ศึกสายเลือด! 6 เกมนัดชิง UCL จากชาติเดียวกัน

 

ลิเวอร์พูล เพิ่งเขย่าโลกด้วยการพลิกสถานการณ์จากที่แพ้ บาร์เซโลน่า มาก่อนในเกมแรกศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ 3 – 0 ด้วยการแซงชนะที่ แอนฟิลด์ 4 – 0  ตีตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับทีมจากชาติเดียวกันอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่พลิกเอาชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ได้เช่นเดียวกัน

 

โดยนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมจากชาติเดียวกันเองต้องมาดวลกันในนัดชิงชนะเลิศถ้วยใบนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายทีมจากหลายชาติที่ต้องมาเจอกันเอง และหลายแมตช์ก็กลายเป็นที่จำจดจำของบรรดาแฟนบอล โดยเฉพาะเกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งพบกับ เชลซี เมื่อีปี 2008 ที่ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ดราม่าสุดๆ

 

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเกมที่เป็นการพบกันของทีมจากชาติเดียวกันเอง ซึ่งวันนี้ Ufa Arena จะขอพาไปดูกันว่าที่ผ่านมามีเกมไหนกันบ้างที่ทีมจากชาติเดียวกันเองจะต้องมาดวลกันในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ

 

 

 

เรอัล มาดริด 3 – 0 บาเลนเซีย – 1999/2000

 

เรอัล มาดริด และ บาเลนเซีย พลาดโอกาสที่จะคว้าแชมป์ ลาลีก้า สเปน ซีซั่น 1999/2000 มาทั้งคู่ แต่พวกเขาสามารถผ่านได้ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, บาเยิร์น มิวนิค, ลาซิโอ้ และ บาร์เซโลน่า เพื่อเข้ามาสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นคู่ชิงชนะเลิศจากชาติเดียวกันครั้งแรกในถ้วย “บิ๊กเอียร์”

 

นี่ถือเป็นการทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของ “ราชันชุดขาว” เป็นครั้งที่ 11 และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี หลังจากที่ฤดูกาล 1997/1998 ในยุคของ จุ๊บ ไฮเกส เจ้าตัวสามารถพาทีมความแชมป์มาครองได้สำเร็จมาแล้ว ขณะที่ทางฝั่ง บาเลนเซีย การมาเล่นที่สนาม  สตาดเดอฟร็องส์ คือประการณ์ครั้งแรกในเกมนัดชิง แชมเปี้ยนส์ลีก ของพวกเขาเลยทีเดียว

 

โดยในแมตช์นี้ “โลส บลังโกส” ลูกทีมของ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ได้ประตูออกนำไปก่อนในครึ่งแรกจากการยิงของศูนย์หน้าตัวเก่งอย่าง เฟร์นานโด มอริเอนเตส ก่อนที่ครึ่งหลังพวกเขาจะมาได้อีกสองประตูจาก สตีฟ แม็คมานามาน และ ราอูล กอนซาเลซ ทำให้จบ 90 นาที เรอัล มาดริด เอาชนะ บาเลนเซียไปได้แบบขาดรอย 3 – 0 คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 8 ของสโมสรมาครองได้สำเร็จ

 

https://www.youtube.com/watch?v=uZpCWxrPgS4

 

 

 

เอซี มิลาน 0 – 0 ยูเวนตุส (จุดโทษ 3 – 2) – 2002/ 2003

 

เป็นหนึ่งในซีซั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของบรรดาสโมสรจากอิตาลี หลังจากที่พวกเขาตบเท้าเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ถึง 3 ทีม ก่อนจะกลายเป็นฝั่ง เอซี มิลาน ที่สามารถคว่ำคู่อริร่วมเมืองอย่าง อินเตอร์ มิลาน ผ่านเข้าไปดวลกับ ยูเวนตุส ในเกมนัดชิงที่สนาม โอลแทรฟฟอร์ด ได้สำเร็จ ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นทีมที่รู้ทางกันเป็นอย่างดี ทำให้เกมคู่นี้ค่อนข้างตึงเครียดพอสมควร ถึงขนาดที่ดาวซัลโวในครั้งนั้นอย่าง ฟิลิปโป้ อินซากี้ แทบจะไม่สามารถทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยทีเดียว

 

จนกระทั้งเกมผ่านเข้าสู่ช่วงดวลจุดโทษเพื่อหาผู้ชนะ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ คาค่า คาลัดเซ่ มือสังหารคนที่สองและคนที่สามของ “รอสโซเนรี่” ยิงพลาดทั้งคู่สร้างความได้เปรียบให้กับทางฝั่ง “เบียงโเนรี่” สุดๆ แต่แล้วเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับพวกเขาหลัง มาร์เซโล่ ซาราเยต้า และ เปาโล มอนเตโร่ ดันไม่เข้าทั้งคู่ทำให้โอกาสพลิกกลับมาอยู่กับทางฝั่ง เอซี มิลาน ก่อนที่ อังเดร เชฟเชนโก้ จะเป็นคนซัดปิดท้ายให้กับ “ปีศาจแดงดำ” ผงาดคว้าแชมป์ยุโปรสมัยที่ 6 ของสโมสร

 

https://www.youtube.com/watch?v=etESI2z-BTQ

 

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 1 เชลซี (จุดโทษ 6 – 5) – 2007/2008

 

เช่นเดียวกับความยอดเยี่ยมของสโมสรจากอิตาลี เมื่อซีซั่น 2002/ 2003 ในฤดูกาลนี้ก็เป็นอีกครั้งที่มีถึงสามทีมจากชาติเดียวกันทะลุเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ นั้นก็คือ เชลซี, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนท้ายที่สุดจะเป็นทางฝั่งของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่สามารถคว่ำ “หงส์แดง” ได้สำเร็จครั้งแรกจากทั้งหมด 3 ครั้งที่เคยเจอกันรอบนี้ผ่านเข้าไปดวลกับเกมนัดชี้ชะตากับทีม “ปีศาจแดง” ที่กำลังผลงานร้องแรงสุดๆ ภายใต้การนำทัพของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

 

เกมที่ ลุจนีกี สเตเดี้ยม เป็นทางฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ประตูออกนำไปก่อนจากประตูของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก่อนที่ แฟรงก์ แลมพาร์ด จะมาตามตีเสมอให้ เชลซี ได้สำเร็จ ก่อนท้ายที่สุดคู่นี้เป็นอีกหนึ่งเกมนัดชิงถ้วย “บิ๊กเอียร์” ที่ต้องลงเอยกันด้วยการดวลจุดโทษ

 

โอกาสทำท่าว่าจะกลายเป็นของ เชลซี สำหรับการคว้าแชมป์ครั้งแรกในรายการนี้ของพวกเขา หลังจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงไปติดเซฟ ปีเตอร์ เช็ก และ จอห์น เทอร์รี่ เตรียมที่จะลงมาสังหารเพื่อปิดเกม แต่เจ้าตัวดันลื่นในจังหวะที่กำลังวิ่งเข้าไปยิงทำให้เขาเสียหลักและคุมบอลได้ไม่ดีพอลูกพุ่งชนเสาเต็มๆ ส่งผลให้สถานการณ์กลับมาเป็นของลูกทีม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อีกครั้ง และท้ายที่สุดจังหวะ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ปฎิเสธลูกยิงของ นิโกล่าส์ อเนลก้า ก็ส่งผลให้พวกเขาคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 3 ไปครองได้ทันที

 

https://www.youtube.com/watch?v=jh_kBDG3SGY

 

 

 

บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ดอร์ทมุนด์ บาเยิร์น – 2012/2013

 

ในฤดูกาล 2012/13 บาเยิร์น มิวนิค  สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกามาครองได้ด้วยการทิ้งห่างทีมอันดับสองอย่าง ดอร์ทมุนด์ ถึง 25 แต้ม และยังเป็นการคว้าถ้วยยุโรปสมัยที่ 5 ของทีม หลังจากในเกมนัดชิงที่พวกเขาสามารถเอาชนะเพื่อนร่วมชาติอย่าง  โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้สำเร็จ

 

