สิงห์บลูส์ขึ้นสู่ยอด :เสริมทัพบ้าคลั่ง/ปลดโค้ชกลางทาง/สู่การเป็นเจ้ายุโรป 

สิงห์บลูส์
สิงห์บลูส์

  ชัยชนะที่ ดราเกา สเตเดี้ยม ของ เชลซี เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาสร้างความตราตรึงให้กับแฟนลูกหนังทั่วโลกอย่างยิ่ง กับฟอร์มการเล่นที่เต็มไปด้วยแท็กติกมากมาย ก่อนที่ลูกทีมของ โธมัส ทูเคิล จะผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 2 มาครองได้สำเร็จ 

 

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ,ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ,เรอัล มาดริด และ เชลซี  คือ 4 สโมสรในรอบรองชนะเลิศ และเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะใส่ชื่อ ทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” ให้เป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้  เพราะหากติดตามมาตั้งแต่ต้นฤดูกาลบอกได้เลยว่านี่คือหนึ่งในสโมสรที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงลูกหนัง ยูโร 2020 เต็มตัวในสัปดาห์หน้า เราจะขอนำเสนอเรื่องราวของ เชลซี ก่อนจะก้าวเป็นแชมป์ยุโรปในวันนี้

 

 

 

เสริมทัพแบบบ้าคลั่งช่วงซัมเมอร์ 

 

 

หลังจากที่ฤดูกาลก่อน เชลซี นั้นหมดสิทธิ์เสริมทัพนักเตะ เนื่องจากโดน ฟีฟ่า นั้นแบน 1 ฤดูกาลเต็มจากกรณี ที่สโมสรทำผิดกฎการเซ็นสัญญานักเตะเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างไรก็ตาม แฟรงค์ แลมพาร์ด ยังสร้างผลงานสุดยอดให้กับทีมด้วยการจบด้วยอันดับ 4 ได้สำเร็จ 

 

 

 ก่อนที่ฤดูกาลนี้ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรจะประเคนเงินให้กับกุนซือชาวอังกฤษ กว่า 220 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว  ฮาคิม ซิเย็ค แนวรุกฟอร์มร้อนของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม (37 ล้านปอนด์) , ติโม แวร์เนอร์ ดาวซัลโวบุนเดสลีกา จากแอร์เบ ไลป์ซิก (47ล้านปอนด์), ไค ฮาแวร์ตซ์ อนาคตลูกหนังเยอรมนีจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น (72 ล้านปอนด์), ติอาโก้ ซิลวา กองหลังจอมเก๋าที่หมดสัญญากับปารีส แซงต์แชร์แมง, เบน ชิลเวลล์ แบ๊กซ้ายทีมชาติอังกฤษจากเลสเตอร์ ซิตี้ (45 ล้านปอนด์) 

 

 

หนำซ้ำยังมีการซื้อ เอดูอาร์ เมนดี้  จอมหนึบจากแรนส์ ด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์ เข้ามาเป็นมือ 1 แทนที่ เกปา อาริซาร์บาลาก้า นายทวารค่าตัวแพงที่สุดของโลกชาวสเปนที่ฟอร์มหลุดยาวด้วย เรียกว่าก่อนเปิดซีซั่นพวกเขาคือเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกเคียงข้าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ซิตี้ เลยทีเดียว 

 

 

ผลงานไม่เข้าเป้า สุดท้ายต้องปลด แลมพาร์ด  

 

จากทีมที่ว่าเป็นหนึ่งในตัวเต็งแชมป์ แต่ผลงานของทัพ สิงห์บลูส์ภายใต้การคุมทีมของ แลมพาร์ด กลับไม่เป็นเช่นนั้น จากเมื่อฤดูกาลก่อนที่เขาสร้างแข้งหน้าใหม่ขึ้นมาเป็นแกนหลักทั้ง เมสัน เมาท์ ,คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย และ แทมมี่ อับราฮัม ปรากฏว่าฤดูกาลนี้การที่ได้แข้งหน้าใหม่ระดับซูเปอร์สตาร์เข้ามาหลายรายทำให้ กุนซือชาวอังกฤษ ดูเหมือนต้องคลำหาทางที่จะให้นักเตะเหล่านี้ระเบิดฟอร์มออกมาให้ได้ 

 

 

ในช่วง 10 นัดแรกของฤดูกาลทีมยังดูเหมือนจะไปได้ดีพร้อมกับยังติดอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ แต่ปรากฏว่าในช่วงปลายปีตั้งแต่ดือน ธ.ค. เป็นต้นมา ฟอร์มของทัพ เชลซี นั้นตกลงอย่างน่าใจหาย และแน่นอนว่าแข้งที่ซื้อเข้ามานั้นก็ทำผลงานได้ไม่ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น ติโม แวร์เนอร์ ที่ฟอร์มหลุดมาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึง ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ยังไม่รู้ว่าตำแหน่งที่แท้จริงของตัวเองอยู่ตรงไหน ส่วน ฮาคิม ซิเย็ค ก็โชคร้ายเจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด 

