วิกฤตทีมแดนอีสาน : ทำไม ‘ราฟา’ ถึงบอกลา ‘สาลิกาดง’

 

นิวคาสเซิลได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่า ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือคนปัจจุบัน จะแยกทางกับสโมสรหลังหมดสัญญาในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ แต่ว่ามันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง? 

 

 ก่อนหน้านี้ นายใหญ่ชาวสแปนิช ได้เจรจาข้อตกลงใหม่กับสาลิกาดงอยู่ แต่ทว่าตอนนี้คาดว่าเขาน่าจะรับข้อเสนอที่มูลค่ามหาศาลและยากจะปฏิเสธจาก ต้าเหลียน อี้ฟาง ทีมจากลีกจีน เนื่องจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของทีมได้ 

 

เหล่า ทูน อาร์มี่ ทั่วอังกฤษที่ตั้งหน้าตั้งตารอความคืบหน้าของเรื่องเจ้าของทีมคนใหม่ ต้องหัวเสียกว่าเดิม เมื่อทราบข่าวนี้ ทาง UFA ARENA จะพาแฟนบอลทุกท่านไปหาคำตอบกันว่าทำไม เอล ราฟา จึงตัดสินใจไม่เดินต่อกับสโมสรแดนอีสานแห่งเกาะอังกฤษทีมนี้

 

 

การเจรจาที่ว่างเปล่า

 

 

นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจพอสมควร แต่อีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอีกเช่นกัน เนื่องจากราฟาเหลือสัญญาภายในทีมแค่ 6 วันเท่านั้น (นับตั้งแต่ก่อนวันประกาศแยกทาง)

 

จริงๆสโมสรไม่ได้เริ่มต้นเจรจาต่อรองเรื่องสัญญาใหม่กับเบนิเตซในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่พวกเขาพยายามโน้มน้าวให้กุนซือแดนกระทิงเซ็นสัญญาระยะยาวกับทีมตั้งแต่ซัมเมอร์ที่แล้ว เพียงแต่ตัวราฟาเองตัดสินใจดูสถาการณ์ในทีมต่อไปก่อน

 

ในเบื้องหลัง การพูดคุยเรื่องสัญญามีมาตลอดในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา แต่เพิ่งได้รับความสนใจและเป็นข่าวจริงๆจังๆในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวจากสกาย สปอร์ต รายงานว่า เบนิเตซได้เดินทางไปลอนดอนเพื่อพบกับ ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของทีม และ ลี ชาร์นลีย์ กรรมการผู้จัดการสโมสร เมื่อเดือนที่แล้ว

 

พวกเขามีการตกลงซึ่งกันและกัน แต่ว่าราฟาไม่ได้รับคำมั่นสัญญาที่เขาต้องการ เมื่อมีการพูดคุยเรื่องสัญญาจริงๆ

 

 

สิ่งที่กุนซือวัย 59 ปีต้องการคือ งบประมาณในการเสริมทัพที่มากขึ้น นอกจากนี้ราฟายังต้องการให้สโมสรนำเงินมาลงทุนกับทีมเยาวชนและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของทีมด้วย

 

แต่สัญญาที่เสนอมาให้นั้นกลับไม่ได้เติมเต็มความต้องการของราฟาเลย และต่อแค่ปีเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเขาตกลงเซ็นสัญญาไป ปีหน้าก็ต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกและอาจจะวนลูปไปแบบนี้เรื่อยๆ

 

ด้วยเวลาที่ค่อยๆหมดลงในอีกไม่กี่วัน ทำให้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เบนิเตซจะเลือกอยู่ต่อ และไม่ว่าจะเป็นสัญญาในระยะสั้นหรือยาว เจ้าของทีมร่างท่วมก็ล้มเหลวในการโน้มน้าวใจของเบนิเตซอย่างชัดเจน

 

 

คำถามเรื่องความทะเยอทะยาน

 

 

มองๆไป เบนิเตซก็เป็นกุนซือที่ใหญ่กว่าจะคุมทีมอย่างนิวคาสเซิลได้ในปัจจุบัน แต่เราไม่ได้หมายความว่าเขายิ่งใหญ่กว่าสโมสรดังในแดนผู้ดี เพียงแต่เขาใหญ่เกินว่าจะคุมทีมที่มีคนอย่าง ไมค์ แอชลีย์ เป็นเจ้าของทีม

 

