ย้อนกลับไปในซัมเมอร์ปี 2015 อองเดร-ปิแอร์ ชีญัก กลายเป็นหนึ่งในนักเตะสุดเนื้อหอมผู้เป็นที่ต้องการจากสโมสรทั่วยุโรป
หัวหอกชาวฝรั่งเศส โชว์ผลงานสุดยอดเยี่ยมด้วยการซัดไป 21 ประตู จากการลงเล่น 38 นัดในลีกให้ โอลิมปิก มาร์กเซย ฤดูกาล 2014-15 เป็นรองแค่ อเล็กซองดร์ ลากาแซ็ตต์ (27 ประตู) พร้อมพาทีมจบอันดับ 4 ของลีกเอิง
แม้ 2 ปีแรกกับทีม เขาจะยิงได้เพียง 9 ลูกเท่านั้นในลีก แต่ผลงานในอีก 3 ปีต่อมา รวมถึงฤดูกาลดังกล่าวทำให้ ชีญัก กลายเป็นที่ต้องการของหลาย ๆ สโมสร เมื่อประกอบกับการที่ตกลงสัญญาใหม่กับ ‘โอเอ็ม’ ไม่ได้ ทำให้เขาประกาศเตรียมลา สต๊าด เวโรโดรม แน่นอน
อินเตอร์ มิลาน ตกเป็นข่าวอย่างจริงจัง รวมถึงทีมอย่าง ลียง, เวสต์แฮม, นิวคาสเซิล, เวสต์บรอม, ดินาโม่ มอสโก แต่สุดท้าย ชีญัก กลับช็อคแฟนบอลทั้งโลกด้วยเลือกย้ายไปซบ ติเกรส สโมสรดังในเม็กซิโก ในเดือนมิถุนายนปี 2015
หลายคนตั้งแง่ว่าทำไมนักเตะอย่างที่ ชีญัก ทำไมถึงย้ายไปเล่นในลีกนอกยุโรปที่ไม่ได้รับความนิยมแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ในวัย 29 ปี เขาสามารถเล่นในลีกระดับสูงได้อีกหลายปี และมองว่าเจ้าตัวน่าจะเลือกย้ายไปเพราะเหตุผลด้านการเงินล้วน ๆ หลังได้ค่าเหนื่อยปีละ 4 ล้านปอนด์ ซึ่งมากที่สุดเหนือผู้เล่นทุกคนในลีกจังโก้
แต่ 6 ฤดูกาลต่อมาในทวีปที่อยู่ใกล้มหาสมุทรแอตแลนติก ชีญัก พิสูจน์ให้ใครหลายคนเห็นว่าเขาไม่ได้เพียงเพราะหิวเงิน ด้วยการพา ติเกรส คว้าแชมป์มากมาย และได้รับการยกย่องจากแฟนบอลให้เป็นหนึ่งในตำนานที่ยังมีลมหายใจของสโมสรเรียบร้อยแล้ว และเขาต้องผ่านอะไรบ้างก่อนถึงจุดนี้ UFA ARENA จะพาไปพบเรื่องราวของ ชีญัก ผ่านบทความชิ้นนี้…
จากแดนน้ำหอมสู่ถิ่นจังโก้
อองเดร-ปิแอร์ ชีญัก เป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตในดินแดนตอนใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย และแน่นอนว่าฟุตบอลเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลมากที่สุด
ด้วยฝีเท้าที่สะดุดตาทำให้เขาได้มีโอกาสเล่นให้กับทีมท้องถิ่นอย่าง เออแออ ฟอส-ซูร์-แมร์ และ แอฟเซ มาร์ตีกส์ แต่อยู่มาได้ 7 ปี เขาต้องการย้ายทีมเพื่อยกระดับพัฒนาฝีเท้ามากกว่านี้ และได้ย้ายไป ลอริยองต์ สโมสรที่ตั้งอยู่ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือในแดนน้ำหอม
ระยะเวลา 2 ปีกับการพัฒนาฝีเท้าในทีมเยาวชนและทีมสำรอง ชีญัก ได้เรียนรู้และพัฒนาฝีเท้าเรื่อยมา จนได้โอกาสลงเล่นในเกมระดับอาชีพเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2004-05
แต่เขาก็เหมือนดาวรุ่งส่วนใหญ่ที่ต้องโอกาสของตัวเองในฐานะตัวสำรองต่อไป แต่การย้ายไปเล่นกับ โป แอฟเซ แบบยืมตัวในฤดูกาล 2006-07 เรียกความมั่นใจกลับมาได้มากโข กับผลงาน 8 ประตูกับ 4 แอสซิสต์ ใน 18 นัด
