รอดไม่รอด? : ร็อดเจอร์สกับช่วงเวลาสุดกดดันในรั้วจิ้งจอก

รอดไม่รอด? : ร็อดเจอร์สกับช่วงเวลาสุดกดดันในรั้วจิ้งจอก

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตกอยู่ในสภาวะกดดันแบบสุดๆกับผลงานอันย่ำแย่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจสถานการณ์นี้ดี และขอมุ่งมั่นสู้ต่อไป เพียงมีโอกาสที่เขาจะพลิกสถานการณ์ได้จริงๆหรือ?

ณ เวลานี้ ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ รั้งอันดับบ๊วยในพรีเมียร์ลีก หลังเก็บได้เพียงแต้มเดียวจาก 7 เกมแรกในซีซั่น นับเป็นการออกสตาร์ทที่ย่ำแย่ที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่ปี 1983 หลังพ่ายให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แบบหมดสภาพ 6-2 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สกอร์ดังกล่าวอาจทำให้หลายคนเข้าใจรูปเกมผิดไป เมื่อ ซอน เฮือง มิน ลุกจากม้านั่งสำรองลงมาซัดแฮตทริก ในช่วงที่การแข่งขันของเกมยังสูสีกัน

แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาและไม่สามารถปฏิเสธได้คือการที่ ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ พ่ายไปแล้ว 6 นัดติด ทั้งๆที่ บีร็อด เป็นหนึ่งใน 4 กุนซือที่พาทีมคว้าแชมป์ได้ กับถ้วยเอฟเอ คัพ เมื่อ 16 เดือนก่อน

คำถามก็คือ ร็อดเจอร์ส ยังเหลือเครดิตให้ได้รับโอกาสได้ไปต่อกับบทบาทนี้ที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม อีกมากน้อยแค่ไหน?

 

หนีตกชั้นครั้งแรก

Reality Check At Last-place Leicester as Rodgers Faces Heat - Bloomberg

ร็อดเจอร์ส ได้เข้ามาแทนที่ โคล้ด ปูแอล ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 รับรู้สถานการณ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเจอภาวะเก้าอี้ร้อนใน เลสเตอร์ เป็นครั้งแรก

ตลอด 3 ปีในทีม กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ ไม่เคยพาทีมจบอันดับต่ำกว่าครึ่งตาราง แม้แต่ในปีที่เข้ามาช่วงกลางซีซั่น แต่ปีนี้ทีมกลับต้องหล่นมาหนีตกชั้นตั้งแต่ 7 นัดแรกของฤดูกาล 

ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็มั่นใจจะสามารถก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดได้แน่นอน และพร้อมสู้ต่อไปเช่นกัน

“ผมเชื่อเสมอว่าเราสามารถเอาชนะมันได้ วันนี้คุณเห็นได้ทีมไม่ได้ขาดความมั่นใจ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีเสมอมา ผมจะสู้ต่อไป แต่ผมเข้าใจเกมและการแพ้ 6 นัดนั้นไม่เป็นผลดีต่อใครเลย” บีร็อด กล่าวกับ BBC Sport

“ผมเข้าใจถึงความผิดหวังของแฟนๆอย่างแน่นอน ผมไม่สามารถปิดบังได้ มันเป็นความรับผิดชอบของผม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะเคารพพวกเขาอย่างมาก (เจ้าของทีม) เพราะพวกเขาให้การสนับสนุนผมเป็นอย่างดี ผมเข้าใจเกม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผมที่เลสเตอร์ ไม่ว่าผมจะอยู่ต่อและสู้ต่อไปก็ตาม เคารพพวกเขาเสมอ”

ขณะที่ เจมส์ แมดดิสัน ผู้ทำประตูได้ 2-2ก่อนช่วงพักครึ่งในเกมพ่าย สเปอร์ส กล่าวว่าผู้เล่นในทีมก็มีส่วนต้องรับผิดชอบกับผลงานอันย่ำแย่ในทีมเช่นกัน

“ผู้คนจะตรวจสอบผลสกอร์เห็นเป็น 6-2 และคิดว่า ‘ว้าว เลสเตอร์โดนถล่มอีกแล้ว’ แต่ผมไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น” เขา กล่าวกับ Sky Sports

“ในครึ่งแรกรู้สึกเหมือนกับนี่เป็นเลสเตอร์ที่เรารู้จักและทีมเบรนแดน ร็อดเจอร์สที่เราสร้างขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยการเพรสสูงและการสร้างโอกาส มันยากที่จะรับมือ”

“ผู้เล่นควรจะเอาจริงเอาจัง (ไม่ใช่แค่ร็อดเจอร์ส) มันคือทีม ไม่ใช่ผู้จัดการทีมคนเดียว เราคือ 11 ตัวจริงที่อยู่ตรงนั้น มันเจ็บปวดเมื่อคุณเคารพผู้จัดการทีมจริงๆ และท้ายที่สุด เราคือผู้เล่นที่นั่น” และเรายังไม่ได้แสดงให้เห็นเลยในช่วงนี้ที่ผ่านมา”

 

เลสเตอร์แย่แค่ไหน

After years of lofty achievement Leicester find themselves in a flux | Daily Mail Online

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ เลสเตอร์ เป็นเพียงทีมเดียวที่ยังไม่สามารถหาชัยชนะได้เลย โดยรั้งอันดับที่ 20 มีเพียงแต้มเดียวจาก 7 นัดแรก

