ลูก้า โยวิช: เส้นทางค้าแข้งที่ขึ้นเร็วลงเร็วราวกับรถไฟเหาะ

ลูก้า โยวิช: เส้นทางค้าแข้งที่ขึ้นเร็วลงเร็วราวกับรถไฟเหาะ

หากพูดถึง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ยังคงเป็นยอดทีมเบอร์หนึ่งของโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่านักเตะหลายคนต่างก็มีความฝันอยากจะเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้

พวกเขาขึ้นชื่อว่าเป็นทีมรวมดาราตั้งแต่ยุค “กาลาติกอส” ที่รวมเอาเหล่าบรรดาแข้งซูเปอร์สตาร์เข้าสู่ทีม บางรายก็ประสบความสำเร็จ ส่วนอีกหลายรายก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

หนึ่งในนั้นที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ลูก้า โยวิช ดาวยิงจอมถล่มประตูชาวเซอร์เบีย ที่ย้ายไปนั่นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในดีลยอดแย่ของสโมสร

วันนี้ UfaArena จะพาทุกท่านย้อนกลับไปดูเส้นทางการค้าแข้งฟุตบอลอาชีพของ ลูก้า โยวิช ที่ขึ้นเร็วลงเร็วราวกับกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ

๐ ชีวิตในวัยเด็ก

เด็กหนุ่มรายนี้เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1997 ที่เมือง บิเจลจิน่า ในเขตของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บิดาของเขาคือ มิลาน โยวิช ซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอลของ ปาร์ติซาน เบลเกรด และเล่นให้กับอีกหลายทีมในรัสเซีย

แม้จะมีคุณพ่อเป็นนักฟุตบอล แต่ชีวิตในวัยเด็กของ ลูก้า โยวิช นั้นค่อนข้างลำบาก อาศัยอยู่ในแถบชนบทที่เรียกว่า “บาตาร์” อยู่ห่างจากเมืองใหญ่อย่าง บิเจลจิน่า ไปทางทิศใต้ประมาณ 14 ไมล์

เพราะในตอนนั้นฟุตบอลในแถบนั้นยังเป็นสมัครเล่นอยู่ไม่ได้เป็นอาชีพเต็มตัวเหมือนสมัยนี้ และในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะเกิด ในบอสเนียฯ ต้องเจอกับสงครามกลางเมือง การถูกรุกราน ทำให้อาชีพนักฟุตบอลนั้นไม่มีความมั่นคง และพ่อของเขาไม่ใช่ผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์

เขาไม่มีของเล่นเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ มีเพียงลูกฟุตบอล และเพื่อนที่เล่นด้วยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคุณพ่อของเขานั่นเอง ที่ตัดสินใจไม่ไปต่อในอาชีพค้าแข้ง เลือกที่จะส่งต่อความฝันทั้งหมดให้กับลูกชาย

โยวิชเริ่มเล่นฟุตบอลในตอนอายุ 5 ขวบ และในอีก 3 ปีต่อมาก็เข้าอคาเดมี่ของ เรด สตาร์ เบลเกรด เดิมทีเขาเป็นคนถนัดเท้าขวา แต่พ่อก็ได้แนะนำให้เขาเล่นฟุตบอลทั้งสองเท้า จนจัดอยู่ในประเภทที่ไม่มีเท้าข้างถนัด สามารถเล่นได้เท่ากันทั้งสองเท้า

“ผมชอบนักเตะที่ฉลาด และนั่นคือเหตุผลที่ผมพยายามเล่นฟุตบอลด้วยสมอง ในตอนอายุ 15 ผมต้องเล่นกับนักเตะอายุ 18 และยิงได้ 40 ประตูต่อฤดูกาล มันช่วยเสริมความแข็งแกร่งของผมมาก”

จนในปี 2014 ก็ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ตามด้วยการย้ายไปเล่นให้ เบนฟิก้า ในโปรตุเกส อีก 2 ปีต่อมา