 

 

จนหลังผ่านครึ่งฤดูกาลจากทีมลุ้นแชมป์ เชลซี ต้องตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงในเวลานั้นถึง 11 คะแนน  ท่ามกลางความกดดันก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดในวันที่ 25 ม.ค. โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรก็ออกแถลงการณ์ปลด แลมพาร์ด จากตำแหน่ง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ เสี่ยหมี ออกมาแถลงด้วยตัวเองตลอดการเป็นเจ้าของสโมสรแห่งนี้ด้วยเพราะแลมพ์ ถือเป็นหนึ่งในไอค่อนของสโมสรตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ  

 

จุดเปลี่ยนที่ยังเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

 

 

การปลด แลมพาร์ด ออกจากตำแหน่งเวลานั้น เกิดกระแสจากแฟนบอล สิงห์บลูส์ บนโลกโซเชี่ยลมากมาย ที่ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของ เสี่ยหมี แล้วหรือไม่กับการให้โอกาส แลมพาร์ด น้อยเกินไป เนื่องจากทีมเพิ่งจะมาเริ่มฟอร์มตกเมื่อช่วงปลายปี  แต่จากที่ทุกคนทราบคือ อบราโมวิช ไม่พร้อมให้โอกาสใครนานอยู่แล้ว หากทีมทำผลงานได้ไม่ตามเป้าหมายที่วางไว้ 

 

 

นั่นทำให้ โธมัส ทูเคิล ที่เพิ่งแยกทางกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง มาเช่นกัน จึงได้รับการติดต่อให้เข้ามาคุมทีมในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ที่น่าสนใจคือเขานั้นได้สัญญาจาก เชลซี เพียง 18 เดือนเท่านั้น แน่นอนว่าที่น้อยขนาดนี้ก็เนื่องจาก อบราโมวิช นั้นยังไม่ได้ไว้วางใจในตัวกุนซือชาวเยอรมนีรายนี้ว่าจะพาทีมกลับมาสู่จุดที่ควรจะเป็นได้อีกครั้งหรือไม่นั่นเอง 

 

 

 

“ทูเคิล” ยกเครื่องทีมครั้งใหญ่

 

 

การเข้ามาของ กุนซือชาวเยอรมนี รายนี้ได้เริ่มตั้งแต่เขาได้ปรับทีมที่เล่นในระบบ 4-3-3 มาเล่นในระบบ 3-4-2-1 ซึ่งปรากฏว่าผลงานในช่วงแรกแม้จะยังดูกระท่อนกระแท่น แต่ที่เห็นได้ชัดคือเกมรับนั้นดีขึ้นผิดหูผิดตาม แข้งที่เคยหมดอนาคตในยุคแลมพาร์ด ไปแล้วอย่าง  อันโตนิโอ รือดิเดอร์ ได้รับโอกาสสู่ทีมอีกครั้ง  รวมไปถึง เซซาร์ อัซปิลิกัวเอต้า ปราการหลังกัปตันทีม ที่โดน รีช เจมส์ เบียดตำแหน่งแบ็กขวา ก็ได้กลับยืนเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์ตัวหลักของทีมเช่นกัน  ยิ่งบวกกับ ติอาโก้ ซิลวา ที่เคยทำงานร่วมกับ ทูเคิล อยู่แล้วยิ่งทำให้แผงแนวรับของ เชลซี ชุดนี้ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ บวกกับ เอดูอาร์ด เมนดี้ นายทวารตัวใหม่ก็โชว์ฟอร์มเหนียวแน่นหนึบจนคว้าไปถึง 16 คลีนชีตในฤดูกาลนี้เป็นรองเพียง เอแดร์ซอน ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำไป 19 คลีนชีตเพียงคนเดียวเท่านั้น 

 

 

ส่วนแดนกลางคู่ห้องเครื่องนั้นใช้ จอร์จินโญ่ เป็นตัวโฮลดิ้ง โดยมี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ คอยกวาดล้าง ส่วนวิงแบ็กสองฝั่งนั้นเป็นหน้าที่ของ เบน ชิลเวลล์ กับ รีช เจมส์ พร้อมปล่อยให้แนวรุกที่ ทูเคิล ปรับไปปรับมาจนได้ที่ด้วยการให้ เมสัน เมาท์ ยืนเป็นตัวรุกร่วมกับ ติโม แวร์เนอร์ พร้อมเขยิบให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ เขยิบขึ้นไปเล่นในตำแหน่ง False9 จนผลงานของนักเตะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทุกคนรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรในสนาม 