การพลิกสถานการณ์ยังพอมีความเป็นไปได้ แต่ในอดีตมีเพียง เซาแธมป์ตัน ในฤดูกาล 1998-99, นิวคาสเซิ่ล ฤดูกาล 1999-2000, ซันเดอร์แลนด์ ฤดูกาล 2013-14 และ คริสตัล พาเลซ ฤดูกาล 2017-18 ที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุด หลังออกสตาร์ทด้วยผลงานลักษณะดังกล่าว อีกทั้่ง นักบุญ ในฤดูกาลนั้น ภายใต้การดูแลของ เดฟ โจนส์ เป็นเพียงทีมเดียวจาก 4 สโมสรเหล่านั้นที่ไม่เป็นเปลี่ยนตำแหน่งผู้จัดการทีมด้วย

จริงๆแล้ว ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ ก็ไม่ได้แย่ทั้งหมด เพราะมีเพียง 7 ทีมเท่านั้นที่ยิงประตูได้มากกว่าพวกเขาในฤดูกาลนี้ โดยทำไปได้ 10 ลูกจาก 7 นัด เพียงแต่ว่าปัญหาที่น่าปวดหัวและเป็นกังวลมากกว่าก็คือเกมรับที่ยุ่ยเหมือนทิชชู่เปียก

ณ ตอนนี้ เลสเตอร์ เสียประตูไปแล้ว 22 ลูก มากกว่าทุกทีมในลีกฤดกาลนี้ หลังผ่านไป 7 เกม และมีสถิตินี้ย่ำแย่เทียบเท่ากับ เวสต์แฮม ในฤดูกาล 1965-66 ด้วย

หากนับช่วงปลายซีซั่นก่อน เลสเตอร์ เสียประตูจากลูกตั้งเตะไปแล้ว 25 ครั้งในพรีเมียร์ลีก มากกว่าทีมไหนๆในช่วงเวลานี้เช่นกัน อีกทั้ง บีร็อด ยังมองว่าทีมของเขา 4 จาก 6 ประตูที่เสียไปในลักษณะนั้นมาจากความผิดพลาดส่วนบุคคลของผู้เล่นในทีมด้วย อีกทั้งยังเสียประตูเละเทะถึง 11 ลูกในช่วง 2 เกมหลังสุด ซึ่งรวมถึงเกมพ่าย ไบรท์ตัน 5-2 ด้วย

มากไปกว่านั้น กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ ไม่เคยแพ้ 6 เกมรวดมาก่อน ตลอดอาชีพกุนซือ ทั้งกับ วัตฟอร์ด, เร้ดดิ้ง, สวอนซี, ลิเวอร์พูล และ เซลติก ที่เขาคว้าแชมป์ที่นั่น 7 รายการในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี

 

อนาคตต่อไปที่รออยู่ของบีร็อด

Blaming Leicester City's chairman won't end well for Brendan Rodgers

เลสเตอร์ จบอันดับที่ 9, 5, 5 และ 8 ในพรีเมียร์ลีก ตลอดเวลา 4 ปีที่มีชายนามว่า ร็อดเจอร์ส กุมบังเหียน

หากไม่นับช่วงเวลาที่ ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบปาฏิหาริย์ ฤดูกาล 2015-16 ภายใต้การดูแลของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ครั้งสุดท้ายที่ทีมจบอันดับมากกว่าที่ 5 ในลีกสูงสุดคือฤดูกาล 1962-93

อีกทั้งมีเพียง รานิเอรี่, บีร็อด, มาร์ติน โอนีลล์ (ลีกคัพ ปี 1997 และ 2000) และ แม็ตต์ กิลลี่ส์ (ลีกคัพ ปี 1964) ที่เคยคว้าแชมป์กับ เลสเตอร์ ทว่าสถานการณ์ที่ทีมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าทำให้ กุนซือคนปัจจุบัน อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงตกงานเช่นกัน

การเสริมทัพในซัมเมอร์ที่ผ่านมา กลายเป็นปัญหาที่แฟนๆ จิ้งจอก ไม่ปลื้มกับทีมรักเท่าไหร่ เพราพวกเขาเป็นทีมที่เสริมทัพน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ หัวเสียอย่างมากเช่นกัน

เว้าท์ ฟาส กลายเป็นักเตะที่คนเดียวที่ เลสเตอร์ ดึงมาร่วมทีม เพื่อแทนที่ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ที่ย้ายไป เชลซี ขณะที่ก่อนหน้านี้ทีมดึง อเล็กซ์ สมิธตี้ส์ นายด่านจากคาร์ดิฟฟ์ มาแบบไร้ค่าตัว หลัง เคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ย้ายไปเฝ้าเสาให้ นีซ

ผลงานของทีมอาจไม่ดีก็จริง แต่นี่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ เลสเตอร์ ควรตอบแทนความจงรักภักดีของ บีร็อด เนื่องจากเขาเลือกคุมทีมในถิ่น คิง พาวเวอร์ ต่อไป ทั้งๆที่มีโอกาสย้ายไปรับงานที่ดีกว่านี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

แต่คำถามหนึ่งก็จะเข้ามาในหัวของ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เจ้าของ เลสเตอร์ เช่นกันว่าถ้าหากเขาให้โอกาส ร็อดเจอร์ส ทำหน้าที่ต่อไป ทีมของเขาจะอยู่รอดในลีกสูงสุดต่อไปได้จริงๆ?

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

แค่เดือนเดียว : เลวานดอฟสกี้กับ 10 โคตรสถิติที่ทำกับบาร์ซ่า
แค่เดือนเดียว : เลวานดอฟสกี้กับ 10 โคตรสถิติที่ทำกับบาร์ซ่า