อดีตกุนซือลิเวอร์พูลต้องการให้สโมสรพัฒนาขึ้น ต้องการให้ทีมดีกว่าเดิม ในขณะที่เจ้าของทีมก็ดูมีความสุขและพอใจมากกับการโลดแล่นอยู่มนพรีเมียร์ลีกแบบนี้ มากกว่าคว้าถ้วยรางวัลหรือพยายามไต่เต้าไปเล่นในฟุตบอลรายการยุโรป

 

 แค่นี้ พวกเขาก็ทำให้ทั้งคู่ดูไม่เหมาะสมกันและจะไม่มีวันเข้ากันด้วย หลังจากที่พยายามต่อสู้เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดใน 3 ปีที่ผ่านมาและสุดท้ายก็มาสิ้นสุดลง ณ จุดนี้

 

 

แนวคิดการเสริมทัพที่ไม่ตรงกัน

 

 

ปัญหานี้เริ่มขึ้นในช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมฤดูกาล 2016-17 ซึ่งเป็นปีแรกที่เบนิตเซคุมสาลิกาดงแบบเต็มตัว เมื่อเขาพยายามคว้าตัว แอนดรอส ทาวร์เซนด์ จากคริสตัล พาเลซมาร่วมทีม

 

ราฟาได้ทำข้อตกลงร่วมกับปีกชาวอังกฤษและตัวแทนของนักเตะเรียบร้อยแล้ว ซึ่งดูๆไปแล้วก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ท้ายที่สุดนิวคาสเซิลก็ไม่สามารถอนุมัติดีลนี้ให้เบนิเตซได้

 

นั่นทำลายความไวใจของราฟาไม่น้อยและมันส่งผลกระทบในซัมเมอร์ที่แล้วด้วย เมื่อสโมสรพยายามคุยเรื่องสัญญาที่เหลือแค่ปีเดียวของเบนิเตซ ซึ่งตัวกุนซือชาวสแปนิชรู้สึกว่าแอชลีย์ไม่สามารถรักษาสัญญาที่เคยให้เลย

 

การคว้ามิเกล อัลมิร่อน มาร่วมทีมซึ่งทำสถิติเป็นนักเตะแพงที่สุดของสโมสรในเดือนมกราคมที่ผ่านมา น่าจะประสานรอยร้าวได้อยู่บ้างและทำให้แอชลีย์ดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น กว่าจะคว้าแข้งชาวปารากวัยมาได้ก็ปาเข้าไปในวันสุดท้ายของตลาด ทั้งๆที่เบนิเตซได้คุยดีลนี้และพร้อมจัดการให้เสร็จสรรพตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว 

 

โซโลมอน รอนดอน ก็เป็นนักเตะอีกคนที่เขาต้องการคว้ามาร่วมทีมแบบถาวรในช่วงซัมเมอร์ปี 2018 แต่ทว่าราฟาสามารถคว้ากองหน้าชาวเวเนซุเอล่ามาร่วมทีมได้แบบยืมตัวเท่านั้น เนื่องจากแอชลีย์ต้องการผู้เล่นที่มีอายุการใช้งานพอสมควร

 

ถ้าสโมสรต้องใช้เงินกระชากนักเตะมาร่วมทีม แอชลีย์ก็ต้องการผู้เล่นที่สามารถปั่นราคาให้มีมูลค่าในการขายออกไปได้ และสำหรับนักเตะวัย 30 ปีอย่างรอนดอนกับค่าฉีกสัญญา 16.5 ล้านปอนด์ ดูไม่ค่อยเข้ากับแนวคิดนี้เท่าไหร่

 

 

มีรายงานจากสื่อในอังกฤษเพิ่มเติมว่า เบนิเตซได้รับสัญญาว่าจะได้เงินกว่า 50 ล้านปอนด์ต่อตลาดการซื้อขาย ซึ่งก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แต่เมื่อลองดูค่าตัวของนักเตะในยุคปัจจุบัน เงินจำนวนกลับไม่ได้มากมายอย่างที่ควรจะเป็นเลย

 

 โครงสร้างค่าเหนื่อยก็เป็นอีกปัญหานึงในตอนนี้ นิวคาสเซิลมีนักเตะที่ได้ค่าเหนื่อยสูงสุดอยู่ที่ 75,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่ตัวราฟาต้องการเซ็นสัญญากับนักเตะที่มีค่าเหนื่อยที่สูงถึง 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เป็นอย่างต่ำ ซึ่งสโมสรไม่ยืนยอมให้ทำแบบนั้นได้ ดังนั้นตัวเลือกในการเสริมทัพของเบนิเตซจึงถูกจำกัดอย่างช่วยไม่ได้

