วิกฤตเสือใต้: โค้งสุดท้ายที่เสี่ยงมือเปล่า

วิกฤตเสือใต้: โค้งสุดท้ายที่เสี่ยงมือเปล่า

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในวงการลูกหนังมีประเด็นให้พูดถึงมากมาย ทั้งการสะดุดของ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล การปลดโค้ชซ้ำซ้อนของ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ รวมไปถึงการเข้าชิง 2 บอลถ้วยในประเทศของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แต่นั่นคือที่อังกฤษ.. ข้ามฟากไปที่บุนเดสลีกา เยอรมัน ก็มีเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน เมื่อการลุ้นแชมป์ในช่วงโค้งสุดท้ายถือว่ากำลังขับเคี่ยวกันอย่างสูสีสุด ๆ ใครจะไปคิดว่าทีมอย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค จะมายางแตกในช่วงสำคัญแบบนี้ 

หลังเสียจ่าฝูงให้กับ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แถมยังลงแข่งขันเท่ากัน และไม่ต้องมาตัดแต้มกันเองอีกด้วย นั่นหมายความว่าอีก 5 เกมสุดท้าย หากทีมดังจากแคว้นรูห์สามารถเก็บชัยชนะได้หมดพวกเขาจะผงาดคว้าแชมป์ได้ทันที 

ประเด็นที่น่าสนใจคือมันเกิดอะไรขึ้น? กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ที่ดูเหมือนว่าปัญหาภายในทีมจะส่งผลกระทบสู่ผลงานในสนาม 

วันนี้ UfaArena จะพาทุกท่านไปดูพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ”เสือใต้“ยอดทีมจากแคว้นบาวาเรีย ในฤดูกาลนี้ หากพวกเขามือเปล่า มีโอกาสสูงที่ทีมจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังจบซีซั่น

๐ แชมป์อาจเปลี่ยนมือ

หากพูดถึงฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน ทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ในช่วงหลังกวาดแชมป์แบบไม่แบ่งใครคงหนีไม่พ้น บาเยิร์น มิวนิค ที่ครองตำแหน่งนี้มา 10 ฤดูกาลติด นับตั้งแต่ปี 2012 ที่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยทำไว้ 

“เสือใต้” คือทีมที่ครองความยิ่งใหญ่มากที่สุด 32 สมัย ชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้ จนเกิดวลีที่ว่าทีมนี้ใครมาคุมก็ได้แชมป์ เพราะขนาดฤดูกาลที่แล้วผลงานของพวกเขาต่ำกว่ามาตรฐาน ยังสามารถเข้าวินได้แบบสบาย ๆ เนื่องจากทีมที่ขึ้นมาเป็นคู่แข่งมักจะสะดุดหกล้มกันไปเอง  

แต่ฤดูกาลนี้ดูเหมือนว่าอะไร ๆ ก็ไม่แน่ซะแล้ว เมื่อพวกเขาพลาดท่าบุกไปพ่ายไมนซ์ 05 แบบหมดสภาพ 1-3 และ “เสือใต้” มีสถิติที่ไม่น่าอภิรมย์นัก 29 นัด เก็บได้แค่ 59 คะแนน ถือว่าน้อยที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2010-11

คู่แข่งอย่าง ดอร์ทมุนด์ ที่ลงเล่นในคู่ดึกของวันเดียวกันไม่ยอมทิ้งโอกาสไล่ถล่มไอทรัค แฟรงค์เฟิร์ต แบบขาดลอย 4-0 ผงาดแซงขึ้นมานำจ่าฝูงแทน ช่องว่างมันอาจจะไม่ได้ห่างกันมากแค่ 1 คะแนน ที่น่าสนใจคือเหลือโปรแกรมลงเล่นอีกเพียงแค่ 5 เกมเท่านั้น 

ซึ่งความหนักเบาถือว่าพอ ๆ กัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็ได้เล่นในบ้าน 3 เกมเหมือนกัน แต่คู่แข่งดูเหมือนกว่า ดอร์ทมุนด์ จะเบากว่านิด ๆ อาจจะหนักหน่อยคือการไปเยือน โบคุ่ม และเอาก์สบวร์ก ที่กำลังดิ้นรนหนีการตกชั้น

ส่วน บาเยิร์น มิวนิค จะโดนทดสอบในสัปดาห์นี้ด้วยการเปิดบ้านพบกับ “หญิงชรา” แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ทีมจากเมืองหลวงที่รั้งบ๊วยของตารางต้องการแต้ม เพราะถ้าพลาดอีกโอกาสตกชั้นมีสูงจริง ๆ รวมไปถึงการพบกับคู่ต่อกรที่น่ากลัวอย่างแอร์เบ ไลป์ซิก 

