วิวัฒนาการตำแหน่งของเมสซี่ในสีเสื้อบาร์ซ่า

 

ลิโอเนล เมสซี่ ได้ลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่ามากมายหลายตำแหน่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ช่วงหลังๆที่ผ่านมา เขาถูกโยกไปเล่นในตำแแหน่งที่หลายคนมองว่าเหมาะสมกับตัวเมสซี่เอง และยังดูยอดเยี่ยมกว่าเมื่อก่อนด้วย แต่ทำไมเขาถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น?

 

ใน 15 ปีที่ดาวเตะอาร์เจนไตน์ค้าแข้งในฟุตบอลอาชีพ เขาลงเล่นมากกว่า 800 นัด เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชื่อเสียงให้กับกุนซือดังมากมาย และไม่มีใครปฏิเสธว่าเมสซี่คือหนึ่งในนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก

 

 หากลองย้อนไปในช่วงเมสซี่ยังเป็นดาวรุ่งอยู่ น้อยคนนักที่กล้าฟันธงว่าเขาจะกลายเป็น ลิโอเนล เมสซี่อย่างเช่นตอนนี้ ด้วยความสูงแค่ 170 เซนติเมตร บวกกับพรสวรรค์และความสร้างสรรค์อันเหลือล้น ไม่แปลกใจที่ผู้คนจะมองว่าเมสซี่เหมาะกับการเล่นเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ยืนอยู่หลังกองหน้าซะมากกว่า

 

แต่ทว่าเมสซี่ก็ทำลายข้อจำกัดนั้นลงได้และกลายเป็นนักเตะที่สามารถเล่นได้ดีในทุกตำแหน่งที่เขาลงเล่น ไม่ว่าจะเป็นกองกลาง, ตัวริมเส้น หรือ กองหน้าตัวเป้า เพราะฉะนั้นการจำกัดว่าเขาเป็นแค่ตัวทำเกมคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เนื่องจากแข้งวัย 31 ปีมีทักษะในหลายๆด้านที่ครบเครื่องต้มยำ และมีเพลย์เม็คเกอร์คนไหนที่รั้งตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติอาร์เจนติน่า, บาร์เซโลน่า และ ลาลีก้า ได้เหมือนเมสซี่ล่ะ?

 

ด้วยประตูมากมายที่เขาผลิตให้ต้นสังกัด นั่นทำให้เขาห่างหายจากบทบาทตัวทำเกมสุดคลาสสิคให้บาร์ซ่าไปนานพอสมควร แต่ทว่าตอนนี้เขากลับมาเล่นตำแหน่งนี้อีกครั้ง และมันได้ผลอย่างชัดเจนเลยล่ะ

 

 

ปีกดาวรุ่งพุ่งแรง

เมสซี่ได้รับการคาดหวังจากแฟนบอลในอาร์เจนติน่าว่าจะเขามาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ต่อจาก ฮวน โรมัน ริเกลเม่ และ ปาโบล ไอมาร์ ซึ่งทั้งคู่คือไอดอลของเมสซี่ในวัยเด็กด้วย  

 

แต่ทว่าในช่วงแรกๆที่เมสซี่มีโอกาสลงเล่นในฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกนั้น แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด กุนซือของบาร์เซโลน่าในตอนนั้น มองว่าเขาเป็นนักเตะที่รวดเร็วเกินกว่าจะเล่นตรงกลางสนามแถมมีสไตล์การลากเลื้อยที่คล่องแคล่วอีก ทำให้เมสซี่ถูกจับไปเล่นในตำแหน่งตัวริมเส้นหรือปีกทางฝั่งขวา

 

 

นับตั้งแต่เมสซี่ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ในปี 2004 เขาก็มีโอกาสลงเล่นอยู่บ้าง แต่ทว่าในตอนนั้นบาร์ซ่าก็ยังมีสตาร์ดังอย่าง โรนัลดินโญ่ อยู่ในทีม ทำให้เมสซี่ไม่ได้ลงสนามบ่อยครั้งในช่วงแรกๆที่ขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้น แข้งอัจฉริยะชาวแซมบ้าก็ออกปากชื่นชมดาวรุ่งแดนฟ้าขาวอย่างมาก แถมยังยืนยันอีกว่า เมสซี่จะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกว่าเขาในอนาคตอย่างแน่นอน

 

ในปี 2005 เขาได้ลงเล่นเต็มฤดูกาลครั้งแรก แต่เขาก็ยังได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองส่วนใหญ่ จนกระทั่งแฟร้ง ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ได้ลาทีมไป จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตค้าแข้งของเมสซี่ก็มาถึง

 

 