เมื่อกลับมา ลอริยงต์ ในฤดูกาลต่อมา ชีญัก แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวด้วยการกดแฮตทริกใส่ น็องต์ คู่อริตลอดกาลของสโมสร พร้อมกดไป 9 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ ในฤดูกาลนั้น ซึ่งทำให้ทีมน้อยใหญ่ในลีกหันมาสนใจกองหน้าหนุ่มวัย 20 ปีคนนี้พอสมควร
ท้ายที่สุดเป็น ตูลูส ที่ได้ตัว ชีญัก ไปครอง และกลายเป็นแกนหลักของทีมทันที ด้วยการซัดไป 24 ประตู ในลีกเอิง ฤดูกาล 2008-09 คว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง และพาทีมไปเตะฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จ
ในปี 2010 เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในอาชีพของ ชีญัก หลัง โอลิมปิก มาร์กเซย ตัดสินใจคว้าตัวเขาไปร่วมทีม แต่ช่วง 2 ปีแรกกลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาและสโมสรหวัง เมื่อถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานบ่อย ๆ จนยิงไปเพียง 9 ประตูจาก 51 นัดในช่วงนั้น
แต่การมาของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ในโอเอ็ม ช่วยกระตุ้นฟอร์มเก่งของ ชีญัก กลับมาอีกครั้ง และรระเบิดฟอร์มถล่มประตูได้ถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน (18, 22 และ 23) ซึ่งจุดนี้ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ซัดประตูเกิน 100 ลูกในลีกเอิงด้วย
ทว่า หัวหอกชาวฝรั่งเศสเ ก็สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลอย่างมาก เมื่อบอกปัดทีมจากยุโรป เพื่อย้ายไปค้าแข้งในเม็กซิโก กับ ติเกรส พร้อมประกาศพาสโมสรแห่งนี้เป็นเบอร์หนึ่งในระดับประเทศและทวีปให้ได้
ที่รักของแฟนติเกรส
เวลาล่วงเลยมา 6 ปี หลังจากนั้น ชีญักในวัย 35 ปี ยิงไปแล้ว 147 ประตู จาก 246 นัดในทุกรายการให้กับ ติเกรส ซึ่งรั้งตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีม พร้อมกับถ้วยรางวัลอีกมากมาย นับตั้งแต่เขาย้ายมา ทั้ง แชมป์ลีก 4 สมัย, คัมเปโอเนส คัพ ปี 2018 และถ้วย คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พวกเขารอคอยมาเนินนาน หลังอกหักพ่ายนัดชิงมาแล้ว 3 หน ในปี 2016, 2017 และ 2019
หอกชาวฝรั่งเศส คว้ารองเท้าทองคำใน คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2020 ด้วยจำนวน 6 ประตู ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประตูชัยเหนือ แอลเอ เอฟซี 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ และการที่เขายิงประตูในนัดชิงดำได้ถึง 3 รายการในเม็กซิโก้ ไม่แปลกที่แฟนบอลแดนจังโก้ จะยกให้เขาเป็นตำนาน
“สำหรับแฟนติเกรส ชีญัก เป็นผู้เล่นที่ได้ความนิยมอย่างมากเลย” เซซาร์ เอร์นานเดซ นักข่าวผู้เชี่ยวชาญวงการฟุตบอลเม็กซิโก้ กล่าว
“ในทีมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นมากความสามารถเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้วในการติดทีมออลสตาร์ของลีก แต่ ชีญัก ทำผลงานได้โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ แฟนบอลติเกรส ไม่ได้รักเขาเพียงยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ หรือ คว้าแชมป์ได้เท่านั้น แต่ยังยอมรับวิถีชีวิตเม็กซิกันแบบใหม่ของเขาด้วย”
“เขาเรียนรู้ภาษาสเปนได้รวดเร็ว และกลายเป็นพลเมืองเม็กซิกันเต็มตัว และภูมิใจที่ลูก ๆ ของเขาได้เติบโตในที่แห่งนี้ มีรายงานจาก MedioTiempo ในปี 2019 ว่าเด็กกว่า 40 คนใน นูโว เลออน ยกให้ ชีญัก เป็นแรงบันดาลใจของพวกเขา พอจะพูดได้เต็มปากว่า แฟนบอลรักเขา และเขามอบความรักกลับคืนให้ เขาพาทีมคว้าแชมป์, เขารอยสักรูปสโมสร ติเกรส และดูเหมือนว่าเขามีความสุขกับบ้านในประเทศใหม่นี้ด้วย”
สถานะตำนานยังอยู่
ไม่ว่าจะเป็น ลิโอเนล เมสซี่ หรือ ดีเอโก้ มาราโดน่า พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าเส้นทางค้าแข้งจะจบลงเมื่อไหร่ และมักจะอุปสรรคครั้งใหม่ ๆ โผล่ขึ้นมาให้ก้าวข้ามไปเสมอ เช่นเดียวกับ ชีญัก ที่กำลังเจอเรื่องแบบนั้น และพยายามฝ่ามันไปให้ได้เช่นกัน
ชีญัก รับบทเป็นฮีโร่ให้ ติเกรส อีกครั้ง ด้วยยิงประตูพลิกแซง อุลซาน ฮุนได้ 2-1 ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก 2020 รอบสอง ที่ถูกเลื่อนมาแข่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 และไปพบกับ พัลไมรัส ยอดทีมจากบราซิลดีกรีแชมป์ โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ปีล่าสุดในรอบตัดเชือก
หลายคนมองว่า สโมสรจากแดนจังโก้ คงมาไกลได้แค่นี้ แต่นี่กลับกลายเป็นเกมที่ ชีญัก โดดเด่นสุด ๆ และช่วยให้ ติเกรส ต่อกรกับสโมสรจากบราซิลได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก่อนจะซัดจุดโทษประตูโทนให้ทีมผ่านเข้าไปเล่นนรอบชิงชนะเลิศได้แบบเหนือความคาดหมาย และกลายเป็นสโมสรแรกในโซน คอนคาเคฟ ที่เข้าชิงรายการนี้
แม้จะต้องเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค แชมป์ยุโรป ที่มีดาวยิงระดับโลกอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ อยู่ แต่ ชีญัก ก็หวังว่าทีมของเขาจะสร้างประวัติศาสตร์ให้โลกได้จารึกไว้
“เรารู้ว่าเราสามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้ และเราก็ต้องการทำแบบนั้นเช่นกัน” หัวหอกแดนน้ำหอม กล่าวหลังเกมที่คว้าชัยเหนือ อุลซาน ฮุนได
ถ้า ชีญัก สามารถพา ติเกรส พลิกล็อกคว้าชัยเหนือ เสือใต้ จะทำให้ทีมของ ริคาร์โด้ เฟอร์เร็ตติ เป็นทีมแรกของโซนคอนคาเคฟ ที่คว้าแชมป์สโมสรโลก
แต่ถ้าไปไม่ถึงฝั่งฝัน สถานะความเป็นตำนานของ ชีญัก ก็ยังคงอยู่ในสายตาของแฟนบอล ติเกรส แน่นอน ทั้งในตอนนี้ที่เขาอยู่กับทีม หรือ ปิดฉากอาชีพค้าแข้งในอนาคตอันใกล้ก็ตาม