สาหัสกว่าปัจจุบัน : ย้อนวิกฤตบาร์ซ่ายุค ฟาน กัล ฤดูกาล 2002-03 

บาร์ซ่า

คงพูดได้เต็มปากว่าสถานการณ์ในปัจจุบันทำให้หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า บาร์เซโลน่า กำลังเผชิญอยู่ในสภาวะวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่พวกเขาเคยประสบพบเจอมา

หลังการจัดการด้านการเงินที่ผิดพลาดเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน ทำให้ บาร์ซ่า ใช้เวลาในซัมเมอร์นี้ไปกับการโละผู้เล่นที่ไม่จำเป็นออกไปให้มากที่สุด รวมถึงร้องขอให้นักเตะแกนหลักหลายคนลดค่าเหนื่อยลงเพื่อให้ทีมลงทะเบียนนักเตะในฤดูกาลใหม่ได้

จากการเปิดเผยตัวเลขเพดานเงินเดือนล่าสุดของแต่ละสโมสรในฤดูกาลนี้ของ ลาลีก้า ‘อาซูลกราน่า’ ถูกลดเพดานค่าใช้จ่ายเหลือเพียง 97.94 ล้านยูโร ทั้งที่ฤดูกาลก่อนพวกเขาสามารถใช้ได้ถึง 382 ล้านยูโร และสิ่งนี้เองที่ทำให้ไม่สามารถรั้งตัว ลิโอเนล เมสซี่ ให้ค้าแข้งในถิ่น คัมป์ นู ต่อไปได้

แม้แต่ก่อนซัมเมอร์ปี 2021 การร่วงตกรอบน็อคเอ้าท์ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อยมา โดยมีชื่อของ โรม่า, ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค โผล่มาหลอกหลอนเหล่ากูเล่ส์ไม่ห่างทุกครั้งที่ตกรอบ

วิกฤตครั้งนี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่สโมสรประสบความสำเร็จเป็นเวลานานถึง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ใช่ว่ายอดทีมจากแคว้นกาตาลันจะไม่เคยประสบปัญหาภายในสโมสรเลย เพราะย้อนกลับไปในฤดูกาล 2002-03 เรื่องลักษณะก็เกิดขึ้นกับทีมมาแล้ว อีกทั้งยังดูหนักหนากว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว…

 

จุดเริ่มต้นหายนะ

Louis van Gaal (1997-00 / 2002-03)

หลังจากไร้แชมป์มานานหลายปีติดภายใต้การคุมทีมของ โลเรนโซ่ เซอร์ร่า เฟร์เรร์ และ การ์เลส เรซัค บาร์เซโลน่า จึงตัดสินใจดึง หลุยส์ ฟาน กัล กลับมาคุมทีมเป็นคำรบที่ 2 ในซัมเมอร์ปี 2002

แต่การกลับมากุนซือฉายา ‘ทิวลิปเหล็ก’ ทำให้เหล่า กูเล่ส์ แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง เพราะแม้เคยคว้าแชมป์ลาลีก้าได้ 2 สมัย แต่กลับมาค่าเฉลี่ยคว้าชัยชนะเพียง 55% และล้มเหลวในแชมเปี้ยนส์ลีกปี 2000 ทั้งที่ทีมชุดนั้นถูกยกให้ทีมเบอร์ต้นๆในยุโรป 

และผลงานแรกกับการกลับมา คัมป์ นู หนที่ 2 ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทันที เมื่อเลือกปล่อย ริวัลโด้ ออกจากทีม แม้ว่าดาวเตะขวัญใจเหล่ากูเล่ส์จะเหลือสัญญาในทีม 1 ปีก็ตาม

แม้ทำประตูได้เพียง 14 ลูกในทุกรายการเมื่อฤดูกาล 2001-02 ซึ่งน้อยที่สุดที่เคยทำได้กับ บาร์ซ่า แต่ตลอด 4 ปีในสโมสรก่อนหน้านั้น ริวัลโด้ คือตัวหลักเสมอมา อีกทั้งเขาเพิ่งกลับมาหลังพา บราซิล คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกด้วย ไม่แปลกที่การตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้ดาวเตะแซมบ้าไม่เผาผีกับกุนซือชาวดัตช์เช่นกัน

“ฟาน กัล เป็นเหตุผลหลักในการแยกทางของผมกับทีม ผมไม่ชอบ ฟาน กัล และผมมั่นใจว่าเขาก็คงไม่ชอบผมเหมือนกัน” อดีตเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ปี 1999 กล่าว

