วันนี้ที่รอคอย: ย้อนรอยเส้นทางสู่พรีเมียร์ลีกในรอบ 16 ปีของนกยูงทอง

 

ความพ่ายของ เวสต์รบรอมวิช อัลเบี้ยน ต่อ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ 2-1 ทำให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด การันตีเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้าเรียบร้อย แม้จะเหลือการแข่งขันอีก 3 นัดในแชมเปี้ยนสชิพก็ตาม 

 

ทีมฉายานกยูงทอง คือหนึ่งในที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้นในประเทศอังกฤษ แต่พวกเขากลับประสบกับความตกต่ำอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด นับตั้งแต่ตกชั้นจากลีกสูงสุดแดนผู้ดีในปี 2004 ซึ่งย่ำแย่ถึงขั้นหล่นลงไปเล่นในลีกวันด้วยซ้ำ

 

แต่การรอคอยที่แสนยาวนานของแฟนลีดส์นั่นสิ้นสุดลงเรียบร้อยแล้ว ทาง UFA ARENA จึงขอพาแฟนบอลทุกท่านไปย้อนรำลึกช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของสโมสรดังแคว้นยอร์กเชียร์ ก่อนจะเลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 16 ปี

 

 

2003/04 : ตกชั้น

 

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นไปอย่างรวดเร็วและผิดเพี้ยนไปหมด เพราะเพียง 3 ปีเท่านั้นหลังจากที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทะลุเข้าถึงรอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ลีก และมีผู้เล่นอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์, แฮร์รี่ คีเวลล์, โนาธาน วู้ตเก็ตต์, ลี โบวเยอร์, มาร์ก วิดูก้า หรือ อลัน สมิธ กลับต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกแบบสุดช็อก

 

การเดิมพันทางการเงินของเจ้าของสโมสรกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมถอยหลังลงคลอง แม้จะเอาตัวรอดได้ในฤดูกาล 2002-03 แต่ในปีต่อมาก็ไม่รอด หลังจากคว้าแชมป์ลีกในปี 1992 และอยู่ยาวบนลีกสูงสุดนาน 14 ปี ลีดส์ ก็หล่นไปเล่นในลีกรองอย่างไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงนี้

 

 

2004/05 – 2005/06 : พยายามขึ้นไป

 

 

ลีดส์ เริ่มต้นฤดูกาล 2004-05 ในแชมเปี้ยนส์ชิพ ด้วยหนี้สินกว่า 100 ล้านปอนด์ และการขายดาวดังเพื่อพยุงด้านการเงินของสโมสร ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะเลื่อนชั้นได้เป็นเรื่องยากเกินกว่าที่จะทำได้ และทำได้แค่อันดับที่ 14 ในปีแรกที่อยู่ลีกรองเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลต่อมา เควิน แบล็คเวลล์ กุนซือของนกยูงทองในตอนนั้น พยายามสร้างทีมใหม่จนจบอันดับที่ 5 ในปี 2005-06 ซึ่งสามารถเอาชนะ เปรสตัน ในศึกเพลย์ออฟรอบตัดเชือกได้แล้ว แต่สุดท้ายก็พ่าย วัตฟอร์ด ในเกมนัดชิง ณ มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม

 

และกว่าพวกเขาจะเข้าใกล้การเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในแดนผู้ดีได้ต้องรอไปอีกกว่าทศวรรษเลย

 

 

2006/07 : ตกชั้นอีกครั้ง

 

 

ทว่าในฤดูกาล 2006-07 กลับกลายเป็นหายนะของทีม ลีดส์เก็บแต้มได้เพียง 7 คะแนน จาก 8 เกมแรกในลีก ส่งผลให้ แบล็คเวลล์ ถูกเด้งในเวลาต่อมา จอห์น คาร์เวอร์ และ เดวิด เกดดิส เข้ามาเป็นกุนซือรักษาการในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะแต่งตั้ง เดนนิส ไวส์ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม

 

