให้เขาต้องโยกย้ายอีกครั้ง ซึ่งรวมๆแล้วเขาค้าแข้งให้สโมสรอาชีพกว่า 12 ทีม และไม่มีทีมไหนที่เสียหายไปมากกว่า เปแอชเชอีกแล้วล่ะ

 

 

เชส ฟาเบรกาส (บาร์เซโลน่า) 

 

 

ขายไปฟรี – ซื้อกลับ 27 ล้านปอนด์

 

เช่นเดียวกับ ปิเก้, ฟาเบรกาส ก็เริ่มต้นฝึกฝนวิชาลูกหนังกับบาร์เซโลน่า ก่อนจะย้ายมาเล่นในอังกฤษตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยย้ายอยู่กับอาร์เซน่อลในปี 2003 และกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ในปีเดียวกัน หลังจากนั้นในปี 2008 ฟาเบรกาสก็ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมปืนใหญ่

 

การกลับไปค้าแข้งกับทีมบ้านเกิดคือสิ่งที่ติดอยู่ในใจของกองกลางชาวสแปนิชมาตลอด และฟาเบรกาสก็ได้ย้ายสมใจในปี 2011 ด้วยค่าตัวกว่า 27 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม หลายๆอย่างดูไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ในถิ่น คัมป์ นู ทำให้กองกลางวัย 27 ปีในตอนนั้นย้ายกลับมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับเชลซีในอีก 3 ปีต่อมา

 

 

พอล ป็อกบา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) 

 

 

ขายไปฟรี – ซื้อกลับ 89 ล้านปอนด์

 

ในกรณีของป็อกบา น่าจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนพอเข้าใจได้ เนื่องจากเขาไม่ได้รับโอกาสลงเล่นเลยภายใต้การคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และทุกๆอย่างก็ดูชัดเจนดี เมื่อราฟาเอล ถูกขยับมาในแดนกลาง ทั้งๆที่ตำแหน่งจริงๆของเขาเป็นแบ็คขวา ส่งผลให้กองกลางชาวฝรั่งเศสบอกลาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดและย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุสแบบฟรีๆในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 “พูดตรงๆนะ ผมไม่คิดว่าเขาแสดงความเคารพอะไรให้เราเห็นเลย” เฟอร์กี้ กล่าวถึงช่วงเวลาในตอนนั้น

 

แต่การย้ายทีมครั้งนั้นทำให้ป็อกบา (และ มิโน่ ไรโอล่า เอเย่นต์ตัวแสบของเขา) ได้ประโยชน์แบบเต็มๆ เนื่องจากเขาสร้างชื่อจนกลายเป็นหนึ่งในกองกลางดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุค จนปีศาจแดงต้องไปดึงเขากลับมาด้วยค่าตัว 89 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นสถิติโลก ณ ตอนนั้น ในปี 2016 ด้วยสัญญา 5 ปี และคนที่ได้ประโยชน์จากดีลนี้แบบมหาศาล ก็หนีไม่พ้น ไรโอล่า เอเย่นต์ร่างท้วมอยู่ดี