เกมดังกล่าวทัพ “เสือใต้” ออกนำไปก่อนในนาทีที่ 26 จาก มาริโอ มานด์ซูคิช แต่หลังจากนั้นฝั่ง “เสือเหลือง” ก็มาตีเสมอได้จากลูกโทษของ อินคาย กุนโดกัน แถมลูกจุดโทษนี้ยังเป็นประตูแรกที่ยอดทีมแห่งแคว้นบาวาเลีย เสียในศึก แชมปี้ยนส์บีกครั้งนั้นอีกด้วย เกมดูเหมือนจะต้องยืดเยื้อจนถึงช่วงต่อเวลา แต่สุดท้ายเป็น อาเยน ร็อบเบน ที่มารับหน้าที่สวมบทฮีโร่ สังหารประตูชัยในนาที 89 ของเกม ช่วยพา บาเยิร์น มิวนิค  จบฤดูกาลด้วยการเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ พร้อมกับเป็นการอำลาส่งท้ายให้กับ จุป ไฮน์เกส อีกด้วย

 

https://www.youtube.com/watch?v=ydzhox5jmJU

 

 

 

เรอัล มาดริด 4 – 1 แอตเลติโก้ มาดริด – 2013/2014

 

หากย้อนกลับไปก่อนเกมนัดชิงที่กรุงลิสบอน หนึ่งสัปดาห์ แอตเลติโก้ มาดริด เพิ่งผงาดคว้าแชมป์ ลาลีก้า สเปน ได้สำเร็จครั้งแรกของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1996 หลังจากที่พวกเขาสามารถบุกไปยันเสมอ บาร์เซโลน่า ได้ถิ่งถิ่น 1 – 1 ด้วยประตูตากการโหม่งของ ดีเอโก้ โกดิน จากนั้นในเกมนัดชิง แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พบกับ เรอัล มาดริด เจ้าตัวก็สามารถโขกประตูขึ้นนำให้ทีมได้อีกครั้ง ก่อนที่จะมาโดน เซร์คิโอ รามอส ทำประตูตามตีเสมอให้ “ราชันชุดขาว” ได้สำเร็จในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครั้งหลัง และต้องหาผู้ชนะด้วยการต่อเวลาพิเศษ

 

แต่แล้ว โมเมนตัม ของเกมก็ดันกลับไปอยู่กับทางฝั่งของลูกทีม คาร์โล อันเชล็อตติ ก่อนที่ แกเร็ธ เบล, มาช์เชโล่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะมาซัดกันละประตูช่วยให้ เรอัล มาดริด เอาชนะทีม “ตราหมี” 4 – 1 ทั่งที่พวกเขาควรจะแพ้ไปแล้วตั้งแต่ช่วงเวลาปกติ สร้างความเจ็บปวดให้กับลูกทีมของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ไม่น้อย

 

https://www.youtube.com/watch?v=N8q7LORj2Rk

 

 

 

เรอัล มาดริด 1 – 1 แอตเลติโก้ มาดริด (จุดโทษ 5 – 3) – 2015/2016

 

เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองทีมได้โคจรมาเจอกันในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้ง หลังจากที่ 2 ปีก่อน ทางฝั่งของ “ราชันชุดขาว” เอาชนะไปได้แบบเจ็บแสบสุดๆ มาคราวนี้ลูกทีมของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ต้องการที่จะแก้แค้นให้ได้เพื่อคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกของสโมสร

 

อย่างไรก็ตามเกมที่ ซานซิโร่ เป็นทาง เรอัล มาดริด ที่ได้ประตูออกนำไปก่อนจากประตูของ เซร์คิโอ รามอส ตั้งแต่ช่วงต้นเกม ก่อนที่ ยานนิค การ์ราสโก้ จะมาตีเสมอให้กับ แอตเลติโด้ มาดริด ได้สำเร็จนาที 79 และทำให้จบเกมเวลาปกติด้วยผลเสมอเหมือนกับครั้งที่แล้วที่ทั้งคู่เจอกันเมื่อปี 2014

 

ทว่าช่วงต่อเวลาพิเศษทั้งสองทีมก็ยังทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ต้องตัดสินหาผู้ชนะกันด้วยการดวลจุดโทษ และก็กลายเป็นทางฝั่ง “โลส บัลงโกส” ที่แม่นกว่า เอาชนะไปได้สำเร็จ คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 11 มาประดับที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ได้อีกหนึ่งหน

 

https://www.youtube.com/watch?v=RelhCGm6hjE