โปรแกรม ดอร์ทมุนด์ 5 เกมสุดท้าย 

28-04-2023 (เยือน) โบคุ่ม 

07-05-2023 (เหย้า) โวล์ฟสบวร์ก

13-05-2023 (เหย้า) กลัดบัค

21-05-2023 (เยือน) เอาก์สบวร์ก

27-05-2023 (เหย้า) ไมนซ์ 05

โปรแกรม บาเยิร์น มิวนิค 5 เกมสุดท้าย 

30-04-2023 (เหย้า) แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 

06-05-2023 (เยือน) แวร์เดอร์ เบรเมน

13-05-2023 (เหย้า) ชาลเก้ 04

20-05-2023 (เหย้า) แอร์เบ ไลป์ซิก

27-05-2023 (เยือน) เอฟซี โคโลญจน์

๐ ปัญหาในมุ้งของพี่เสือ

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงท้ายฤดูกาล 2020-21 ฮันซี่ ฟลิค ประกาศอำลาตำแหน่งเทรนเนอร์ บาเยิร์น มิวนิค แบบเด็ดเดี่ยว เพราะเขาเลือกแถลงข่าวนี้ด้วยตัวเองหลังจบเกมที่เอาชนะโวล์ฟสบวร์ก 3-2 ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะการขอยกเลิกสัญญา สโมสรควรจะเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของทีม หรือทำให้มันเป็นทางการ

เขาขอยกเลิกสัญญาที่เหลืออยู่กับทีมหลังจบฤดูกาลดังกล่าว แม้ว่าจะมีแชมป์ติดมือ เหตุผลหลัก ๆ มีอยู่ 2 ข้อคือการเตรียมไปรับงานคุมทีมชาติเยอรมันต่อจาก โยอาคิม เลิฟ ที่ประกาศอำลาตำแหน่งเทรนเนอร์หลังจบศึกยูโร 2020 ที่เลื่อนมาเตะในปี 2021 เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 

ฟลิค เคยให้สัมภาษณ์แบบไม่มีกั๊กว่าเขาอยากคุมทีมชาติเยอรมัน ทำให้เกิดปัญหากับ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิซ ผู้อำนวยการสโมสร จริง ๆ อาจจะมีเรื่องอื่นมาก่อนหน้านั้น ทั้งเรื่องการปล่อย ติอาโก้ อัลคันทาร่า ไปให้กับ ลิเวอร์พูล, การไม่พยายามต่อสัญญาแกนหลักอย่าง ดาวิด อลาบา และเยอโรม บัวเต็ง แถมยังดึงนักเตะที่เขาไม่ต้องการอย่าง บูนา ซาร์ เข้ามาร่วมทีม

หลังจากแยกย้ายกันไป ฟลิค ก้าวขึ้นไปขุมทีมชาติเยอรมันต่อจาก โยอาคิม เลิฟ คนที่ให้การสนับสนุนเขาอย่าง คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิเก้ ก็ลงจากตำแหน่งซีอีโอของสโมสร ตั้งโอลิเวอร์ คาห์น อีกหนึ่งผู้เล่นระดับตำนานขึ้นมาทำหน้าที่แทน

งานแรกของ “คิง คาห์น” คือการสรรหากุนซือคนใหม่ที่จะเข้ามาสานงานต่อ สุดท้ายจบลงด้วย ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ เทรนเนอร์หนุ่มไฟแรงจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ทีมคู่แข่งลุ้นแชมป์โดยตรงเข้ามาคุมทีม ด้วยการจ่ายเงินค่าฉีกสัญญาที่สูงถึง 25 ล้านยูโร

ปีแรกของเขากับ บาเยิร์น มิวนิค ทุกอย่างดูราบรื่นดี แม้ผลงานอาจจะยังไม่เท่ากับที่ ฮันซี่ ฟลิค เคยทำไว้ แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเพิ่งเข้ามาทำงานยังต้องเรียนรู้ และปรับตัวให้คุ้นชินกับทีมใหม่ 

แต่ฤดูกาลนี้ บาเยิร์น มิวนิค มีปัญหาค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะการเสีย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ไปให้กับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ได้ ซาดิโอ มาเน่ เข้ามาพยายามปรับเล่นหลายแบบ แต่มันก็ไม่ได้ตอบโจทย์ สุดท้ายต้องวนกลับไปใช้ตัวเก๋าอย่าง เอริค มักซิม ชูโป-โมติง ที่เป็นหน้าเป้าธรรมชาติ

ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า ในช่วงพักเบรกฟีฟ่า เดย์ ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพราะมีปัญหากับนักเตะในทีม เริ่มจากการไปปลดโค้ชผู้รักษาประตูที่มีความสนิทสนมกับ มานูเอล นอยเออร์ และยังงัดข้อกับตัวเก๋าอย่าง โธมัส มุลเลอร์ อย่างที่รู้ ๆ กันว่าคนที่มีปัญหากับขาใหญ่อย่างเขามักจะอยู่ไม่รอด

กรณีนี้เคยเกิดขึ้นกับ นิโก้ โควัช มาแล้ว เขาเลือกไม่ใช่ มุลเลอร์ เป็นตัวหลัก จนภรรยาของนักเตะได้โพสต์ด่าว่าเป็นไอ้โง่ และไม่นานหลังจากนั้น โควัช ก็อยู่ไม่ได้ กระเด็นตกเก้าอี้ไปตามสภาพ ในกรณีของ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ก็ไม่ต่างกัน

๐ ใครจะอยู่..ใครจะไป?

