สอบไม่ผ่าน :  8 ดีลยอดแย่ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018-2019

 

ในตอนนี้ลีกสูงสุดแดนผู้ดีก็เข้ามาสู่ช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว แฟนบอลหลายๆคนเริ่มจะเห็นแล้วว่านักเตะหน้าใหม่ในทีมโชว์ฟอร์มกันเป็นอย่างไร ซึ่งหลายคนก็สามารถทำผลงานได้ดีจนยกระดับให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้ต้นสังกัดได้อันดับที่สูงกว่าฤดูกาลที่ผ่านมาอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม นักเตะป้ายแดงบางกลุ่มที่หลายคนตั้งความหวังไว้กลับดูล้มเหลวไม่เป็นท่า ซ้ำรายพวกเขาเหล่านั้นยังไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับต้นสังกัดใหม่ของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ และนี่คือ 8 นักเตะที่ UFA ARENA มองว่าเป็นดีลที่ยอดแย่ที่สุดในฤดูกาลนี้ ไม่ว่าพิจารณาจากทั้งฟอร์มการเล่นหรือค่าตัวที่สโมสรคว้ามาร่วมทีมก็ตาม

 

 

โมฮาเหม็ด เอลยูนูสซี่ (เซาธ์แฮมป์ตัน, 16 ล้านปอนด์)

 

 

การที่เอลยูนูสซี่ไม่สามารถทำประตูหรือแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมในสีเสื้อของทีมนักบุญได้เลย ก็ชัดเจนมากพอแล้วว่าเงินที่ทีมจ่ายให้ เอฟซี บาเซิ่ล สโมสรจากสวิตเซอร์แลนด์ถึง 16 ล้านปอนด์นั้นไม่ได้มีความคุ้มค่าอยู่เลยแม้ต่เพนนี่เดียว

 

แต่สิ่งที่ให้ดีลนี้แย่ไปกว่านั้นคือ เขาคือคนที่มาแทนที่ ดูซาน ทาดิช ปีกตัวเก่าคนเก่ง ที่ตอนนี้ไปเฉิดฉายอีกครั้งกับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม รวมถึงในนัดที่ยอดทีมจากฮอลแลนด์เล่นงานเรอัล มาดริด จนหมดท่าในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ผ่านมาด้วย

 

 

แจ็ค วิลเชียร์ (เวสต์แฮม, ฟรี)

 

 

ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือทีมขุนค้อนเคยกล่าวไว้ว่า ด้วยความสามารถและฝีเท้าของ แจ็ค วิลเชียร์ ทำให้เขามีค่าถึง 100 ล้านปอนด์ แต่อย่างไรก็ตาม การที่เวสต์แฮมเซ็นอดีตกองกลางอาร์เซน่อลมาร่วมทีมแบบฟรีๆก็ยังดูเสียเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยสัญญาระยะ 3 ปีที่เขาได้เซ็นกับทีมไป

 

อาการบาดเจ็บของวิลเชียร์ถือเป็นเรื่องเศร้าที่ใครหลายๆคนพอจะเดาได้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ดูเป็นปัญหามากกว่านั้นคือยามที่เขาพร้อมลงสนาม เพราะ 4 นัดที่เขาเป็นตัวจริง ทีมแพ้ทั้งหมด 4 นัด แถมฟอร์มการเล่นของเขากับมาร์ค โนเบิ้ลในแดนกลางก็ดูไม่เข้ากันอย่างมาก จนทำให้เดแคลน ไรซ์ก้าวเข้ามาและคว้าตำแหน่งตัวจริงไปครอง ซึ่งในตอนนี้ก็ยังไม่มีท่าทีที่อดีตดาวรุ่งปืนใหญ่จะกลับมาเป็นตัวจริงได้ในเร็วๆนี้

 

 

เฟร็ด (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, 52 ล้านปอนด์)

 

 

หลายคนพอจะบอกได้ว่าฟอร์มการเล่นในนัดชนะเปแอชเชในรอบ 16 ทีมสุดท้ายแชมเปี้ยนส์ลีกของเฟร็ดนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด และนั่นอาจจะเป็นค่ำคืนที่เปลี่ยนชีวิตค้าแข้งของเขาในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดไปตลอดกาล แต่ว่าในตอนนี้มันก็ดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก

 

กองกลางชาวแซมบ้าถูกดึงมาร่วมทีมปีศาจแดงด้วยค่าตัวที่มากเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์สโมสรเป็นรองแค่ พอล ป็อกบา, โรเมโล ลูกากู และ อังเคล ดิ มาเรีย เท่านั้น  แต่เขาก็ยังเป็นตัวเลือกในแดนกลางอันดับท้ายๆต่อจาก สก็อต แม็คโทมิเนย์ และ อันเดรส เปเรย์ร่า ซะอีก ไม่ว่าจะเป็นยุคของมูรินโญ่ หรือ โซลชา ก็ตาม

 

 

มักซิม เลอ มาร์กชองด์ (ฟูแล่ม, 30 ล้านปอนด์ ร่วมกับ ฌอง มิเชล-เซรี)

 

 

การที่ฟูแล่มในฤดูกาลนี้ได้คว้าตัว คัลลั่ม แชมเบอร์ส กองหลังจากอาร์เซน่อลมาร่วมทีม คือสิ่งที่น่ายกย่องอย่างมาก เพราะเขาช่วยให้แนวรับของทีมดูไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แต่สำหรับกองหลังหน้าใหม่เช่นเดียวกันอย่าง มักซิม เลอ มาร์กชองด์ คือสิ่งที่ต้องละเว้นไว้ในฐานที่แฟนบอลเจ้าสัวเข้าใจ

 

กองหลังชาวฝรั่งเศสส่งผลกระทบต่อแนวรับของทีมเป็นอย่างมากในแง่ลบ ไม่ว่าจะลงเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายหรือกองหลังตัวกลางก็ตาม ฟอร์มในนัดที่พ่ายให้กับทีมลีกทูอย่างโอลด์แฮมในศึกเอฟเอ คัพ ก็น่าอับอายพอตัวแล้ว แต่สถิติในด้านตัวเลขน่าจะทำให้เขาเจ็บใจมากกว่าเดิมอีก เพราะยามที่เขาไม่ได้ลงเล่น ทีมกลับเสียประตูในลีกแค่ 1.84 ลูกต่อนัด แต่ทีมต้องเสียประตูถึง 2.55 ลูกต่อเกมยามที่มาร์กชองต์ลงสนาม

 

 

อดาม่า เดียคาบี้ (ฮัดเดอร์สฟิลด์, 9 ล้านปอนด์)

 

 

แฟนบอลทั่วอังกฤษต่างให้ความสนใจกันไปทั่ว เมื่อกองหน้าในทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ถูกวิญญานสากเข้าสิงจนทำประตูให้ทีมไม่ได้ แต่สิ่งนั้นคอยบดบังสิ่งที่ดูย่ำแย่กว่าอย่างความล้มเหลวของตัวริมเส้นหรือกองกลางตัวรุกในทีม อย่าง ไอแซค เอ็มเบ็นซ่า, รามาดาน โซบิ และ อดาม่า เดียคาบี้ ซึ่งเป็นแข้งหน้าใหม่ในทีมด้วย

 

ทั้ง 3 คนที่กล่าวมาไม่สามารถทำประตูให้ เดอะ เทร์เรียส์ ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว แต่คนที่ดูย่ำแย่ที่สุดคือ อดีตนักเตะโมนาโกอย่าง เดียคาบี้ ที่ไม่สามารถทำทั้งประตูหรือแอสซิสต์ให้คนอื่นได้เลย อีกทั้งยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เป็นระยะๆ และฟอร์มการเล่นของเขาก็ไม่ได้ช่วยให้ทีมยกระดับขึ้นมาแต่นิดเดียวเลย หลังลงเล่นในลีกแค่ 11 นัด แค่ฮัดเดอร์สฟิลด์เก็บไปเพียง 2 แต้มเท่านั้น

 

 

โจ ฮาร์ท (เบิร์นลีย์, 3.5 ล้านปอนด์)

 

 