จอมถล่มประตูร่างเล็ก

เป็ป กวาร์ดิโอล่าที่ผู้จัดการทีมที่เข้านั่งเก้าอี้ในถิ่นคัมป์ นู ต่อจากไรจ์การ์ด และได้ดันเมสซี่ขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักในฤดูกาล 2008-2009 ซึ่งปีนั้นเองคือปีที่ เป็ปและเมสซี่พาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาตร์ของสโมสร โดยที่เขาประจำการอยู่ตรงตำแหน่งปีกขวาของทีมอยู่เหมือนยุคของไรจ์การ์ด

 

 

แต่หลังจากนั้นอีก 2 ปี เป็ปได้ทำการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการเล่นของเมสซี่ให้เขามาเล่นเป็นหน้าเป้าแทน และได้สร้างให้เมสซี่เป็นผู้เล่นในตำแหน่ง ฟอลส์ ไนน์ที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งเขาทำประตูได้มากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และคว้าถ้วยแชมเปี้ยนมาครองได้อีกครั้ง

 

สถิติการทำประตูของเมสซี่รูดหน้ากว่าปีก่อนหน้านั้นมาก เช่นในฤดูกาล 2010-2011 เขายิงไปถึง 53 ประตูในทุกรายการ หรือ ฤดูกาล 2011-2012 เมสซี่ซัดไปถึง 73 ประตูในปีนั้น ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเล่นแบบมาราโดน่า หรือ ไอมาร์ อีกต่อไป เพราะมีชาบี และ อิเนียสต้า คอยทำเกมอยู่ข้างหลังเขา และการอยู่ใกล้กรอบเขตโทษก็ดูเข้ากับการเล่นของเมสซี่มากๆเลย

 

ดาวเตะร่างเล็กยังเล่นในตำแหน่งนี้อยู่ซักพักหลังจากที่ เป็ป กวาร์ดิโอล่า ลาทีมไป และแม้ว่าภายใต้การคุมทีมของ ตีโต้ บีลาโนบ้า และ เคราร์โด้ มาร์ติโน่ เมสซี่จะแอสซิสต์ให้เพื่อนได้ด้วย แต่เขาก็ยังดูเป็นกองหน้ามากกว่าเพลย์เม็คเกอร์อยู่ดี

 

 

ยิงและจ่ายไปพร้อมๆกัน

 

ในช่วงบอลโลกปี 2014 เมสซี่ได้กลายร่างเป็นนักเตะหมายเลข 10 ในทีมชาติอาร์เจนติน่า โดยเฮ้ดโค้ช อเลฮานโดร ซาเบลล่าได้จับเขามายืนหลังกอนซาโล่ อิกวาอิน ในระบบ 4-4-1-1 ทำให้มีการคาดเดาว่าเมสซี่จะถูกโยกมาเล่นในตำแหน่งนี้เช่นเดียวกันเมื่อกลับไปเล่นให้ทีมอาซูลกราน่า และคอยทำเกมให้กับเนย์มาร์และหลุยส์ ซัวเรซในแนวหน้า

 

แต่ทว่า หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็ยังเล่นในแผน 4-3-3 และให้เมสซี่เล่นหน้าเป้าเหมือนเดิม และให้ซัวเรสโยกไปเล่นทางขวาแทน แต่แล้วเขาก็พบว่าแผนการเล่นนี้ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรจึงเปลี่ยนระบบการเล่นในเดือนมกราคม โดยให้เมสซี่โยกกลับไปเล่นทางขวาเหมือนตอนเป็นดาวรุ่ง และขยับให้กองหน้าชาวอุรุกวัยมายืนในแดนหน้าแทน ผลลัพธ์ที่ได้บาร์ซ่ากลับมาผงาดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์อีกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างจากแต่ก่อนคือแข้งแดนฟ้าขาวมีส่วนกับเกมการเล่นมากว่าที่เคย

 

 

จากที่เขาไม่เคยต้องลงมาล้วงบอลลึกในแดนกลางและทำหน้าที่ในพื้นที่สุดท้ายเป็นส่วนใหญ่ ในตอนนี้เมสซี่มีส่วนกับเกมในสนามมากขึ้น ในสมัยที่มาร์ติโน่นั้น เมสซี่มีค่าเฉลี่ยในการจ่ายบอลในลีก 49.3 ครั้งต่อเกม แต่ในยุคเอ็นริเก้ ค่าเฉลี่ยนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 62.2 ครั้งต่อเกม แถมในฤดูกาล 2014-2015 เขายังรักษาสมดุลของการเป็นดาวยิงและตัวทำเกมได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยยิงไป 43 ประตู กับ 18 แอสซิสต์ในลีก