หลังเกมนัดล่าสุดที่พวกเขาบุกพ่ายให้กับ ไมนซ์ มีประเด็นที่น่าสนใจ ตามรายงานของสื่อในเมืองเบียร์ได้ระบุว่า บอร์ดบริหารของ บาเยิร์น มิวนิค ได้เริ่มประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของทีม และกำลังจะมีการตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้น

“บิลด์” สื่อดังเมืองเบียร์ที่เป็นจอมขุดคุ้ยได้รายงานว่า เป้าหมายในการพิจารณาคือ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิซ ผู้อำนวยการสโมสร และโอลิเวอร์ คาห์น ซีอีโอที่เพิ่งขึ้นมารับตำแหน่งนี้ได้ไม่นาน 

แต่คนที่โดนเพ่งเล็งไว้มากที่สุดคือ โอลิเวอร์ คาห์น เพราะเขาคือคนที่ต้องรับผิดชอบเพราะนั่งตำแหน่งซีอีโอ เป็นผู้อนุมัติทุกอย่างทั้งเรื่องของการเปลี่ยนกุนซือ รวมไปถึงการดูแลตลาดซื้อขายนักเตะ 

เริ่มจากการหาตัวแทนของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ไปเอา ซาดิโอ มาเน่ แล้วมันไม่ตอบโจทย์ แทนที่จะหาหน้าเป้าธรรมชาติเข้ามาเป็นตัวจบสกอร์ ใช้แข้งอายุเยอะอย่าง เอริค มักซิม ชูโป-โมติง จริงอยู่ว่าผลงานอาจจะดี แต่ผู้เล่นวัย 34 ปี จะพร้อมลงเล่นให้กับทีมทุกเกมเลยหรือ?

ต่อมาคือการเลือกโค้ชเขาใช้เงิน 25 ล้านยูโร ในการฉีกสัญญาดึง ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ เข้ามา แถมยังต้องจ่ายเงินค่าชดเชยที่ปลดออกจากตำแหน่งอีก เพราะทำงานยังไม่ถึง 2 ปี รวมไปถึงผลงานในฟุตบอลยุโรปที่ถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญของพวกเขา

มีรายงานว่าเขาอาจจะโดนปลดทันที อย่างไรก็ตาม แฮร์เบิร์ต ไฮเนอร์ ประธานสโมสรยังไม่รีบร้อนตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยรอให้ฤดูกาลนี้จบลงก่อน ตัว คาห์น เองก็ได้ให้สัมภาษณ์หลังเกมที่พ่ายไมนซ์ ถึงประเด็นที่มีคนไม่พอใจการบริหารทีมของเขา  

“ผมไม่มีปัญหากับคำวิจารณ์ ผมมีประสบการณ์มากมายกับอาชีพค้าแข้งของผม และผมรู้ว่ามันหมายความอย่างไร เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นไปได้ด้วยดี ที่ บาเยิร์น มิวนิค ทุกคนต่างมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ผลงานของเราย่ำแย่ แต่เรายังไม่หมดโอกาสคว้าแชมป์” 

“ผมไม่ได้รู้สึกกลัว แต่มันคือหายนะถ้าหากเรามือเปล่าในฤดูกาลนี้” คาห์น กล่าว

อย่างไรก็ตามการตัดสินใจต่าง ๆ ของทีมบริหารบาเยิร์น มิวนิค จะเกิดขึ้นหลังจบฤดูกาล พวกเขาต้องประเมินผลงานของทีม 

ด้าน โลธ่าร์ มัทเธอุส ยอดแข้งระดับตำนานของทีมสโมสรและทีมชาติเยอรมันก็ได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ว่า โธมัส ทูเคิ่ล ไม่ได้มีความผิดอะไรเพราะเข้ามาคุมทีมได้เพียง 7 เกม เขาเห็นพ้องกับสื่อที่ว่า ฮาซาน ซาลิฮามิดซิซ และโอลิเวอร์ คาห์น ควรต้องพิจารณาตัวเอง

“คาห์น และ ซาลิฮามิดซิซ พวกเขาต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำอะไรผิด อะไรที่มันไม่ได้ผลหรือไม่เกิดประโยชน์ต่อทีม มันใช่เวลาที่ถูกต้องกับการเปลี่ยนโค้ชหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วการเปลี่ยนกุนซือมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย” มัตเทอุส กล่าว

ก็ต้องรอดูว่าสุดท้าย บาเยิร์น มิวนิค จะจบฤดูกาลนี้ด้วยตำแหน่งอะไร จะมีแชมป์ติดมือ หรือจะมือเปล่า?

รวมไปถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น ใครจะอยู่..ใครจะไป น่าสนใจจริง ๆ