 

 

 

ท้ายฤดูกาลกับช่วงเวลาสุดพีค

 

 

ในช่วงเดือน พ.ค.นี้ นับเป็นช่วงเวลาไคลแม็กซ์ของทัพ “สิงห์บลูส์“ชุดนี้อย่างแท้จริง อย่างในพรีเมียร์ลีก จากที่พวกเขาทำผลงานได้ดีมาโดยตลอด และทำท่าว่าจะจบฤดูกาลในตำแหน่งท็อปโฟร์ได้แบบสบายหายห่วง แต่หลังจากที่ทีมทำผลงานสุดยอดในถ้วย ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ ด้วยการคว่ำ เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ อยู่ดีๆผลงานก็กลับวูบลงมาซะอย่างงั้น เริ่มจากพ่ายให้กับ อาร์เซน่อล คารังสแตมฟอร์ด บริดจ์ เท่านั้นยังไม่พ เกมรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ยังพ่ายให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1  

 

 

จนกระทั่งนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็ยังจะบุกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 1-2 แต่ด้วยอานิสงค์อะไรก็แล้วแต่ที่ผลอีกคู่ สเปอร์ส นั้นบุกไปเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ เชลซี ยังคงจบที่อันดับ 4 คว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้าแบบฉิวเฉียดที่สุด ทำให้เริ่มมีแฟนบอลของทีมหลายราย แสดงความวิตกอีกครั้งว่าด้วยผลงานเช่นนี้ แล้วเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบชิงชนะเลิศ จะไหวหรือไม่ ?

 

 

ท้ายที่สุดอย่างที่ทุกคนได้เห็นในเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เชลซี ก็กลับมาระเบิดฟอร์มก่อนจะเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้สำเร็จ จะด้วยความผิดพลาดของ เป๊ป กวาดิโอล่า ที่ปรับทัพแบบงงๆ ด้วยการไม่ใส่กองกลางตัวรับแม้แต่คนเดียว หรือไม่ใช้กองหน้าตัวเป้า ก็ตาม ยังไงแล้วเครคิดในการคว้าแชมปยุโรปสมัยที่ 2 ครั้งนี้ ก็ต้องให้กับ ทูเคิล เต็มๆ เพราะจากวันแรกที่เขาเข้ามาจนวันสุดท้ายของฤดูกาลนั้นเขามีเวลาไม่ถึง 4 เดือนเต็มด้วยซ้ำ 

 

 

 

อนาคตและความคาดหวัง สิงห์บลูส์  ฤดูกาลหน้า 

 

 

จากผลงานมาสเตอร์พีซในครั้งนี้ แน่นอนว่า ทูเคิล จะได้รับรางวัลอย่างงามจาก อบราโมวิช แน่นอน หนึ่งเลยคือการขยายสัญญาฉบับใหม่ที่เหลืออีกเพียง 1 ปีออกไป เพราะถึงเวลานี้ สโมสรคงมั่นใจที่จะฝากอนาคตไว้กับทีมแน่นอนแล้ว อย่างที่สองคือ งบประมานในการเสริมทัพที่มาแบบเต็มสูบ เพราะเชื่อว่า กุนซือชาวเยอรมนี ที่จะได้เริ่มทำทีมของเขาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยในฤดูกาลหน้า  คงรู้แล้วว่าตรงไหนที่ทีมควรจะเสริมความแข็งแกร่งเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองหน้าตัวเป้า ที่ แวร์เนอร์ นั้นทำได้น่าผิดหวังยันวันสุดท้ายของฤดูกาลจริงๆ 

 

 

แน่นอนว่าเป้าหมายฤดูกาลหน้าคือการทวงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก กลับคืนมาให้ได้ รวมไปถึงในถ้วยยุโรป ที่พวกเขาหวังจะสร้างผลงานให้ดีแบบต่อเนื่อง นอกจากนี้ก็ยังมีรายการชิงแชมป์สโมสรโลกรออยู่ด้วย เรียกว่า ทูเคิล จำเป็นต้องจัดการทีมให้ดีอย่างสุดๆ 

 

 

สุดท้ายต้องขอแสดงความยินดีกับแฟนฟุตบอล สิงห์บลูส์ อีกครั้งนะครับ กับฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่ารถไฟเหาะนี้  เพราะต่อให้หวาดเสียวยังไงเมื่อรถไฟหยุด

 

ทุกคนก็คงได้รับความสุขกันไปแบบถ้วนหน้าจนแทบจะลืมไม่ลงกันไปเลย 

 

 

 

                                       DaboyG

 

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้องกับ เชลซี

 

รูดิเกอร์ขออยู่เชลซีต่อเเต่พร้อมย้ายทีมหากหมดสัญญา

 

สิงห์บลูส์