วัดรอยเท้ารุ่นพี่ : เทียบผลงานของเนย์มาร์และโรนัลโด้ทั้งในทีมชาติและสโมสร

 

เนย์มาร์ ทำสถิติแซงหน้า โรนัลโด้ ตำนานรุ่นพี่ทีมชาติด้วยการก้าวขึ้นไปเป็นดาวซัลโวตลอดกาลอันดับ 2 ของบราซิล หลังกดแฮตทริกในเกมคว้าชัยเหนือ เปรู 4-2 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

 

ณ เวลานี้มีเพียง เปเล่ ที่ยิงประตูในทีม ‘เซเลเซา’ มากกว่าดาวเตะวัย 28 ปี ซึ่งยิงไปแล้ว 64 ประตู จากการลงสนามทั้งหมด 103 นัดให้กับทีมบ้านเกิด โดยตามหลังแข้งฉายา ‘ไข่มุกดำ’ ที่ยิงไป 77 ลูกจากการลงเล่น 92 นัดในทีมชาติ อีก 13 ประตูเท่านั้น

 

แต่เมื่อนำ เนย์มาร์ มาเปรียบเทียบกับ ‘เอล ฟีโนมีโน่’ จะมีผลงานแตกต่างกันมากน้อยอย่างไร? ทาง UFA ARENA จึงขอเจาะลึกถึงสถิติของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นระดับสโมสรหรือทีมชาติในด้านการทำประตูและความสำเร็จต่างๆที่ประสบพบเจอมา

 

 

เส้นทางทีมเซเลเซาของทั้งคู่

 

 

แข้งจอมพริ้วจาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ต้องลงเล่นกว่า 103 นัดถึงจะยิงประตูแซงหน้า โรนัลโด้ ที่ทำไว้ 62 ประตูได้

 

เนย์มาร์ ประเดิมสนามให้ทีมแซมบ้าครั้งแรกในปี 2010 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยในการทำประตูที่ 0.62 ลูกต่อเกมนับตั้งแต่นั้น ขณะที่ อดีตหอกฉายา ‘โล้นทองคำ’ มีค่าเฉลี่ย 0.63 ลูกต่อเกม จากการลงเล่น 97 นัดในตลอด 12 ปีที่รับใช้ชาติ ก่อนจะกลับเล่นเป็นเวลาสั้นๆ 15 นาทีในเกมอุ่นเครื่องพบ โรมาเนีย ที่ เซา เปาโล ปี 2011

 

ปีที่เนยมาร์ ทำผลงานได้พีกที่สุดในทีมชาติบราซิลคือปี 2014 ที่เขากดไป 15 ประตูจากการลงเล่น 14 นัดตลอดปีนั้น ขณะที่ โรนัลโด้ โดดเด่นสุดในช่วงคาบเกี่ยวที่เขาอยู่ บาร์เซโลน่า และ อินเตอร์ มิลาน ในปี 1997 ที่ซัดไป 15 ประตูจาก 20 นัดในทัพเซเลเซาตลอดปีดังกล่าว

 

ในด้านของความสำเร็จ โรนัลโด้ คว้าแชมป์ โคปา อเมริกา 2 สมัย และมีชื่อเป็นแข้งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ในปี 1997 และคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของรายการในปี 1999 ร่วมกับ ริวัลโด้ อีกทั้งกดแฮตทริกในเกมเอาชนะ ออสเตรเลีย 6-0 ในนัดชิงคอนเฟเดอเรชั่น คัพ ปี 1997 อีกด้วย

 

ส่วน เนย์มาร์ คว้าแชมป์โอลิมปิก กับ บราซิล ในปี 2016 แต่ในทีมชุดใหญ่นั้นทีมคว้าแชมป์เมเจอร์ครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยไม่มีเขา หลังมีอาการบาดเจ็บและไม่มีส่วนร่วมกับทีมของ ตีเต้ ชุดคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ปี 2019 ในบ้านของตัวเอง

 

 

เทียบไม่ติดกับฟุตบอลโลก

 

 

สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างทั้งคู่คือทัวร์นาเม้นต์ระดับโลก โรนัลโด้ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครอง 2 สมัย และบราซิลเข้าชิงรายการนี้ถึง 3 ครั้ง ในช่วงที่เขาอยู่ในทีม แม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนกับความสำเร็จกับแชมป์โลกปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพ เลยก็ตาม

 

อดีตหอก เรอัล มาดริด กลายเป็นตัวหลักในทีมชาติแบบจริงๆจังๆในฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส พร้อมคว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดในทัวร์นาเม้นต์นั้นด้วยจำนวน 4 ประตู แม้พ่ายตราไก้ในนัดชิง และคว้าดาวซัลโวอีกครั้งในปี 2002 ที่ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม ด้วยจำนวน 8 ประตู พร้อมแก้ตัวคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ 

 

ในปี 2006 โรนัลโด้ ก็ยังมีชื่อติดทีมชาติอยู่ และบวกประตูเพิ่มในศึกเวิลด์ คัพที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดตลอดกาลในฟุตบอลด้วยจำนวน 15 ประตู จาก 19 นัดในเวิลด์ คัพ 3 หน ก่อนจะโดน มิโรสลาฟ โคลเซ่ ดาวยิงทีมชาติเยอรมันแซงหน้าไปในปี 2014

 

