สะเทือนขนาดไหน : ผ่าบทวิเคราะห์หงส์แดงวันไร้ ฟานไดจ์ค

 

การบาดเจ็บของ เวอร์จิล ฟานไดจ์ค กองหลังตัวเก่งของลิเวอร์พูลในเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้ ที่เกิดจากการเข้าปะทะกับ จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารของเอฟเวอร์ตัน ซึ่งร้ายแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัดเข่า จากอาการเอ็นไขว้หน้าฉีก และต้องพักอย่างไม่มีกำหนด สร้างความเสียหายโดยตรงให้กับทีมไม่น้อย และอาจส่งผลถึงการลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้

 

วันนี้ทาง UFAARENA จะมาวิเคราะห์ปัญหา และผลกระทบ รวมถึงแนวทางแก้ปัญหาของทัพหงส์แดงว่าจะเป็นไปในทิศทางใดบ้าง

 

ความสำคัญของฟานไดจ์ค

การมีแนวรับชาวฮอลแลนด์ ยืนคุมเกมทำให้หลังบ้านของลิเวอร์พูลแน่นหนาขึ้น แถมยังยระดับเพื่อนร่วมทีมที่มายืนคู่ไม่ว่าจะเป็น โจ โกเมซ, โจเอล มาติป หรืออดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง เดยัน ลอฟเรน ก็มีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ 

 

ซึ่งด้วยศักยภาพที่ตัวฟานไดจ์คมี ปัจจัยที่ทำให้เกมรับของหงส์แดงดีขึ้นก็มาจากความมั่นใจของบรรดาเพื่อนร่วมทีม เพราะพวกเขารู้ดีว่าแม้จพลาดก็ยังพอมีปราการหลังฮอลแลนด์คอยซ้อน แถมเรื่องของความมั่นใจไม่ได้ส่งผลกับแค่แนวรับ ยังส่งผลถึงเกมรุกที่ทุกคนในทีมสามารถบุกขึ้นไปได้อย่างไม่ต้องกังวลหลังบ้านของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่นแบ็คสองข้างอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ ที่ไม่ได้เล่นเกมรับดีนัก แต่พวกเขาเล่นเกมรุกได้อย่างโดดเด่น ทำกันไปคนละ 12 และ 13 แอสซิสต์ตามลำดับเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้ระดับของพวกเขาก้าวกระโดดขึ้นมาได้ถึงปัจจุบันนี้

 

โดยหากเทียบเป็นสถิติระหว่างที่มี กับไม่มีฟานไดจ์ค สถิติการเสียประตูต่อเกมนับเป็น 1.04 ประตูต่อเกม เวลาที่มีเขาประจำการ เทียบกับเวลาที่ไม่มีจะอยู่ที่ 1.5 ประตูต่อเกม ส่วนโอกาสชนะเมื่อเทียบกันค่อนข้างต่างกันมากพอสมควรเมื่อเวลาที่พวกเขามีฟานไดจ์ค โอกาสชนะจะมากถึง 70 % แต่เวลาที่ไม่มีจะเหลือแค่ 46 %เท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับการขาดหายไปของ อลิสซอน เบคเกอร์ นายทวารตัวหลักที่มีอาการบาดเจ็บไปด้วย

 

 

ผลกระทบต่อรูปแบบการเล่น

อย่างที่กล่าวไปด้วยความที่ฟานไดจ์คมีผลต่อความมั่นใจของทั้งทีม สิ่งที่อาจจะส่งผลกระทบแน่ๆคือความมั่นใจในเกมรับ ทั้ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน อาจจะไม่สามารถเติมเกมรุกได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิมเพราะต้องมาห่วงเล่นเกมรับมากขึ้น รวมถึงกองกลางก็อาจต้องทำงานหนักขึ้นในเกมรับ นั่นหมายถึงในเกมรุก พวกเขาอาจจะไม่ได้ขึ้นไปช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าเดิม

 

นอกจากนี้ถ้านับขนาดทีมเดิมของทัพหงส์แดงเองก็เป็นปัญหามากพออยู่แล้วกับการที่ต้องแข่งหลายรายการซึ่งต้องโรเตชั่นนักเตะ ยังไม่นับรวมอาการบาดเจ็บต่างๆที่อาจจะมีตามมาให้ทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ ปวดหัวเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันพวกเขาขาดทั้ง ฟานไดจ์ค รวมถึง อลิสซอน เบคเกอร์ ต้องบอกเลยว่าเกมรับในนาทีนี้น่าเป็นห่วงแบบสุดๆ

 

เทียบกับเคสแมนฯซิตี้เมื่อฤดูกาลก่อน

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อซีซั่นก่อนแชมป์เก่าอย่างเรือใบสีฟ้าเองก็เพิ่งประสบปัญหากองหลังตัวหลักเจ็บแบบเดียวกันตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ทั้งที่พวกเขาเริ่มต้นมาได้อย่างยอดเยี่ยมจากการไม่แพ้ใคร 4นัด ก่อนที่ อายเมอริค ลาปอร์กต์ จะมาเจ็บไปในเกมกับไบร์ทตัน ซึ่งมันก็ส่งผลในทันที เพราะเกมถัดมาพวกเขาก็แพ้ทีมอย่าง นอริช 3-2

 

ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นทำให้ทัพหงส์แดงได้โอกาสทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ซึ่งแม้ทาง เป๊ป กวาร์ดิโอล่ายังมีไพ่อยู่ในมือให้เลือกใช้ แต่ยังมิวายมีปัญหามาให้ปวดหัวเพิ่มจากการที่ จอห์น สโตน กองหลังอีกรายมาเจ็บเพิ่มทำให้ทีมเหลือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอาชีพอยู่แค่ นิโคลัส โอตาเมนดี้ เพียงคนเดียวเท่านั้น จนต้องจับ แฟร์นันดินโญ่ หรือใช้เป็น ไคล์ วอล์คเกอร์ มาเล่นแทน ซึ่งก็เทียบได้กับการเอา ฟาบินโญ่ มายืนเซ็นเตอร์ของลิเวอร์พูล หรือการดันดาวรุ่งอย่าง เอริค การ์เซีย ขึ้นมายืนแทน

 

ซึ่งเมื่อเทียบความสำคัญของตัว ลาปอร์กต์ ต่อแมนฯซิตี้ ออกมาเป็นสถิติจะพบว่าทัพเรือใบเสียประตูเฉลี่ย 0.4 ประตูต่อเกมเวลามีเขาอยู่ในสนาม แต่ถ้าไม่มีจะเสียอยู่ที่ 1.3 ระตูต่อเกม ในขณะที่อัตราการชนะเวลาที่มี ลาปอร์ต จะอยู่ที่ 85% แต่หากขาไปจะอยู่ที่ 66% นับว่ามีความสำคัญพอๆกับฟานไดจ์ค ที่มีต่อลิเวอร์พูล ดังนั้นสถานการณ์ของพวกเขาค่อนข้างใกล้เคียงกันไม่น้อย

 

แนวทางการแก้ปัญหา

จากแนวทางการแก้ปัญหาของเรือใบสีฟ้า ก็พอที่จะเห็นแววของหงส์แดงได้แล้วว่าจะมีแนวทางเป็นอย่างไร ซึ่งพวกเขาก็เคยใช้งาน ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งซ็นเตอร์มาแล้ว แต่ก็เป็นการยืนคู่กับ ฟานไดจ์ค สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือแม้กองกลางชาวบราซิเลี่ยนจะมีการยืมตำแหน่งที่ดี และเล่นเกมรับได้ แต่การมายืนในตำแหน่งเซ็นเตอร์ เจ้าตัวถือเป็นด่านสุดท้าย ทำให้มันต่างกับการเล่นเป็นกองกลางที่มีคนคอยซ้อน อย่างไรก็ตาม โจ โกเมซ และ โจเอล มาติป ก็น่าจะเป็นตัวหลักไปก่อนในตอนนี้ หากว่าไม่มีอาการบาดเจ็บ หรือจำเป็นต้องโรเตชั่นนักเตะ

 

อีกหนึ่งทางเลือกคือการดันบรรดาดาวรุ่งขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ซึ่งตัวเลือกก็มี บิลลี่ คูเมติโอ กองหลังดาวรุ่งที่ได้ลองลงเล่นให้ทีมในช่วงปซีซั่นไปแล้ว ซึ่งนับว่ามีแววไม่น้อยด้วยส่วนสูงกว่า 195 เซนติเมตร หรือจะเป็น เซปป์ ฟานเดนเบิร์ก ดาวรุ่งชาติเดียวกับ ฟานไดจ์ค ก็นับว่าเป็นนักเตะที่น่าจับตามอง ปัญหาก็คือเรื่องของประสบการณ์ที่ยังมีไม่มากกับทีมชุดใหญ่

ส่วนตัวเลือกดาวรุ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคงจะเป็น นาธาเนียล ฟิลลิปส์ กองหลังที่เคยถูกปล่อยยืมไปเล่นในทีมชุดใหญ่ของ สตุ๊ดการ์ดมาแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน นับว่าเป็นแข้งที่มีประสบการณ์พอสมควรเลยทีเดียว แถมยังมีความสูงมากถึง 190 เซนติเมตร ซึ่งในขณะนี้ก็ได้แต่ประคองทีมไปก่อนจนถึงตลาดเดือนมกราคม จึงจะสามารถดึงนักเตะเข้ามาเสริมได้อีกครั้ง

 

โปรแกรมโหดกว่าจะเสริมทัพได้อีกครั้ง

อย่างที่กล่าวไปแนวทางการแก้ปัญหาอีกอย่างนึงคือการซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพเพิ่ม แต่ก็ต้องรอถึงเดือนมกราคมที่ตลาดหน้าหนาวจะเปิดอีกครั้ง ซึ่งกว่าจะถึงช่วงเวลานั้นทางหงส์แดงก็ต้องใช้การแก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อน โดยเราจะมาดูกันว่าเส้นทางของพวกเขากว่าจะถึงเดือนมกราคมต้องเจอกับเกมไหนที่น่าเป็นห่วงบ้าง

 

ในสวนของเกมลีกที่เหลือในเดือนนี้ก็มีแค่เกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด วันที่25 ตุลาคม ส่วนเดือนหน้า ก็มีเกมเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และที่หนักก็คือเกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ต่อด้วย เลสเตอร์ ซิตี้ นอกจากนี้ช่วงต้นเดือนธันวาคมก็ยังมีโปรแกรมเจอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน รวมถึงเกมกับสเปอร์สอีกด้วย นี้เป็นโปรแกรมลีกคร่าวๆที่พวกเขาต้องเจอ

 

ตัดมาในส่วนฟุตบอลยุโรป พวกเขาก็มีโปรแกรมต้องเจอกับ อาแจ๊กซ์ในเกมหน้าวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ต่อด้วย มิดทิลแลนด์ และอตาลันต้า ซึ่งถ้าให้สรุปก็คือเกมรอบแบ่งกลุ่มทั้งหมด คือเกมที่พวกเขาต้องรับมือด้วยนักเตะที่มีเหลืออยู่ กว่าจะถึงเดือนมกราคม