ลาลีกาสมัยที่34 :แชมป์ที่คู่ควรของทัพ”ราชันชุดขาว” 

 

ตลอดระยะเวลา 1 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้ทัพ “ราชันชุดขาว” จะครองแชมป์ ยุโรป มาได้อย่างมากมาย แต่สำหรับแชมป์ ลาลีกา สเปน นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของคู่แค้นตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า มาตลอด 10 ปีหลังสุด

 

 

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016/17  เรียกว่า 3 ฤดูกาลเต็มที่ทัพ “โลส บลังโกส” ไร้ถ้วยแชมป์ลีก และฤดูกาลนี้พวกเขาต้องใช้เวลากว่า 11 เดือนเต็ม เพื่อทำมันได้สำเร็จ ซึ่งคงไม่มากเกินไปนักหากจะพูดว่านี่คือแชมป์ ลา ลีกา สเปน ที่ยากและยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร 

 

 

ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ ซีเนอดีน  ซีดาน อำลาทีมไป นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่านี่คือผลกระทบครั้งใหญ่ ไม่ต่างจากการเสีย คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ไปให้ยูเวนตุส  

 

 

          ฟลอเรติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรนั้นใช้กุนซือหลายต่อหลายคน แต่ก็ไม่มีใครทำผลงานเข้าเป้าจนต้องไปเสี่ยงใช้งานคนในอย่าง ซานติอาโก้ โซลารี่ ซึ่งผลงานช่วงแรกแม้ว่าจะดูได้ แต่เมื่อต่อสัญญาอย่างเป็นทางการทีมกลับดิ่งลงเหว ท่ามกลางคำถามว่าจะมีใครเข้ามารับเผือกร้อนชิ้นนี้เป็นคนต่อไป 

 

 

          สุดท้าย เปเรซ ยอมหวนไปถึงหนึ่งในกุนซือที่เขารักที่สุดอย่าง ซีดาน ที่แม้ว่าตอนแรก กุนซือชาวฝรั่งเศส นั้นดูเหมือนจะไม่ยอมหวนกลับมารับงานนี้ เพราะรู้สึกว่าหมดแพสชั่นกับทีมที่เขาสร้างมาจนประสบความสำเร็จแล้ว และก็ไม่ค่อยชอบนักที่ เปรเซ มักชอบเข้ามามาแทรกแซงการทำงานของเขา

 

 

หลังเจรจากันลงตัวซึ่งข้อเสนอสำคัญคือ ซีดาน นั้นต้องการที่จะดูแลทุกส่วนด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องการเสริมทัพ ที่จะไม่ยอมให้ใครเข้ามามาก้าวก่ายอีกแล้ว และแม้จะล้มเหลวเมื่อฤดูกาลแรกที่เขามีเวลาขัดเหลาทีมเพียง 3 เดือน และจบที่อันดับ 3 ของลีก 

 

 

ฤดูกาลนี้ ซีดาน ได้เสริมทัพนักเตะที่ต้องการ ถึง 7 ราย เป็นเงินกว่า 300 ล้านยูโร ไม่ว่าจะเป็น เอแดน อาซาร์,ลูก้า โยวิช,เอแดร์ มิลิเตา,แฟร์กล็อง เมนดี้,โรดรีโก้ โกเอส,อัลฟอง อาเรโอล่า และ ทาเคฟุส คุโบะ ซึ่งโอเคหละแข้งเกือบทั้งหมดยกเว้น เมนดี้ จะเรียกได้ว่าสอบตกก็ไม่เชิง แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่า กุนซือชาวฝรั่งเศส นั้นมีอิสระในการเลือกนักเตะจริงๆ 

 

 

พ้นช่วงพักเบรคจากการแพร่ระบาดของ โควิด -19 ที่ยาวนานร่วม 3 เดือนเต็ม เรอัล มาดริด สร้างผลงานระดับ มาสเตอร์พีซ ด้วยการคว้าชัย 10 นัดรวด แซง “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า จ่าฝูงของตาราง ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ในแมตช์ที่ 37 ของฤดูกาล  

 

 

          แต่สิ่งสำคัญในการกลับทวงบัลลังก์แชมป์หนนี้ คำตอบไม่ได้อยู่ที่การเสริมทัพเพียงอย่างเดียว และนี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ มาดริด ชุดนี้หวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง  

ยกเครื่องแนวรับครั้งใหญ่ ภายใต้นักเตะชุดเดิม

 