อย่างไรก็ตาม ผลงานของทีมก็ยังไม่ดีขึ้น จนกระทั่งนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลที่เสมอกับ อิปสวิช ทาวน์ 1-1 กลายเป็นเกมที่ยืนยันว่า ลีดส์ ตกชั้นลงไปเล่นในลีกวันอย่างเป็นทางการ

 

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่หล่นไปเล่นในลีกระดับ 3 ของประเทศอีกด้วย

 

 

2007/08 : ตั้งไข่ในลีกวัน

 

 

ถ้าฤดูกาลก่อนยังแย่สำหรับลีดส์ไม่พอ ในลีกวันกลับแย่ยิ่งกว่า ทั้งปัญหาเรื่องเจ้าของสโมสร และปัญหาด้านการเงินที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้พวกเขาโดนหัก 15 แต้มก่อนเริ่มฤดูกาลนั้น

 

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะ 7 นัดติดกันทำให้ นกยูงทองหลุดพ้นจากโซนตกชั้นได้ แถมพวกเขายังสามารถจบอันดับที่ 5 ด้วย 76 คะแนน จนคว้าสิทธิ์ไปเล่นเพลย์ออฟได้ด้วย แม้จะเสีย เดนนิส ไวส์ ที่ย้ายไปรับตำแหน่งอื่นใน นิวคาสเซิล ช่วงปลายเดือนมกราคมก็ตาม

 

แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ กุนซือใหม่ของลีดส์ พาทีมเอาชนะ คาร์ไลส์ 3-2 จนทะลุเข้าถึงรอบชิงเพลย์ออฟ แต่น่าเสียดายที่ดันไปพ่าย ดอนคาสเตอร์ 1-0 ที่เวมบลีย์ ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในลีกวันต่อไปอีกฤดูกาลเป็นอย่างน้อย

 

 

2008/09 – 2009/10 : พอกันทีกับลีกวัน

 

 

ฤดูกาล 2008-09 ลีดส์ ทำผลงานได้ค่อนข้างดี แม้จะแยกทางกับ แม็คอัลลิสเตอร์ ในช่วงกลางฤดูกาล แต่ก็คว้าสิทธิ์เพลย์ออฟด้วยการจบอันดับ 4 ทว่าทีมในมือของ ไซม่อน เกรย์สัน ก็ไปไกลแค่รอบตัดเชือก หลังพ่ายแก่ มิลวอลล์ ในตอนนั้น

 

หลังจากพลาดโอกาสเลื่อนชั้นมาถึง 2 หน และพวกเขาจะไม่พลาดเป็นครั้งที่ 3 เมื่อฤดูกาล 2009-10 ลีดส์ แพ้แค่เกมเดียวจาก 24 นัดแรกในลีก แถมยังเขี่ย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสเปอร์ส ตกรอบ เอฟเอ คัพ ในปีนั้น

 

ท้ายที่สุด ลีดส์ สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาในแชมเปี้ยนส์ชิพได้สำเร็จ ด้วยการเอาชระ บริสตอล โรเวอร์ส 2-1 ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล และนี่ถือเป็นการเลื่อนชั้นครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 20 ปีด้วย

 

 

2010/11 – 2012/13 : อีกครั้งในแชมเปี้ยนส์ชิพ

 

 

ทุกอย่างดูสดใสขึ้นใน เอลแลน โร้ด ลีดส์ กลับมาเล่นลีกรองได้อย่างภาคภูมิในมือของ เกรย์สัน ซึ่งวนเวียนอยู่ในตำแหน่งท็อปซิกซ์ในฤดูกาลนั้น แต่ด้วยฟอร์มที่สะดุดลงในเดือนเมษายน ทำให้พวกเขาจบฤดูกาลโดยมีแต้มตามหลัง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมอันดับ 6 เพียง 3 คะแนนเท่านั้น

 

ต่อมา มาตรฐานของทีมตกลงไปในฤดูกาล 2011-12 ทำให้ เคน เบ็ตส์ ประธานสโมสรตัดสินปลด เกรย์สัน พ้นตำแหน่ง ก่อนที่ นีล วอร์น็อค จะพาทีมจนอันดับที่ 14 ในปีนั้น