๐ แจ้งเกิดในบุนเดสลีกา

มกราคมปี 2016 เด็กหนุ่มวัย 19 ปี เซ็นสัญญาย้ายมาอยู่กับ เบนฟิก้า แต่ที่นั่นเขาแทบไม่ได้ลงสนามให้กับทีมเลย ถูกปล่อยให้กับ “อินทรีแดงดำ” ไอทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ยืมตัวไปใช้งานด้วยสัญญายืม 2 ปี

ซึ่งการย้ายมาค้าแข้งในเยอรมัน ถือเป็นใบเบิกทางที่ทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักชื่อของเขา ด้วยการยิง 5 ประตูภายในเกมเดียวในการพบกับ ดุสเซลดอร์ฟ เทียบเท่ากับสถิติที่ยอดดาวยิงอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ จากบาเยิร์น มิวนิค ที่เคยยิงใส่โวล์ฟสบวร์ก

นอกจากนี้ยังกลายเป็นนักเตะแฟรงค์เฟิร์ตคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยิงได้ 5 ประตู ภายในเกมเดียวของศึกบุนเดสลีกา และอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 20 ปีในตอนนั้น

เขาซัดไปทั้งหมด 36 ประตู จากการลงเล่น 75 เกมในทุกรายการ กับช่วงระยะเวลา 2 ปีที่อยู่กับ แฟรงค์เฟิร์ต ติดทีมยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา และยูโรป้า ลีก ในฤดูกาล 2018-2019

ได้รับฉายาว่า “ฟัลเกาแห่งเซอร์เบีย” ด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมของเขาทำให้ทีมแห่งเมืองเบียร์ตัดสินใจควักเงินจำนวน 22 ล้านยูโร ซื้อเข้ามาร่วมทีมแบบถาวรในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 แต่การซื้อในครั้งนี้ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมาก เป็นการซื้อเพื่อทำกำไร

เพราะในเวลานั้นชื่อของเขาได้รับความสนใจจากหลายสโมสรดังในยุโรป จนสุดท้ายเป็น “ราชันชุดขาว” เรอัล ที่กำลังมองหาตัวแทนของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ พวกเขายอมจ่ายเงิน 60 ล้านยูโร เพื่อซื้อต่อจาก แฟรงค์เฟิร์ต

“ในตอนนั้นเอเย่นต์ของผมได้โทรมาหาเขาบอกว่า เรอัล มาดริด ต้องการผม ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก ตอบกลับเขาไปว่านายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ได้โปรดอย่างแกล้งผมแบบนี้”

“เขาตอบกลับมาว่าใช่! มันคือเรื่องจริง ผมใช้เวลาในการตัดสินใจไม่นานก็ตอบกลับไปว่า โอเค ลุยกันเลย นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตของคุณ แล้วทำไมผมต้องปฏิเสธมันด้วย”

ดีลนี้ก็เกิดขึ้นสมใจ ถือเป็นการย้ายทีมแบบก้าวกระโดดของ ลูก้า โยวิช เพราะจริง ๆ เขาพิสูจน์ฝีเท้าบนเวทียุโรปแค่ 2 ฤดูกาลเท่านั้น

นี่คือโอกาสที่เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้.. เขาเลือกเซ็นมันทันที

๐ ล้มเหลวหรือโชคร้าย ?

หลังจากย้ายมาอยู่กับ เรอัล มาดริด ในปี 2019 ด้วยสัญญาระยะยาว 6 ปี เขาใช้เวลาอยู่ถึง 3 เดือนกว่าจะเบิกสกอร์แรกให้กับทีมในเกมที่ถล่ม เลกาเนส 5-0

แต่หลังจากนั้นเขาได้รับโอกาสแต่ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งออกมาได้ คลำเป้าไม่เจอเลย ได้ลงเล่นน้อยมาก ไม่สามารถเบียดดาวยิงอย่าง คาริม เบนเซม่า ได้และเป็นตัวเลือกลำดับท้าย ๆ ของทีม