ซีดาน นั้นได้รับการยกย่องอย่างมาก สำหรับการสร้างความสามัคคีภายในทีม แต่เขานั้นโดนวิจารณ์ไม่น้อยในเรื่องการจัดแท็คติก ว่ายังได้ไม่ดีพอในการคุมทีมหนแรก โดยเฉพาะเกมรับ แต่มาคราวนี้ ซิซู สร้าง บรรทัดฐานในเกมรับต่างจากเดิมแบบสิ้นเชิง เล่นกันเป็นระบบระเบียบมาก ช่วยเหลือเกื้อกูลกันดี จนทำให้ทีมมีสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในลาลีกา และโดนเจาะตาข่ายไปเพียง 23 ประตูเท่านั้น จาก 37 เกมที่ผ่านมา ต่างจาก 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ที่เสียไปถึง 44 และ 46 ประตู  แบบสิ้นเชิง

 

ในตำแหน่งรายบุคคลที่เห็นได้ชัดมากคือในตำแหน่งแบ็กซ้ายอย่าง แฟร์กล็อง เมนดี้ ที่คว้ามาจาก โอลิมปิก ลียง ต้องเรียกว่าเป็นแข้งที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่ ซีดาน ซื้อเข้ามาในฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้ และแบ็กชาวฝรั่งเศสรายนี้ จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนของ มาร์เซโล่ ในอนาคตอันใกล้แน่นอน

 

ขณะที่ เซร์คิโอ รามอส แม้จะอยู่ในวัย 34 ปี แต่กัปตันทีมรายนี้เหมือนกลับมาเกิดใหม่ เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมร้อนแรงยิ่งกว่าเก่า เรียกได้ว่าปีนี้แทบจะเป็นปีที่เขาเล่นได้ดีที่สุดในชีวิตแล้วก็ว่าได้ ผนวกกับคู่พาร์ตเนอร์อย่าง ราฟาเอล วาราน ที่เก๋าเกิมกว่าเดิมเยอะในวัย 27 ปี และเป็นปีที่เขาน่าจะเล่นได้ดีที่สุดเช่นกัน

 

ที่สำคัญคือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารที่คว้าตัวมาจากเชลซี และฟอร์มตกสุดขีดเมื่อฤดูกาลก่อน จนได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก  แต่มาฤดูกาลนี้ เขาแสดงให้เห็นแล้วว่าเมื่อเรียกความมั่นใจกลับมาก็ไม่เป็นรองใครหน้าไหนทั้งสิ้น  และเก็บคลีนชีตไปถึง 18 ครั้ง นับเป็นสถิติที่ดีกว่า ยาน โอบลัค จอมหนึบของ แอตเลติโก มาดริด ที่ทำได้ 17 ครั้งด้วยซ้ำ

 

ยิงประตูได้จากทุกตำแหน่งในสนาม

 

“ราชันชุดขาว” ฤดูกาลนี้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีดีเพียงแค่แนวรุก แต่มีดีทุกตำแหน่ง เพราะมีนักเตะในทีมถึง 21 รายที่ยิงประตูได้ และมีเพียง เอแดร์ มิลิเตา กับ บราฮิม ดิอาซ เพียง 2 รายเท่านั้นที่ไม่สามารถทำประตูได้   ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในลาลีกา ที่จะมีทีมที่กระจายคนยิงได้มากขนาดนี้ คาริม เบนเซมาในฐานะศูนย์หน้าคือคนที่ทำประตูได้มากที่สุด ขณะที่คนที่ทำประตูได้รองลงมาคือกัปตันทีม รามอส ที่ยิงไป 10 ประตูในฤดูกาลนี้ ซึ่ง 6 ประตูมาจากการยิงจุดโทษ

 

ซีดาน ทำสิ่งนี้ได้ เนื่องจากความสามารถในการบริหารจัดการทีมอย่างดี แม้แต่ผู้เล่นที่เขาไม่ต้องการอย่าง แกเร็ธ เบล หรือ ฮาเมส โรดริเกซ ต่างก็ได้โอกาสในการลงเล่นตามสมควรและยิงประตูได้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงแข้งรายอื่นที่จะถูกกระตุ้นและถูกทำให้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนสำคัญของทีม นักเตะเหล่านี้จะทุ่มเทในการเล่นมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าทางเดียวที่จะช่วยให้ทีมไปสู่ความสำเร็จ  ซึ่งการที่ กุนซือชาวฝรั่งเศส สั่งให้ทุกตำแหน่งยิงประตูเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ มันช่วยแบ่งเบาภาระในการฝากความหวังเอาไว้ที่เพียงกองหน้าได้เป็นอย่างดี  