 

ต่อมา เบ็ตส์ ขายสโมสรให้กับ จีเอฟเอช แคปปิตอล และ วอร์น็อค ก็ทำหน้าที่กุนซือได้อีกเพียงปีเดียว ก็ถูกแทนที่โดย ไบรอัน แม็คเดอม็อตต์ ในเดือนเมษายนปี 2013 ก่อนที่พวกขาจบฤดูกาล 2012-13 ด้วยอันดับที่ 13 

 

 

2013/14 – 2016/17 : ความวุ่นวายจากชายชื่อ มัสซิโม่

 

 

ถ้าแฟนนกยูงทองคิดว่าทีมรักเต็มไปด้วยความวุ่นวายภายใต้การดูแลของเจ้าของสโมสรคนก่อน พวกขาต้องคิดใหม่ทันทีเมื่อเจอกับ มัสซิโม่ เซลลิโน่ นักธุกิจชาวอิตาเลี่ยน ที่ซื้อทีต่อจาก จีเอฟเอชในปี 2014 และ พยายามปลด แม็คเดอม็อตต์ พ้นตำแหน่งก่อนที่เขาจะเทคโอเวอร์สโมสรได้เสียอีก

 

แม้เจ้าของทีมคนเก่าจะพยายามรั้ง แม็คเดอม็อตต์ ไว้ แต่เมื่อ เซลลิโน่ เทคโอเวอร์สำเร็จ กุนซือชาวอังกฤษก็ต้องลาทีมไปหลังจบฤดูกาลนั้น

 

เจ้าของทีมคนใหม่ แต่งตั้ง เดฟ ฮ็อคอเดย์ ที่มีประสบการณ์คุมทีม ฟอเรสต์ กรีน โรเวอร์ส ในเนชั่นแนล ลีก เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม แต่ก็ทำหน้าที่ไปได้แค่ 6 นัดในฤดูกาล 2014-15 ก็โดนเด้งตั้งแต่ยังไม่พ้นเดือนสิงหาคม

 

ดาร์โก้ มิลานิช เข้ามารับช่วงต่อ แต่ก็คุมทีมได้ 6 นัดเท่ากันก็ถูกปลด ก่อนจะได้ นีล เร้ดเฟิร์น ผู้ที่เคยเป็นกุนซือขัดตาทัพให้ทีมถึง 3 ครั้ง มาเป็นกุนซือเต็มตัว ซึ่งช่วยให้ทีมจบอันดับที่ 15 ในปีนั้น

 

อูเวอร์ รอสเลอร์ เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ในฤดูกาลต่อมา แต่ด้วยผลงานชนะ 2 จาก 12 นัด ทำให้ถูกปลดในเวลาต่อมา จากนั้นก็ได้ สตีฟ อีแวนส์ เข้ามาช่วยให้ลีดส์ จบอันดับที่ 13 

 

ต่อมาในฤดูกาล 2016-17 ทีมเริ่มดูมีชีวิตชีวามากขึ้น จากการเข้ามาของแกรี่ มังค์ ที่ตั้งเป้าพาทีมติด 1 ใน 6 ของแชมเปี้ยนส์ชิพให้ได้ ซึ่งทำให้ทีมมีลุ้นเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติด้วย แต่การหาชัยชนะไม่เจอใน 5 เกมสุดท้าย ทำให้พวกเขาอดไปเล่นแม้กระทั่งรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้น

 

 

2017/18: เจ้าของทีมใหม่กับความหวังใหม่

 

 

ฤดูกาล 2017-18 ถือเป็นจุดสิ้นสุดความโกลาหลวุ่นวายในยุคของ เซลลิโน่ ที่ไม่มีความสำเร็จใดๆ ก่อนที่ อันเดรีย ราดริซานี่ จะเทคโอเวอร์สโมสร และแต่งตั้ง โธมัส คริสเตียนเซ่น เป็นกุนซือคนใหม่

