หลังจากเสริมทัพใหม่ไปแล้ว 2 ราย ณ ตอนนี้ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ได้รับการรายงานว่า พวกเขาใกล้คว้า แมตต์ โดเฮอร์ตี้ วิงแบ็คตัวเก่งจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์
แข้งวัย 28 ปี อยู่ค้าแข้งในถิ่น โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม ตั้งแต่ปี 2010 และ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่ในทีมก่อนที่ โฟซุน อินเตอร์เนชั่นแนล เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร พร้อมกับไต่เต้าจนกลายเป็นตัวหลักของทีมนับตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14 ที่มีส่วนช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นจากลีกวัน สู่ แชมเปี้ยนส์ชิพ
ปัจจุบัน แบ็คทีมชาติไอร์แลนด์ ได้สร้างชื่อเป็นหนึ่งในนักเตะคุณภาพของพรีเมียร์ลีก และได้รับความสนใจจากสโมสรดังร่วมลีกไม่น้อย ซึ่งล่าสุดหากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาเตรียมย้ายไปสวมเครื่องแบบของไก่เดือยทองในฤดูกาลหน้าแล้ว
แน่นอนว่าการมาของ โดเฮอร์ตี้ จะช่วยยกระดับตำแหน่งแบ็คขวาของทีมอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกัน ดีลนี้ก็ส่งผลต่อ เซิร์จ ออริเย่ร์ เจ้าของแบ็คขวาตัวจริงในสเปอร์สในฤดูกาลก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงกันในฤดูกาลหน้า UFA ARENA จึงขอเปรียบเทียบฟอร์มการเล่นของของ โดเฮอร์ตี้ และ ออริเย่ร์ ในฤดูกาล 2019-20 ว่ามีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันอย่างไร
ประตูและแอสซิสต์โดเฮอร์ตี้แอบดีกว่า
โช่เซ่ มูรินโญ่ พบเจอความสามารถในการทำเกมบุกของ โดเฮอร์ตี้ ครั้งแรก หลังจากที่เห็นเขาขึ้นมาทำประตูตีเสมอให้ วูล์ฟ ในเกมพบ สเปอร์ส เมื่อมีนาคม ซึ่งทีมจากแคว้นมิดแลนด์เอาชนะไป 3-2 ณ สนาม ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม
นั่นถือเป็น 1 ใน 4 ประตูที่ แข้งทีมชาติไอร์แลนด์ ทำได้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งมีค่าเฉลี่ยส่วนร่วมกับประตูทุกๆ 710 นาที แตกต่างจาก ออริเย่ร์ ที่ทำไปแค่ลูกเดียว และมีค่าเฉลี่ยที่ 2,706 นาทีในลีกฤดูกาลที่ผ่านมา
แต่ถึงอย่างนั้น แบ็คไก่เดือยทอง ก็แอสซิสต์ได้มากกว่าที่ 5 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยทุก 541 นาที ขณะที่ โดเฮอร์ตี้ ทำไป 3 แอสซิสต์ และมีค่าเฉลี่ยที่ 947 นาที
ถ้าลองดูภาพรวมที่กว้างขึ้น จาก 3 ฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก ออริเย่ร์ ทำไปทั้งหมด 3 ประตู กับ 9 แอสซิสต์ ซึ่งหมายความว่าเขามีส่วนร่วมกับการทำประตูในทุกๆ 391 นาทีที่ลงเล่น
ส่วน โดเฮอร์ตี้ จาก 2 ฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกกับ วูล์ฟ เขาทำไป 8 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ มีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ 374 นาที
ทั้งคู่สูสีในด้านการทำเกมรุก
สำหรับ โดเฮอร์ตี้ ดูเป็นแข้งที่ชื่นชอบในการทำประตูด้วยตัวเองมากกว่ากองหลังทั่วไป เมื่อเขามีค่าเฉลี่ยหาโอกาสยิง 1 ครั้งต่อเกม ในฤดูกาล 2019-20 เทียบกับ ออริเย่ร์ ถือว่าแตกต่างกันมากที่ทำไปเพียง 0.4 ครั้งต่อเกม