 

 

ยกระดับดาวรุ่งสู่ตัวจริง

 

แม้ว่าฤดูกาลนี้ ทีมจะยังมีแข้งแกนหลักมากประสบการร์อย่าง รามอส (34 ปี) ,โมดริช (34 ปี) และ เบนเซม่า (32 ปี) คอยประคองทีมอยู่  แต่บอกเลยว่านี่คือซีซั่นที่ทัพ “โลส บลังโกส” สร้างดาวรุ่งขึนมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้มากมาย เพราะมีแข้งดาวรุ่งแจ้งเกิดขึ้นมาหลายต่อหลายราย  หากใครจำกันได้ก่อนหน้านี้ คาเซมิโร่ เคยแจ้งเกิดมาแล้ว สมัย ซีดาน คุมทัพรอบแรก มาหนนี้เราได้รู้จักกับ เฟรดเดริโก้ บัลเบร์เด้ ห้องเครื่องทีมชาติอุรุกวัยวัย 21 ปี ที่ได้ลงสนามไปถึง 42เกมในฤดูกาลนี้

 

นอกจากนี้ยังมี แฟร์กลอง เมนดี้ ที่ย้ายมาร่วมทีมและสามารถทดแทน มาร์เซโล่ ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงแนวรุกที่ซื้อมาบ่มเพาะอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดริโก้ ก็ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และลงเล่นเป็นตัวหลักได้อย่างไม่เคอะเขิน

 

  นี่ยังไม่นับรวมแข้งที่ปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัวอย่าง ทาเคฟุสะ คูโบะ (เรอัล มายอร์ก้า) ,มาร์ติ โอเดการืด  (เรอัล โซเซียดัด )และ เซร์คิโอ  เรกีล่อน (เซบีญ่า) ที่ต่างมีแววว่าจะดีพอที่จะกลับมาช่วยสโมสรในฤดูกาลหน้า

 

 

 

เบนเซม่า กับฤดูกาลที่เปร่งประกายที่สุด 

มีเพียงแค่ ลีโอเนล เมสซี่ คนเดียวเท่านั้นที่ทำประตูในลาลีกา ได้มากกว่า เบนเซม่า ในฤดูกาลนี้ แข้งลูกรักของ ซีดาน ผู้ไม่เคยทำให้คนที่เขาไว้ใจต้องผิดหวัง ฤดูกาลนี้ ดาวยิงเลือดเฟรนช์ จัดเต็มด้วยการยิงไปถึง 21 ประตู พร้อมแอสซิสต์ไปอีก 8 ครั้ง

 

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าตัวเลขในสถิติของ เบนเซม่า นั้นคือเขาเป็นกุญแจสำคัญที่ยอดเยี่ยมในการเชื่อมโยงแนวรุกทุกคน ด้วยการเล่นในแบบที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะนอกจากตำแหน่งหน้าเป้าแล้ว เขามักจะลงไปช่วยทีม ในตำแหน่งกองกลางตัวรุก หรือตำแหน่งกองหน้าฝั่งซ้ายอย่างสม่ำเสมอ  พร้อมกับหาพื้นที่ในการทำประตูและครองบอลไว้ได้เสมอ       

 

ตลอด 2 ฤดูกาลที่ เรอัล มาดริด ไม่มี โรนัลโด้ ดาวยิงเลือดเฟรนช์แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีดีพอที่ทีมจะฝากความหวังเอาไว้ได้ ไม่เพียงยิงประตูแต่เขายังช่วยให้เพื่อนร่วมทีมเฉิดฉายฟอร์มของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น เอแดน อาซาร์ ที่แม้จะพบกับฤดูกาลที่น่าผิดหวังจากอาการบาดเจ็บแต่เมื่อได้รับโอกาสลงเล่นก็ไม่ได้แน่มากนัก  รวมไปถึง วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดรีโก้ 2 ดาวรุ่งแซมบ้า ที่แจ้งเกิดในฤดูกาลนี้อย่างเต็มตัว ล้วนแต่มาจากการแนะนำแนวทางการเล่นจากเขาทั้งสิ้น

 

ที่สำคัญที่สุดคือฤดูกาลนี้ เบนเซม่า แทบไม่ได้รับบาดเจ็บเลย และเป็นนักเตะที่ได้ลงสนามมากที่สุด ซึ่งมีเพียง คาเซมิโร่ เพียงคนเดียวที่ได้เล่นมากกว่าเขา

 

                                      DaboyG