ขณะที่ กุนซือแดนกังหันก็ตอบโต้ถึงอดีตลูกน้องในตอนนั้นว่า “เขาขาดความมุ่งมั่นกับสโมสร เขาแค่สนใจที่จะทำเงินได้มากขึ้นและเล่นน้อยลง เขาเล่นให้ บราซิล แบบที่เราต้องการให้เขาเป็นใน บาร์เซโลน่า และเขาได้พิสูจน์เรื่องนี้ในฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศ แสดงให้เห็นว่าเขาสงวนตัวเองไว้สำหรับญี่ปุ่น” 

 

เผชิญการหนีตกชั้น

El Barça siempre fue más de River que de Boca

เมื่อเริ่มฤดูกาลใหม่อย่างเป็นทางการ อะไรๆก็ดูไม่ดีนัก เมื่อพ่ายให้กับ เรอัล เบติส และ เรอัล บายาโดลิด จนทำให้ บาร์ซ่า หล่นไปอยู่ครึ่งล่างของตารางลาลีก้าในเดือนตุลาคม อีกทั้งการปราชัยอีก 4 นัดก่อนถึงช่วงคริสมาสต์ทำให้สโมสรต้องหล่นไปอยู่ในโซนหนีตกชั้นอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับสโมสรระดับนี้เลย

และคงไม่มีสิ่งไหนอธิบายช่วงเวลาอันหายนะครั้งนี้ได้ดีกว่าไปกว่าชะตากรรมของ ฮวน โรมัน ริเกลเม่ ในทีม ‘เจ้าบุญทุ่ม’ อีกแล้ว

สโมสรจากกาตาลัน คาดหวังในตัวจอมทัพชาวอาร์เจนไตน์ไม่น้อย หลังจ่ายเงินให้กับ โบคา จูเนียร์ส ถึง 11 ล้านยูโร ในเดือนกันยายนปี 2002 แต่ผ่านไปไม่นานหลายคนก็พบว่า ฟาน กัล กลับไม่ชอบในตัวของจอมทัพแดนฟ้า เท่าไหร่นัก

กุนซือชาวดัตช์ มองว่าการคว้า ริเกลเม่ มาร่วมทีมเป็นการเซ็นสัญญาทางการ เพื่อพยายามหาคนที่แทนที่ ริวัลโด้ มากกว่าที่บอร์ดเบื้องบนจะเชื่อมั่นในฝีมือการดึงศักยภาพของเขาในทีม

ฟาน กัล สร้างความสับสนให้กับ ริเกลเม่ ด้วยการจับเขาไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดอย่างการเล่นเป็นตัวริมเส้น พยายามทำให้เขามีประโยชน์ในด้านแทคติกที่เขาวางไว้ มากกว่าดึงศักยภาพของ ริเกลเม่ ออกมาใช้ในสนามจริงๆ

แน่นอนว่าการเลือกใช้แผนการเล่นแบบประหลาดก็ไม่ช่วยให้ฟอร์มการเล่นของ ริเกลเม่ หรือนักเตะคนๆอื่นในทีมดีขึ้นเลย จนกระทั่งหลังเกมพ่าย เซลต้า บีโก้ 2-0 ในเดือนมกราคมปี 2003 ‘เจ้าบุญทุ่ม’ ก็ปลด ฟาน กัล พ้นตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยในขณะนั้นทีมมีแต้มเหนือโซนตกชั้นเพียง 3 คะแนนเท่านั้น

ถึงขึ้นชื่อว่าเป็นกุนซือที่แข็งกระด้าง แต่ ฟาน กัล กลับอ่อนไหวเกินกว่าจะรับมือกับการโดนปลดแบบฟ้าผ่าได้จากคำบอกเล่าของ ฟิลิปป์ คริสตองวาล อดีตกองหลังของ บาร์เซโลน่า ในตอนนั้น

“เขาเดินเข้ามาในห้องแต่งตัวหลังจากทราบข่าว เริ่มพูดคุย และจู่ๆก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กเลย เขาเจ็บปวดมากๆ มันส่งผลต่อผมเหมือนกันที่เห็นเขาร้องไห้ เขาเป็นคนที่แข็งกร้าวและเย็นชา และเขากลับถูกทำลายลงที่นี่” อดีตกองหลังชาวฝรั่งเศส กล่าวกับ SRF ในปี 2016

 

อันติชผู้กอบกู้

Radomir Antic passes away

ราโดเมียร์ อันติช อดีตกุนซือ เรอัล มาดริด เข้ามารับงานต่อจาก ฟาน กัล ในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน โดยมีหน้าที่ง่ายๆไม่ซับซ้อน คือพาทีมหนีตกชั้นให้ได้ โดยทำการเสริมทัพคว้า ฮวน ปาโบล โซริน มาร่วมทีมในตลาดหน้าหนาว พร้อมดันดาวรุ่งชุดเยาวชนทั้ง บิคตอร์ บัลเดส และ อันเดรส อิเนียสต้า ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่แบบเต็มตัว