ฮาร์ทเสียประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้มากกว่า แมต ไรอัน นายทวารไบรท์ตัน หรือ  มาร์ติน ดูบราฟก้า มือกาวจากนิวคาสเซิล แต่ยังสิ่งหนึ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ นับตั้งแต่ขึ้นปี 2019 มา อดีตนายทวารแมนซิตี้ไม่เคยได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเลย

 

เขาเสียประตูไปถึง 41 ลูกจาก 19 เกม ซึ่งในนัดที่เขาลงเล่นนั้นเบิร์นลีย์ชนะเพียง 3 เกมและเก็บได้เพียง 12 คะแนนเท่านั้น แม้ว่าในตอนแรกการที่ฌอน ไดซ์ คว้าฮาร์ทมาร่วมทีมได้สร้างความตกใจให้ใครหลายคนพอสมควร เพราะเขามีนายทวารทีมอังกฤษมือดีถึง 2 คนในทีมและอีกคนที่มีประสบการณ์คว้าแชมป์ลีกมาครองถึง 2 ครั้ง แต่การการกระทำในครั้งนั้นก็พิสูจน์ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นเท่าไหร่นัก เมื่อ ทอม ฮีตัน สามารถกลับมาคืนฟอร์มและช่วยให้ทีมคว้าแต้มสำคัญได้อีกครั้ง

 

 

เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า (เชลซี, 71.6 ล้านปอนด์)

 

 

สถิตินายทวารที่แพงที่สุดในโลกของเกป้าทำให้หลายคนจับตามองเขาในทันที่ย้ายมาค้าแข้งในอังกฤษ ซึ่งฟอร์มการเล่นของเขาอาจจะไม่ได้แย่อะไรมาก แต่ในนัดชิงคาราบาว คัพ หลายคนต้องมองไปที่ทัศนคติของเขาอีกที เมื่อเกป้าปฏิเสธที่จะเปลี่ยนตัวกับ วิลลี่ กาบาเยโร่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเซฟจุดโทษของทีม จนมีส่วนทำให้เชลซีชวดแชมป์รายการนั้นไปในท้ายที่สุด

 

และด้วยความที่ตัวเขายังอายุน้อยประกอบกับประสบการณ์ที่ยังมีไม่มาก ไม่แปลกที่เขาจะดูเทียบชั้นกับ ธิโบต์ กูร์ตัวส์ นายทวารคนเก่าไม่ได้เท่าไหร่นัก บวกกับค่าตัวที่เชลซีจ่ายให้กับแอธเลติก บิลเบาแล้ว ทำให้เรามองว่าพวกเขาควรหานายทวารมือดีที่มีประสบการณ์ในลีกมาร่วมทีมน่าจะคุ้มค่ากว่ากันเยอะหลายเท่าเลย

 

 

อังเดร แฟรงค์ แซมโบ อองกีซซ่า (ฟูแล่ม, 30 ล้านปอนด์)

 

 

เงิน 100 ล้านปอนด์ที่เจ้าสัวทุ่มไปในฤดูกาลนี้ถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะนั่นจะทำให้ฟูแล่มกลายเป็นทีมตกชั้นที่ใช้เงินเสริมทัพมากที่สุดตลอดกาลในพรีเมียร์ลีก และการคว้าตัวกองกลางตัวรับอย่าง อองกีซซา ด้วยราคา 30 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดที่ทีมซื้อมาในฤดูกาลนี้ เขาดันถูกคัลลั่ม แชมเบอร์ส ที่เป็นกองหลังเบียดแย่งจริงไปครองซะอย่างนั้น

 

ในรายของเซรี ที่แม้ฟอร์มโดยรวมค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่เราก็ยังเข้าใจว่าดีกรีและฟอร์มการเล่นสมัยอยู่นีซทำให้เขามีค่าตัวสูงแบบนั้น แต่ในรายของอองกีซซ่า ไม่มีใครรู้ว่าฟูแล่มเห็นอะไรในตัวเขา เพราะนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่กองกลางชาวแคมเมอรูนได้ลงสนาม ฟูแล่มไม่สามารถทำแต้มได้เลยแม้แต่แต้มเดียว