เมื่อย้อนกลับมาที่ เนย์มาร์ ช่วงแตกต่างกันเหลือเกิน เขายิงไป 6 ประตูจากการลงเล่น 10 นัดในฟุตบอลโลก ทั้งในปี 2014 ที่บ้านเกิดของเขาเป็นเจ้าภาพ และปี 2018 ที่จัดขึ้นในรัสเซีย ซึ่งล้มเหลวอย่างผิดหวังกับทั้ง 2 ครั้งในรายการนี้

 

เขาได้รับบาดเจ็บไม่มีส่วนในเกมที่โดนว่าที่แชมป์โลกอย่าง เยอรมัน ถล่มแบบหมดสภาพแชมป์โลก 5 สมัย คา มาราคาน่า สเตเดี้ยม 7-1 ในรอบตัดเชือก และอีก 4 ปีต่อมา ทีมก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกครั้ง หลังพ่ายแก่ เบลเยี่ยม 2-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

 

ความสำเร็จที่มากกว่าในระดับสโมสร

 

 

เมื่อพูดถึงเส้นทางค้าแข้งระดับสโมสร 2 แข้งชาวบราซิลเลี่ยนก็แตกต่างกันพอสมควร โดย โรนัลโด้ ย้ายมาเล่นกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ด้วยวัย 17 ปี ในปี 1994 และกดไป 100 ประตูในเกมลีกยุโรป, ทำลายสถิตินักเตะค่าแพงสุดของโลก 2 หน ด้วยการย้ายไป บาร์เซโลน่า และ อินเตอร์ มิลาน ในช่วงซัมเมอร์ 2 ปีติด ก่อนทีเขาจะอายุ 21 ปีบริบูรณ์

 

ขณะที่ เนย์มาร์ กว่าจะย้ายมาเล่นในยุโรปครั้งแรกก็เมื่ออายุได้ 21 ปี โดยลา ซานโต๊ส ยอดทีมในบ้านเกิดมาซบ บาร์เซโลน่า ในปี 2013

 

ปัจจุบัน เนย์มาร์ ลงเล่นในเกมลีกยุโรปมานานกว่า 8 ฤดูกาล โดยยิงไป 177 ประตูจาก 274 นัด (เฉลี่ย 0.64 ประตูต่อเกม) ระหว่างที่เขาเล่นให้ บาร์ซ่า และ เปแอสเช 

 

ทางด้าน โรนัลโด้ที่ลงเล่น 15 ฤดูกาลในยุโรปกับ พีเอสวี, บาร์เซโลน่า, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน เขากดไป 273 ตุง จาก 402 นัด (เฉลี่ย 0.67 ประตูต่อเกม)

 

ในแง่ของความสำเร็จ เนย์มาร์ คว้าแชมป์ ลาลีก้า 2 สมัย, แชมป์ลีกเอิง 3 สมัย, แชมป์บอลถ้วยอีก 7 สมัย ทั้งใน สเปน กับ ฝรั่งเศส รวมกัน และคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ ‘เจ้าบุญทุ่ม’ ในปี 2015 ก่อนจะคว้ารองแชมป์กับ เปแอเช ในปี 2020 รวมทั้งสิ้นแชมป์เมเจอร์ 13 รายการ

 

 

ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวทำให้ เนย์มาร์ ก้าวข้ามผ่านรุ่นพี่ในทีมชาติไปได้ แม้ว่าเขาจะย้ายไปเล่นกับสโมสรยักษ์ใหญ่ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายมาเล่นในยุโรป แตกต่างจาก โรนัลโด้ ที่สร้างชื่อกับ พีเอสวี ในเอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ก่อน

 

ตลอด 14 ปีในยุโรป ‘โล้นทองคำ คว้าแชมป์ ดัตช์ คัพ กับ พีเอสวี, โคปา เดล เรย์ และ วินเนอร์ส คัพ กับ บาร์ซ่ายุค เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน, ยูฟ่า คัพ กับ อินเตอร์ มิลาน และ แชมป์ลาลีก้าสมัยเดียวกับ เรอัล มาดริด รวมทั้งสิ้น 5 แชมป์เมเจอร์

 

ย้อนกลับไปในช่วงที่ค้าแข้งในบราซิลบ้านเกิด โรนัลโด้ กดไป 44 ประตูจาก 47 นัดที่ลงเล่นในครูเซโร่ช่วงเป็นดาวรุ่ง พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ โคปา โด บราซิล ในปี 1993 และ คัมเปโอนาโต้ มิเนย์โร่ (แชมป์ลีกรัฐ) ในปี 1994 ก่อนจะกลับมาคว้าแชมป์ช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้งกับ โครินเธียนส์ กับ ถ้วย คัมเปโอนาโต้ เปาลิสต้า และ โคปา โด บราซิล ในปี 2009

 

ด้าน เนย์มาร์ กดไป 136 ประตูจาก 223 นัดให้กับ ซานโต๊ส สโมสรแจ้งเกิดของเขา ก่อนจะย้ายไป บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวมหาศาล หลังพาทีมคว้าแชมป์ คัมเปโอนาโต้ เปาลิสต้า 3 สมัยติด ระหว่างปี 2010 ถึง 2012 รวมถึงรายการ โคปา โด บราซิล ในปี 2010 และ โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ในปี 2011 ด้วย ซึ่งก็ประสบความสำเร็จกับถ้วยรางวัลในสโมสรบ้านเกิดมากกว่า โรนัลโด้ อีกเช่นกัน (เนย์มาร์ 5 , โรนัลโด้ 4)