แต่ด้านการเลี้ยงบอล แข้งทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ทำได้ดีกว่าพอสมควร เมื่อเขามีค่าเฉลี่ยเลี้ยงบอลสำเร็จ 1.2 ครั้งต่อเกมในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งทาง โดเฮอร์ตี้ ทำไปเพียง 0.8 ครั้งต่อเกม
อย่างไรก็ตาม ออริเย่ร์ ก็มีโอกาสที่จะเสียบอลมากกว่าเช่นกัน โดยเขามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.8 ครั้งต่อเกม มากเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ โดเฮอร์ตี้ (0.4 ครั้งต่อเกม)
ในส่วนการเรียกฟาวล์ ออริเย่ร์ ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย โดยทำได้เฉลี่ย 0.7 ครั้งต่อเกม เหนือแข้งหมาป่าที่ทำได้เพียง 0.5 ครั้งต่อเกม
มากันที่ด้านการจ่ายบอลบ้าง ในส่วนการจ่ายจังหวะสำคัญ (จ่ายบอลจังหวะสุดท้ายก่อนที่เพื่อนจะยิงเพื่อทำประตู) ในฤดูกาลที่แล้ว ออริเย่ร์ ดูทำได้ดีกว่าด้วยค่าเฉลี่ย 1 ครั้งต่อเกมในฤดูกาลที่แล้ว มากกว่า โดเฮอร์ตี้ ที่ทำได้ 0.6 ครั้ง
ส่วนของความแม่นยำในการจ่ายบอลนั้น แข้งชาวไอวอรี่โคสต์ ก็ทำได้ดีกว่า โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 79.1% เหนือกว่า แบ็คขาวไอร์แลนด์ที่ทำได้ 74.9% แต่หากวัดกันที่จำนวนครั้งในการจ่ายบอล ออริเย่ร์ ทำได้เพียง 38.8 ครั้งต่อเกม ขณะที่ โดเฮอร์ตี้ ทำไปถึง 41 ครั้งต่อเกม
ในแง่การจ่ายบอลรูปแบบต่างๆ อย่างการจ่ายบอลยาว โดเฮอร์ตี้ ดูเด่นกว่าพอตัว (1.3 ครั้งต่อเกม, ออริเย่ร์ 1 ครั้งต่อเกม) แต่ในด้านการครอสบอลด้านข้าง แข้งสเปอร์ส ทำได้มากกว่าที่ 0.6 ครั้งต่อเกม ขณะที่ ฟูลแบ็ควูล์ฟทำได้ 0.2 ครั้งเท่านั้น
ออริเย่ร์กินขาดด้านเกมรับ
การเล่นเกมรับ ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ ออริเย่ร มาตั้งแต่อยู่ ปารีส แซงต์ แชร์กแมงแล้ว แต่กับ สเปอร์ส เขาก็ทำได้ดีเช่นเคย และมีค่าเฉลี่ยการเข้าปะทะมากกว่า โดเฮอร์ตี้ เกือบ 2 เท่าในฤดูกาล 2019-20 (ออริเย่ร์ 2.8 ครั้งต่อเกม, โดเฮอร์ตี้ 1.5 ครั้งต่อเกม)
ขณะที่ในด้านการแย่งบอล แข้งสเปอร์ส ก็ทำได้โดดเด่นกว่าชัดเจน (1.4 ครั้งต่อเกม, 1.1 ครั้งต่อเกมสำหรับโคเฮอร์ตี้) อีกทั้งการเคลียร์บอล ออริเย่ร์ ก็ทำได้ดีกว่าที่ 2.5 ครั้งต่อเกม ส่วน โดเฮอร์ตี้ ทำได้เฉลี่ย 1.3 ครั้งต่อเกม
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่สถิติด้านนี้ของ ออริเย่ร์ และ โดเฮอร์ตี้ ค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร นั่นมาจากบทบาทและหน้าที่ที่ทั้งคู่ได้รับจากสโมสร
อย่างกรณีของ โดเฮอร์ตี้ เล่นเป็น วิงแบ็คภายใต้การกุมบังเหียน ของ นูโน่ ซานโต้ เอสปิริโต้ ซึ่งมี เซ็นเตอร์แบ็ค 3 ตัว คอยทำหน้าที่ซ้อนและป้องกันตอนเล่นเกมรับให้อยู่แล้ว จึงไม่ต้องพะวงในด้านนี้มากนัก
ขณะเดียวกัน ออริเย่ร์ ได้รับบทบาทให้เล่นเป็นฟูลแบ็คแบบดั่งเดิมมากกว่า และนี่อาจเป็นสิ่งที่ โดเฮอร์ตี้ จำเป็นต้องปรับตัวให้เขากับตำแหน่งนี้ หากเขาย้ายมาค้าแข้งกับยอดทีมในลอนดอนเหนือจริงๆ
คนไหนจะใช่สำหรับมู?