อีกทั้งนายใหญ่คนใหม่ยังได้ปรับเปลี่ยนหน้าที่ของนักเตะคนหนึ่งในทีมให้การเล่นเกมรับเป็นเรื่องรอง และให้อิสระในการสร้างสรรค์เกมจากแดนกลางเต็มที่ ซึ่งดาวรุ่งคนนั้นมีชื่อว่า ชาบี เอร์นานเดซ

ผลลัพธ์ที่ออกมาไปเป็นในทิศทางบวก ทีมเริ่มไร้กังวลเรื่องหนีตกชั้นหลังจากนั้น ทำให้พวกเขาสามารถหันไปทุ่มเต็มที่กับฟุตบอลยุโรปได้

ที่น่าแปลกประหลาดในฤดูกาลนั้นคือ บาร์เซโลน่า กลับทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในแชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งๆที่ในลีกฟอร์มตกน่าใจหาย โดย 12 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาทำแต้มหล่นในเกมที่เสมอกับ อินเตอร์ มิลาน แบบไร้สกอร์เท่านั้น ก่อนผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมรอดวลกับ ยูเวนตุส ด้วยความมั่นใจสุดขีด

แม้ท้ายที่สุด ทีมจาก กาตาลัน จะพ่ายให้กับ ‘ม้าลาย’ ด้วยสกอร์รวม 3-2 แต่ทีมจาก อิตาลี ก็ต้องลากยาวจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษกว่าจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้

หลังจากนั้นผลงานของ ‘เจ้าบุญทุ่ม’ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆในลีก ด้วยการเก็บไป 19 แต้มจาก 8 นัดสุดท้าย จนจบด้วยอันดับที่ 6 ในลาลีก้า คว้าตั๋วไปเล่นศึก ยูฟ่า คัพ ฤดูกาลต่อไป

 

ความสำเร็จที่ไม่ควรมองข้าม

Classic Games: Barcelona vs Juventus 2002/03 Champions League Quarter Final  Second Leg -Juvefc.com

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่แฟนมองว่าเป็นความสำเร็จด้วยซ้ำ เพราะจริงๆแล้วนี่คือการจบอันดับที่แย่ที่สุดในลีกของ บาร์เซโลน่า ในรอบ 15 ปี แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพของทีมในเดือนมกราคมก็ต้องถือว่านี่เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับอันติชในการประคับประคองให้เรือลำนี้ที่ทำท่าว่าใกล้จมให้กลับมาแล่นต่อไปได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

อีกทั้งลาลีก้าในฤดูกาล 2002-03 ถือเป็นลีกที่แข็งแกร่งมีการแข่งขันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้ง เรอัล มาดริด ที่ยอดเยี่ยมไม่ตก, บาเลนเซียในมือของ ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ยกระดับขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์เต็มตัว หรือ 2 ยอดทีมในแคว้นกาลิเซียอย่าง เซลต้า บีโก้ กับ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า ขณะที่ เรอัล โซเซียดาด ก็โดดเด่นสุดในยุคนั้นที่มี นิฮัต คาห์เวซี่ กองหน้าทีมชาติตุรกีคอยล่าตาข่ายให้

จากนั้นในซัมเมอร์ปี 2003 กลายเป็นจุดเริ่มต้นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของ บาร์เซโลน่า เมื่อ โจน ลาปอร์ต้า ชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานสโมสรและการแต่งตั้ง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

เมื่อบวกกับฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ โรนัลดินโญ่ ดาวเตะหน้าใหม่ทำให้ บาร์ซ่า กระโดดขึ้นมาเป็นทีมเบอร์ต้นๆในลีกกระทิงอีกครั้งด้วยการคว้าอันดับ 2 ในฤดูกาล 2003-04 ก่อนผงาดคว้าแชมป์ ลาลีก้า และ ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก ในอีก 2 ฤดูกาลต่อมา

ทั้งหมดนี้ดูไม่น่าเป็นไปได้เมื่อย้อนกลับไปในช่วงเหตุการณ์ที่ทีมต้องพบเจอในฤดูกาล 2002-03 แต่บางทีสโมสรอาจจำเป็นต้องถึงจุดต่ำสุดก่อนที่จะกลับมารุ่งโรจน์เหมือนที่พวกเขาเคยเป็น

และนั่นเป็นความคิดที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ บาร์เซโลน่า ในชุดปัจจุบัน ควรคำนึงถึงและจดจำไว้ให้ขึ้นใจก่อนลงมือทำสิ่งใดกับทีมในอนาคตข้างหน้า

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ถึงเวลาเดินหน้าต่อ : กุญแจสำคัญที่จะพา บาร์ซ่า ก้าวข้ามสู่ยุคใหม่