 

อดีตกุนซือบาเลนเซียต้องทำงานอย่างมีข้อจำกัด แต่เบนิเตซยังสามารถทำผลงานได้น่าประทับใจมากๆ แม้จะมีงบประมาณในการเสริมทัพที่ไม่ได้มากมายนัก โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เขาใช้เงินไปทั้ง 131.9 ล้านปอนด์ ขายออกไป 143.1 ล้านปอนด์ และทำกำไรให้ทีมทั้งสิ้น 11.2 ล้านปอนด์

 

 

ความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน

 

 

ความสัมพันธ์ของราฟาและแอชลีย์พอจะอธิบายว่าไม่ได้แย่อย่างที่ใครคิด แต่ก็ไม่ได้ยืนยาวอย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน

 

โดยทั่วไปแล้ว ทั้งแอชลียและเบนิเตซจะไม่ติดต่อกันโดยตรง และทุกอย่างจะติดต่อผ่าน ชาร์นลีย์ เป็นส่วนใหญ่  แต่ในช่วงต้นฤดูกาล แอชลีย์ได้เข้ามาดูเกมในสนามเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ประมาณ 6-7 เกมติดกัน ซึ่งมีอยู่หลายครั้งที่เขาจะลงทักทายกับเบนิเตซในสนามหลังจบเกมการแข่งขัน

 

นอกจากนี้ แอชลีย์ยังพานักเตะในทีมและเบนิเตซไปเลี้ยงพิซซ่าในช่วงที่ทีมต้องออกไปเยือนคู่แข่งนอกเมืองนิวคาสเซิลในเดือนพฤศจิกายนด้วย

 

เบนิเตซน่าจะยินดีกับสิ่งที่เจ้าของทีมชาวอังกฤษมอบให้ แต่ทว่าเขาไม่ได้ต้องการพิซซ่าเลย เขาต้องการอะไรที่มากกว่านั้น ต้องการเงินในการเสริมทัพ ต้องการคำมั่นสัญญาว่าจะทำเงินเหล่านั้นมาพัฒนาสโมสรให้ดีขึ้นกว่าเดิมต่างหาก

 

 

ช่องโหว่ที่ใหญ่เกินไป

 

 

เรื่องนี้ทำให้ เหล่า ทูน อาร์มี่ รับไม่ได้อย่างแน่นอน พวกเขาอาจจะมีการตอบโต้สโมสรกลับจนถึงขั้นประท้วงหน้าสนามก็เป็นได้ (แบบที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังทำอยู่ในตอนนี้)

 

 และตลอด 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สโมสรนิ่งเงียบมาตลอด ไม่ได้อัพเดทเรื่องราวใดๆเลย นับตั้งแต่มีข่าวการเทคโอเวอร์ทีมจากกลุ่มทุนบิน ซาเยด กรุ๊ป ก่อนที่มีข่าวแยกทางกับกุนซือวัย 59 ปี

 

ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากเบนิเตซจะต้องเจองานช้างที่รออยู่แน่นอน และต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่คนๆนั้นจะเข้ามาแทนที่ ราฟา ผู้เป็นที่รักของทูน อาร์มี่ แต่คำถามที่พุดขึ้นมาในเวลาต่อมาคือ ‘แล้วใครคือคนต่อไป?’ 

 

แฟนบอลนิวคาสเซิลต่างรู้สึกว่าทีมรักของเขาน่าจะเลือกคนที่ แอชลีย์ คุ้นเคยมานั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ตอนนี้ ซึ่งนั่นอาจเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ได้ แต่อย่างน้อยคนที่สโมสรหามาก็ต้องมีความสามารถไม่ด้อยกว่าเบนิเตซเช่นกัน

 

แฟนบอลนิวคาสเซิลน่าจะรับได้มากกว่านี้ หากสโมสรสามารถรั้งตัวเบนิเตซให้อยู่กับทีมต่อไปได้ แม้ว่าจะมีไมค์ แอชลีย์เป็นเจ้าของทีมอยู่เหมือนเดิมก็ตาม แต่ในตอนนี้พวกเขาเสียกุนซือมือดีไป แถมยังไม่มีข่าวยืนยันเรื่องเจ้าของทีมคนใหม่อีก

 

ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนลำบากของเหล่าทูน อาร์มี่ อย่างแท้จริง