 

ชัยชนะ 6  และเสมออีก 2 จาก 9 นัดแรกในลีก ทำให้ นกยูงทอง ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงแชมเปี้ยนส์ชิพได้ แต่ฟอร์มของทีมก็ตกลงอย่างน่าใจหาย ทำให้ คริสเตียนเซ่น ถูกปลดในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากพ่ายคาร์ดิฟฟ์ คาบ้าน 4-1

 

พอล เฮคกิ้งบัตท่อม เข้ามานั่งเก้าอี้กุนซือต่อ แต่การเก็บชัยชนะได้เพียง 4 จาก 16 เกมสุดท้ายในฤดูกาล ก็ทำให้เขาต้องเก็บกระเป๋าออกจาก เอลแลน โร้ด ไป และเป็นอีกครั้งที่ลีดส์ จบอันดับที่ 13

 

2018/19: การมาของ บิเอลซ่า

 

 

อย่างไรก็ตาม การมาของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า จะทำให้โชคชะตาของ ลีดส์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล 

 

กุนซือฉายา ‘เอล โลโค่’ หรือ แปลเป็นไทยว่า ‘คนบ้า’ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ได้สร้างอิมแพ็คตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ในถิ่น เอลแลน โร้ด ทันที

 

ลีดส์ มองไปถึงการเลื่อนชั้นอัตโนมัติด้วยการรั้ง 2 อันดับแรกของตาราง ในช่วง 4 เกมสุดท้าย ซึ่งขณะนั้นพวกเขากำลังนำ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 3 อยู่ 3 แต้ม

 

แต่การพ่ายคาบ้านต่อ วีแกนที่มีผู้เล่นเพียง 10 คน ในเกมนัดที่ 43 ของฤดูกาล และส่งผลให้เสียอันดับ 2 ให้กับทีมดาบคู่ หลังเก็บได้เพียงแต้มเดียวจาก 4 เกมสุดท้าย

 

ในรอบเพลย์ออฟ ลีดส์ของบิเอลซ่า ถูกยกให้เป็นตัวเต็ง และบุกไปเอาชนะ ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ ได้ 1-0 แต่ความพ่ายแพ้ 4-2 คา เอลแลน โร้ด ทำให้นกยูงต้องรอวันเลื่อนชั้นไปอีกฤดูกาล

 

2019/20 : ถึงเวลาผงาด

 

 

แม้จะต้องผิดหวัง แต่ บิเอลซ่า ก็ไม่ปล่อยให้ความเสียใจฉุดรั้งตนเองและทีม  เขาเลือกที่จะต่อสู้ต่อไป พร้อมกับคว้าแข้งใหม่คนสำคัญอีก 2-3 ราย และมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายที่ดีกว่าเดิม

 

แม้จะมีช่วงที่ฟอร์มหลุดไปบ้าง แต่ นกยูงทองในมือคนบ้าฤดูกาล 2019-20 ก็ไม่เคยทำอันดับต่ำกว่าที่ 5 เลยในฤดูกาลนี้ และรั้งอันดับ 1 หรือ 2 ของตารางนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน

 

การแพร่ระบาดของโควิด-19 นำไปสู่การหยุดชะงักของลีก และกังวลว่าลีกลูกหนังจะสามารถกลับมาแข่งขันได้หรือไม่ แต่เมื่อแชมเปี้ยนส์ชิพ กลับมาเตะได้อีกครั้ง พวกเขาก็ยังรักษามาตรฐานของตัวเองได้เป็นอย่างดี และมุ่งมั่นอย่างมากในการเลื่อนชั้นเพื่อแฟนๆที่ไม่สามารถเข้ามาชมเกมในสนามได้เหมือนอย่างเคย

 

และท้ายที่สุด ช่วงกลางเดือนกรกฏาคม ภารกิจของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เนิ่นนานกว่า 16 ปีก็สิ้นสุดลง เมื่อพวกเขาได้สิทธ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง ขณะที่เหลือการแข่งขันในฤดูกาลนี้อีก 3 นัด