เนื่องจาก มูรินโญ่ เข้ามาทำหน้าที่กุนซือช่วงกลางฤดูกาล 2019-20 แทนที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ถูกปลดไป ทำให้เขาต้องลองใช้งานผู้เล่นที่มีในทีมก่อน จากนั้นเมื่อถึงตลาดนักเตะรอบหน้าค่อยว่ากัน
ในตำแหน่ง แบ็คขวาตัวหลัก เดอะ สเปเชี่ยล วัน เลือกใช่ ออริเย่ร์ เป็นตัวจริงบ่อยๆ และอาจถูกขยับไปเล่นเป็นตัวริมเส้นฝั่งขวาในบางครั้งเช่นกัน
และการที่มีร่างกายแข็งแกร่ง, เล่นลูกกลางอากาศได้ยอดเยี่ม, พาบอลขึ้นหน้าดี ไม่แปลกที่เขาจะกลายเป็นตัวเลือกเบอร์หนึ่งของ มูรินโญ่ ในตำแหน่งนี้
อย่างไรก็ตาม ข่าวการคว้าตัว โดเฮอร์ตี้ ก็เป็นการส่งสัญญานแบบอ้อมๆว่า กุนซือชาวโปรตุกีส ยังไม่พอใจกับผลงานที่ ออริเย่ร์ ทำได้ในฤดูกาลที่แล้วนัก
อีกทั้งการที่ แบ็คขวาชาวไอร์แลนด์ ยิงประตูใส่สเปอร์สเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา น่าจะทำให้ มูรินโญ่ ประทับใจในฝีเท้าไม่น้อย บวกกับผลงานโดยรวมกับวูล์ฟในฤดูกาลที่แล้วก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้จะไม่สามารถพาทีมไปเล่นยูโรป้า ลีก ได้เหมือนซีซั่นก่อน
เชื่อว่า มูรินโญ่ อาจให้โอกาส ออริเย่ร์ กับตำแหน่งแบ็คขวาเบอร์หนึ่งของเขาก่อน เนื่องจากเคยเล่นและน่าจะคุ้นเคยกับระบบการเล่นมาแล้ว ขณะที่ โดเฮอร์ตี้ อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้แผนการเล่นในทีมใหม่ หากย้ายมาร่วมทีมจริงๆ
อีกทั้ง โดเฮอร์ตี้ อาจไม่ได้เป็นฟูลแบ็คที่สามารถขึ้นไปเติมเกมบุกได้บ่อยครั้งแน่ๆ ถ้าต้องอยู่ในทีมที่มีกุนซือจอมเฮี้ยบและเน้นผลการแข่งขันอย่าง มูรินโญ่
อย่างไรก็ดี แข้งชาวไอร์แลนด์ ก็ไม่ได้มีสถิติการเล่นเกมรับแย่แต่อย่างใด แม้บางอย่างจะดูด้อยกว่า ออริเย่ร์ และถ้าได้โอกาสจากนายใหญ่ไก่เดือยทองจริงๆ เขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสคว้าตัวจริงหลุดลอยไปอย่างแน่นอน