แน่นอนว่าเขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในดีลที่ล้มเหลวที่สุดของ เรอัล มาดริด กับค่าตัวจำนวน 60 ล้านยูโร ที่พวกเขาจ่ายไป แต่แทบจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย แรงกดดันจากแฟนบอลที่ตั้งความหวังเอาไว้กับเขาก็ค่อนข้างสูง ทำให้ชีวิตในมาดริดนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ

เขาอยู่กับทีมได้เพียง 18 เดือน หากนับเป็นจำนวนนาทีได้ลงเล่น 872 นาทีเท่านั้น กับช่วงระยะเวลา 3 ปีที่อยู่กับ เรอัล มาดริด จนถูกปล่อยให้ แฟรงค์เฟิร์ต ยืมตัวในฤดูกาล 2020-21

เรียกได้ว่าชีวิตของเขาขึ้นเร็วและลงเร็วแบบสุด ๆ เหมือนกับรถไฟเหาะ ด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น จากผู้เล่นที่มีมูลค่า 60 ล้านยูโร ตอนนี้หล่นลงมาเหลือแค่ 14 ล้านยูโร

“ประสบการณ์ของผมที่ เรอัล มาดริด มันผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น ผมย้ายจาก ไอทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ไปที่นั่นเร็วเกินไป” ดาวยิงเซิร์บ เปิดใจกับ La Repubblica สื่อในอิตาลี หลังย้ายออกจาก เบร์นาเบว แบบถาวร

“ทุกคนสายตาต่างจับจ้องมาที่ผม ในตอนนั้นผมแค่อายุ 21 ปี มันยากที่จะปรับตัวทั้งปัญหาอาการบาดเจ็บ, โรคระบาดโควิด-19 และแรงกดดันที่ดูจะไม่เป็นธรรม มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและผมไม่มีความสุขเลย”

กรณีนี้อาจจะมองได้สองมุมว่าเขาด่วนตัดสินใจย้ายทีมเร็วเกินไป เพราะยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองมากนัก แต่ก็น่าเห็นใจเหมือนกัน เพราะในฐานะนักฟุตบอลอาชีพโอกาสที่ เรอัล มาดริด จะมาเคาะประตูบ้านของคุณนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ อย่างแน่นอน

๐ ชีวิตใหม่ในอิตาลี

เมื่อช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว เรอัล มาดริด ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับดาวยิงวัย 24 ปี ปล่อยให้เขาเป็นอิสระสามารถย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัว สถานีต่อไปของเขาคือ “ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนติน่า เพื่อโอกาสในการกลับมาลงสนามอีกครั้ง

“ด้วยเหตุผลหลายประการ สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมเลือก ฟิออเรนติน่า คือความทะเยอทะยานของทีมและรูปแบบการเล่นที่เน้นเกมรุก ฟิออฯ นั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่ทีมในอิตาลี ที่เล่นเกมรุกเป็นหลัก นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ”

“ผมได้ร่วมงานกับ อิตาเลียโน่ เขาเป็นโค้ชที่เชื่อมั่นในตัวผมเสมอ และหวังว่าเราจะร่วมมือกันทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม” โยวิช ให้สัมภาษณ์ในช่วงพรีซีซั่น

อย่างไรก็ตามชีวิตใหม่ของเขาในวัย 25 ปี ก็ต้องพิสูจน์กันต่อไป แต่ถือว่าดีขึ้นมาก เพราะได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง 36 เกม ในทุกรายการยิงไป 11 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์

ดูเหมือนว่าเขาจะรู้แล้ว ว่าตัวเองไม่ได้เล่นให้กับทีมในระดับที่ลุ้นแชมป์อีกต่อไป เปรียบเสมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ ยังมีเวลาอีกมากสำหรับเขาในการกอบกู้ฟอร์มการเล่นสมัยที่อยู่กับ แฟรงค์เฟิร์ต ให้กลับมาอีกครั้ง