 

รูปแบบการเล่นแบบนั้นยังคงอยู่ต่อไปจนกระทั่ง หลุยส์ เอ็นริเก้ ลาออกไปในปี 2017 และอายุของเมสซี่ก็เข้าสู่เลขสามอย่างเต็มตัว ขาทั้งสองข้างของเขาอาจจะเชื่องช้าลงบ้าง แต่ก็ได้ความนิ่งและการตัดสินใจที่เฉียบคมเข้ามาทดแทนในส่วนที่หายไป

 

จนมาถึงยุคของ เอร์เนสโต บัลเบรเด้ บาร์เซโลน่าก็ได้มีการแก้ไขระบบการเล่นในทีมใหม่อีกครั้ง

 

 

ตัวทำเกมในวัยเลขสาม

 

ในซัมเมอร์ปี 2017 บาร์เซโลน่าได้เปลี่ยนไปใช้แผน 4-4-1-1 หรือ 4-4-2 เป็นส่วนใหญ่ โดยทิ้งเมสซี่กับซัวเรซเป็นหน้าคู่ หลังเนย์มาร์ตัดสินใจย้ายไปอยู่ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งดาวยิงร่างเล็กได้กลับสู่ตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ ตำแหน่งที่ใครหลายคนคาดไว้ในตอนแรกว่าเหมาะกับเมสซี่ ทักษะต่างๆและประสบการณ์ที่สะสมมาทั้งหมดของเขาดูเข้ากับตำแหน่งนี้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและสถิติต่างๆก็แสดงให้เห็นว่ามันยอดเยี่ยมแค่ไหน

 

 

เมสซี่เคลื่อนที่ไปทั่วทั้งสนาม, ลงไปลึกในแดนกลาง,คอยเชื่อมเกม, พาบอลขึ้นหน้า, ทำเกมและทำประตู และเขาก็ก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งของลาลีก้าในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำประตู,แอสซิสต์, ค่าเฉลี่ยการยิง และการจ่ายบอลครั้งสำคัญต่อเกม อย่างในเกมล่าสุดที่เปิดบ้านพบกับบายาโดลิด บาร์ซ่ายิงไปทั้งหมด 20 ครั้งในเกมนั้น ซึ่งเมสซี่ก็ส่องคนเดียวถึง 12 ครั้ง และจ่ายลูกสำคัญถึง 7 ครั้ง การมีส่วนร่วมกับเกมมากขนาดนี้คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้แต่นักเตะระดับโลกเช่นเมสซี่ก็ตาม

 

ดาวเตะวัย 31 ปีมีส่วนร่วมกับประตูต่อเกมในฤดูกาลนี้สูงถึง 1.65 ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ 7 ปีแล้วที่เขายิงไปถึง 50 ประตู รวมไปถึงค่าเฉลี่ยการจ่ายบอล, การแอสซิสต์ และประตูต่อเกมก็มากกว่าแต่ก่อนพอสมควร

 

แต่สถิติที่นำโด่งกว่าเรื่องไหนคือการจ่ายบอลครั้งสำคัญต่อเกม โดยนับตั้งแต่ปี 2012-2013 เมสซี่ทำได้เต็มที่แค่ 2.51 และ 2.62 ครั้งต่อเกมเท่านั้น แต่ทว่าในฤดูกาลเขาทำไปถึง 3.31 ครั้งต่อเกม

 

การมีส่วนร่วมกับเกมรุกคือสิ่งที่เพลย์เม็คเกอร์ดั้งเดิมพึงมี แต่เมสซี่ไม่ใช้ตัวทำเกมในแบบที่ ไอมาร์ หรือ ริเกลเม่ เป็นเท่านั้น แต่เขาเติบโตขึ้น, ชาญฉลาดขึ้น, มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าเมื่อก่อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อนก็ตาม

 

 

นี่น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับยอดทีมแห่งแคว้นกาตาลัน เพราะในตำแหน่งนี้เมสซี่สามารถเล่นให้กับทีมไปยาวๆหลายปี แม้อายุของเขาจะมากขึ้นก็ตาม คุณอาจจะได้เห็นเมสซี่เดินทอดน่องไปมาแบบริเกลเม่ คอยรับบอลและจ่ายบอลออกไปให้เพื่อนร่วมทีม ถ้าหากเขาได้ลงเล่นในตำแหน่งนี้ตั้งแต่ช่วงแรกของการค้าแข้ง เราอาจจะไม่ได้เห็นเมสซี่อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้ และตอนนี้ประสิทธิภาพจากตำแหน่งใหม่ของเมสซี่ก็มีผลกับทีมอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